“ศิษย์สำนักร้อยบุปผานามหนิงเทียนเช่นนั้นหรือ?”
นักบุญชุดขาวพยายามอย่างหนักเพื่อระงับความสั่นไหวในใจ และแสร้งทำเป็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เขาเป็ศิษย์ของสำนักร้อยบุปผา และเป็ความภาคภูมิใจของเชื้อสายรากพฤกษา” หลิ่วิเยวี่ยไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติที่สตรีผู้นั้นแสดงออกมา เพราะยามพูดถึงหนิงเทียน หัวใจของนางก็เต้นแรงไม่เป็จังหวะ
“หนิงเทียนผู้นี้อายุเท่าใด? เขามาจากไหน?” นักบุญปกปิดแสงเจิดจ้าที่ส่องสว่างในดวงตาแล้วถามด้วยท่าทีสบายๆ
“อายุสิบเจ็ดปี มาจากตระกูลหนิงแห่งเมืองเสวียนซาน” ดวงตาของหลิ่วิเยวี่ยฉายความขมขื่นอย่างอธิบายไม่ได้ ในใจของนางเต็มไปด้วยความเ็ป ทั้งยังเกิดอารมณ์แปรปรวนอย่างรุนแรง
ใบหน้าที่แสร้งทำเป็สงบของนักบุญแห่งตำหนักดาวเหนือเปลี่ยนสีทันที นางหันหน้าหนีเพื่อหลบสายตาของหลิ่วิเยวี่ยโดยไม่รู้ตัว พลันความตื่นเต้นที่อธิบายไม่ได้ก็ปะทุขึ้นในดวงตา อีกทั้งร่างกายของนางก็ยังสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้
ยามนี้หลิ่วิเยวี่ยกำลังจมอยู่ในความทรงจำ นางจึงไม่ได้สังเกตเห็นคลื่นผันผวนจากร่างของสตรีตรงหน้า ซึ่งเป็มวลพลังที่ปั่นป่วนราวกับจะะเิออกมา
หยาดน้ำตาหลั่งรินจากดวงตาคู่งามของนักบุญผู้นั้น นางพยายามอดกลั้นอย่างยิ่งเพราะกลัวว่าจะถูกคนอื่นเห็น อารมณ์ของนางพลุ่งพล่านและหัวใจก็ร้อนรุ่มจนแทบลุกเป็ไฟ ทว่าในดวงตากลับมีประกายอ่อนโยน
ขณะนี้กระแสลมแรงจางหายไปแล้ว ทันใดนั้นเพลิงปฐีที่โหมกระหน่ำก็ปรากฏขึ้น ซึ่งทำให้หลิ่วิเยวี่ยตื่นตระหนกอย่างมาก
เปลวเพลิงสีน้ำเงินนั้นน่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เพราะการป้องกันของฉินหยก หลิ่วิเยวี่ยก็คงถูกเผาจนกลายเป็เถ้าถ่านในพริบตาไปแล้ว
รัศมีแห่งิญญาปรากฏบนร่างกายของนักบุญ พร้อมก่อตัวเป็เกราะป้องกันแสงจิติญญาที่ทนทานต่อการลุกไหม้ของเพลิงปฐี
ร่องรอยความเ็ปปรากฏบนใบหน้า แม้สมบัติิญญาในร่างของนางจะสามารถต้านทานการลุกไหม้ของเพลิงปฐีได้ แต่มันก็ทำให้พลังเพลิงปฐีหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกาย และก่อให้เกิดความเ็ปที่แผดเผาหัวใจ
“อ๊าก!” นักบุญชุดขาวกรีดร้องลั่น น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและเ็ป ความรวดร้าวที่แผดเผาหัวใจคือบทลงโทษที่วังดารามอบให้ แต่นางก็ไม่เคยก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้
ความเกลียดชังท่วมท้นจิตใจของนาง ทั้งยังมีจิติญญาแห่งการต่อสู้อย่างไม่ลดละ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยคลื่นผันผวนของชีวิต ทว่านางกลับปล่อยเสียงหัวเราะดังลั่น
หลิ่วิเยวี่ยสะดุ้งโหยงก่อนจะก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณ นางมองนักบุญแห่งตำหนักดาวเหนือด้วยสายตาเคลือบแคลงใจ โดยมีเปลวเพลิงเก้าสีและประตูมิติสะท้อนอยู่ในดวงตาของนาง
พลังลึกลับหลั่งไหลเข้าสู่ั์ตาของหลิ่วิเยวี่ย ทำให้นางมองเห็นสถานการณ์ในร่างกายของนักบุญได้ทันที ซึ่งนางเห็นว่ามีเปลวเพลิงแผดเผาอยู่ในใจของนาง
“นี่คือคำสาปแผดเผาจิตใจใช่หรือไม่?” ท่าทางของหลิ่วิเยวี่ยดูเคร่งขรึมก่อนจะมีประกายประหลาดสะท้อนในดวงตา
หญิงชุดขาวยังคงโอดครวญลั่น แสงอันร้อนแรงในดวงตาเผยให้เห็นความดื้อรั้นที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้ง “จะ...เ้ารู้ได้อย่างไร?”
หลิ่วิเยวี่ยยิ้มอย่างซับซ้อนแล้วพูดเบาๆ “นี่เป็คำสาปที่ไม่อาจแก้ไขได้เว้นแต่ผู้ร่ายคำสาปจะสิ้นชีพ ตอนนี้ข้ากำลังใช้เสียงเก้า์ทมิฬช่วยท่านอยู่ แต่มันสามารถบรรเทาความเ็ปได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่สามารถกำจัดที่ต้นเหตุ”
ทันใดนั้นตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณก็ปรากฏบนไหล่ของหลิ่วิเยวี่ย แสงจางๆ ส่องประกายบนไส้ตะเกียง และเปลวเพลิงที่ประกอบด้วยแสงเก้าสีก็กลืนกินแก่นแท้ของเพลิงปฐี ก่อนจะสร้างเกราะป้องกันเพื่อปกป้องหลิ่วิเยวี่ย
หลิ่วิเยวี่ยดึงฉินหยกออกมาแล้วนั่งกลางอากาศ นางเกี่ยวสายฉินบรรเลงเพลงอันเงียบสงบของเสียงเก้า์ทมิฬ เพลงฉินอันไพเราะควบแน่นพลังทางจิติญญากลายเป็อักขระทางดนตรีที่เจาะเข้าไปในร่างของหญิงตรงหน้า ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็มวลอากาศเย็นที่ช่วยบรรเทาความปวดแสบปวดร้อน
อักขระทางดนตรีนับไม่ถ้วนหมุนวนและกันรอบร่างของหลิ่วิเยวี่ย ก่อนจะพัฒนาเป็พลังมหัศจรรย์จากเสียงลึกลับ และเมื่อรวมกับพลังร่างเสวียนหานที่เย็นเยือกแล้ว ความเ็ปที่แผดเผาหัวใจของนักบุญแห่งตำหนักดาวเหนือก็ถูกระงับอย่างรวดเร็ว
นางมองหลิ่วิเยวี่ยด้วยสายตาซับซ้อน “พบกันเป็ครั้งแรก เ้าไม่กลัวว่าข้าจะรู้ความลับแล้วทำเื่ไม่ดีกับเ้าหรือ?”
หลิ่วิเยวี่ยตอบอย่างสงบเสงี่ยม “ข้าไม่รู้ว่าท่านนักบุญเคยประสบเื่ใดในอดีต แต่ข้าเห็นว่าท่านมีความเกลียดชัง ความขุ่นเคือง และความไม่ยินยอมอยู่ในใจ ทั้งยังยืนหยัดไม่คิดรับความพ่ายแพ้ อันที่จริงชีวิตข้าก็น่าสังเวชและเต็มไปด้วยความไม่พอใจมากมายเช่นกัน แต่ตอนนี้ข้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนัก”
“เพียงเพราะเื่นี้หรือ?”
หลิ่วิเยวี่ยเหลือบมองตะเกียงสัมฤทธิ์โบราณบนไหล่ของนางแล้วพูดว่า “ข้าได้รับสิ่งนี้มาจากเมืองร้างในแดนลับ มันมีทักษะดวงเนตรที่สามารถแยกแยะความดีและความชั่วในใจของผู้คนได้ ซึ่งข้ารู้สึกได้ั้แ่แรกเริ่มแล้วว่าท่านนักบุญไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อข้า”
สตรีชุดขาวเอ่ยว่า “เ้าจิตใจงดงามยิ่งนัก แต่เ้าใจอ่อนเกินไป คงดีกว่าหากเ้าเด็ดขาดกว่านี้”
จากนั้นหลิ่วิเยวี่ยก็พูดคุยกับนักบุญพลางเล่นฉินไปด้วย
“เ้าอาศัยอยู่ที่ใด? ตระกูลเ้ายังมีใครอีกบ้าง?”
หลิ่วิเยวี่ยตอบอย่างขมขื่น “ข้ามาจากตระกูลซูแห่งเมืองเสวียนซาน”
นักบุญตกตะลึงและถามด้วยความประหลาดใจ “เมืองเสวียนซาน? เ้าไม่ได้มาจากที่เดียวกับหนิงเทียนหรือ?”
คำถามนี้ทำให้หัวใจของหลิ่วิเยวี่ยสั่นไหว และเสียงฉินก็เริ่มสับสนวุ่นวาย
สตรีชุดขาวรับรู้ได้อย่างชัดเจน “ก่อนหน้านี้ยามเ้าพูดถึงหนิงเทียน อารมณ์ของเ้าก็ผันผวนมากเช่นกัน เ้ารู้จักเขาหรือ?”
หลิ่วิเยวี่ยอยู่ในห้วงอารมณ์หดหู่ ใจของนางสะสมความโศกเศร้าที่อธิบายไม่ได้มาโดยตลอด
ั้แ่ลาจากที่เมืองเสวียนซาน นางก็ไม่เคยเล่าเื่ราวยุ่งเหยิงระหว่างนางกับหนิงเทียนให้ผู้ใดฟัง ทุกสิ่งยังคงฝังอยู่ในใจซึ่งทำให้นางทั้งรู้สึกผิดและเสียใจ แต่นางก็ไม่สามารถระบายกับผู้ใดได้เลย
ทว่านักบุญนางนี้กลับสนใจท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของหลิ่วิเยวี่ย “ยามนี้เสียงฉินของเ้ายุ่งเหยิงยิ่งนัก หมายความว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างเ้ากับหนิงเทียน เ้าช่วยเล่าให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่?”
“ข้า...” หลิ่วิเยวี่ยอยู่ในภาวะสับสน มันเป็ภาระทางจิติญญาที่ยากจะละทิ้งไปจากใจ และไม่ช้าก็เร็วมันจะบดขยี้นาง
“เ้ากับเขารู้จักกันดีใช่ไหม?” สายตาซับซ้อนของผู้หญิงชุดขาวราวกับมีความคาดหวังอันแปลกประหลาด
หลิ่วิเยวี่ยเอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า “เราไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก เราแค่โตมาด้วยกันั้แ่ยังเล็ก และเขามักจะมาที่จวนของข้าเสมอ”
“มาเล่นกับเ้าหรือ?”
“ไม่ใช่” พลันสีหน้าของหลิ่วิเยวี่ยก็แปลกไปก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงไม่พอใจ “เขาไปหาซูอวิ๋น”
“ใครคือซูอวิ๋น?”
“บุตรสาวของซูอู่และเ้าเยี่ยนเหมย”
“พวกเขาเกี่ยวข้องกับเ้าอย่างไร?”
หลิ่วิเยวี่ยเล่าต่ออย่างลังเล “ก่อนที่ข้าจะเป็ศิษย์ซิงซิว ข้าเคยมีนามว่าซูิเยวี่ย”
สตรีชุดขาวถามอย่างสงสัย “พวกเ้าเป็พี่น้องกันหรือ?”
หลิ่วิเยวี่ยดูเศร้าโศก “หนิงเทียนเป็คู่หมั้นของซูอวิ๋น”
นักบุญแห่งตำหนักดาวเหนือตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งราวกับนางรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง “แล้วเื่เป็มาอย่างไร?”
หลิ่วิเยวี่ยส่งอารมณ์ผ่านเพลงฉิน ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเศร้าสุดจะพรรณา “เมื่อสิบหกปีก่อน ซูอู่ ท่านแม่ ข้า และเ้าเยี่ยนเหมยซึ่งกำลังตั้งครรภ์ได้หกเดือนถูกซุ่มโจมตีระหว่างทางกลับจวน แม่ของข้าถูกโจรสังหาร และโจรคนนั้นยัง้าจะสังหารข้าด้วย ทว่าหนิงหยางที่ผ่านมาพบได้ช่วยพวกเราเอาไว้ หลังจากนั้นตระกูลหนิงและตระกูลซูก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทั้งยังมีการหมั้นหมายเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กันในวันหน้า”
นางเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเล่าต่อว่า “เมื่อครั้งยังเด็ก หนิงเทียนจึงมักมาเล่นที่จวนตระกูลซูบ่อยครั้ง ซูอู่ใจดีกับเขามาก และซูอวิ๋นก็เป็คนรักในวัยเด็กของเขา”
เมื่อนักบุญได้ยินดังนั้นจึงถามขึ้น “แล้วเ้าเล่า?”
หลิ่วิเยวี่ยยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “ข้ามักจะซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้องและเฝ้าดูพวกเขาทั้งสอง ั้แ่ท่านแม่เสียชีวิต ซูอวิ๋นก็แข่งขันกับข้าในทุกเื่ นางตัดชุดใหม่ทุกเดือนขณะที่ข้าได้ตัดใหม่เพียงปีละสองชุดเท่านั้น ทว่านางก็ยังแย่งชิงชุดข้าไปอีก ตอนที่ข้าอายุแปดขวบ ซูอู่มอบตำราทางการแพทย์ให้ข้า ทั้งยังบอกให้หลีกเลี่ยงซูอวิ๋นและทำตัวให้ดูน่าเกลียด หลังจากนั้นข้าจึงต้องทำตนให้ดูอัปลักษณ์และหลีกเลี่ยงนางอยู่เสมอ ยามที่รู้สึกไม่ดีก็ต้องซ่อนตัวและร้องไห้เพียงลำพัง”
ดวงตาของหลิ่วิเยวี่ยเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา นางเป็บุตรสาวคนโตของตระกูลซู ทว่ากลับมี่เวลาที่ยากลำบากอย่างมากเมื่อครั้งยังเล็ก
แม่ของนางเสียชีวิตั้แ่เยาว์วัย เ้าเยี่ยนเหมยจึงเข้าควบคุมตระกูลซู ทำให้ซูอวิ๋นมีอำนาจเหนือกว่าและครอบงำนางในทุกด้าน ทั้งยังไม่ได้ปฏิบัติต่อนางในฐานะพี่สาวเลย
“มีครอบครัวเช่นนี้ข้าเสียใจแทนเ้าจริงๆ” หญิงชุดขาวถอนหายใจเบาๆ
“เมื่อสามปีก่อนตระกูลซูถูกศัตรูโจมตี ตระกูลหนิงก็ต่อสู้ฟันฝ่าอย่างสุดชีวิตเพื่อช่วยเหลือ ส่งผลให้ตระกูลหนิงเสื่อมถอยลงและหนิงหยางยังต้องพิการ”
แววตาของสตรีตรงหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ตระกูลหนิงเสื่อมถอยหรือ?”
หลิ่วิเยวี่ยเล่าต่อด้วยเสียงแ่เบา “ใช่ และเมื่อตอนหนิงเทียนอายุสิบหกปีเขาก็ปลุกสายเืไม่สำเร็จ แต่หนึ่งปีต่อมาซูอวิ๋นกลับปลุกสายเืร่างเหมันต์ซานหยินขึ้นมาได้ สองคนแม่ลูกจึงเริ่มดูแคลนหนิงเทียน คอยพูดเหน็บแนมและประชดประชันเขาทั้งวัน ทำให้หนิงเทียน้าที่จะแข็งแกร่งขึ้นและตัดสินใจเข้าไปในูเาเฮยเสวียนเพื่อค้นหารากบ่มเพาะเพียงลำพัง สุดท้ายเขาก็ถูกพิษไฟทำร้าย”
“ูเาเฮยเสวียนเป็แดนมรณะ ทั้งยังมีชื่อเสียงอันเลวร้ายมาอย่างยาวนาน แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับหนิงเทียนหรือ?”
“ต้องใช้หยินแท้จากร่างเสวียนหานของหญิงบริสุทธิ์ในการสลายพลังพิษไฟ หนิงหยางจึงมาหาตระกูลซูโดยหวังว่าซูอวิ๋นที่มีร่างเหมันต์ซานหยินจะยอมช่วยเหลือหนิงเทียน แต่น่าเสียดายที่ซูอวิ๋นปฏิเสธ”
ดวงตาของนักบุญชุดขาวเปลี่ยนเป็เ็าโดยพลันและก่นด่าเสียงดัง “ปฏิเสธหรือ? ตระกูลหนิงยอมแลกทุกอย่างเพื่อตระกูลซู นี่เป็วิธีที่ตระกูลซูใช้แทนคุณหรือ?”
หลิ่วิเยวี่ยพูดต่ออย่างขมขื่น “นี่เป็เพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ต่อมาหนิงหยางก็เสียชีวิตหน้าจวนตระกูลซู และหนิงเทียนก็ตั้งตนเป็ศัตรูกับตระกูลซู แต่เขาถูกยอดฝีมือจากสำนักหานเทียนทุบตีจนเกือบตาย”
สตรีผู้นั้นคำรามอย่างโกรธจัด “นั่นไม่สมเหตุสมผลเลย! นางหญิงต่ำช้าซูอวิ๋นต่างหากที่สมควรถูกสังหาร!”
หลิ่วิเยวี่ยพยักหน้าเบาๆ พร้อมบรรเลงเพลงฉินแสนโศกเศร้า
นักบุญแห่งตำหนักดาวเหนือฉุนเฉียวอย่างมาก นางกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัวด้วยความโกรธที่ฉายเข้ามาในดวงตา หลังจากนั้นนางก็สงบลงและนึกถึงช่องโหว่บางอย่าง “ในเมื่อซูอวิ๋นไม่ยอมช่วยหนิงเทียน แล้วเขาแก้พิษไฟได้อย่างไร?”
หลิ่วิเยวี่ยตอบเสียงเศร้า “มีสตรีอีกคนที่ยอมใช้ความบริสุทธิ์ช่วยเขาไว้ แต่เขาไม่เต็มใจที่จะยอมรับมันทั้งยังเกลียดนางสุดหัวใจ”
สตรีชุดขาวถึงกับชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะถามอย่างสงสัย “มีคนช่วยชีวิตเขาไว้ แล้วเหตุใดเขาถึงเกลียดคนที่ช่วยตนเล่า?”
“เพราะว่าคนผู้นั้นใช้แซ่ซู” พลันน้ำตาก็หลั่งรินออกมาจากดวงตาคู่งามของหลิ่วิเยวี่ย
เมื่อสตรีผู้นั้นได้ยินเช่นนี้ นางก็โพล่งออกมาอย่างใ “เป็เ้าที่ช่วยหนิงเทียนไว้!”
หลิ่วิเยวี่ยร้องไห้อย่างหนัก นี่เป็ครั้งแรกที่นางเล่าความคับข้องที่กดทับอยู่ในใจของนางให้ใครสักคนฟัง
หญิงชุดขาวอารมณ์เดือดดาลอย่างยิ่ง ดวงตาของนางลุกเป็ไฟ “แล้วทำไมเ้าถึงช่วยเขา? เ้าก็รู้ดีว่าเขามีความแค้นกับตระกูลซูที่สังหารบิดาของตน”
หลิ่วิเยวี่ยสะอื้นไห้ “ตอนนั้นพ่อของเขาช่วยข้าไว้ ทั้งยังช่วยล้างแค้นให้ท่านแม่ ข้าจะจำเหตุการณ์นี้ไปตลอดกาล”
“แค่ตอบแทนบุญคุณหรือ?”
“เมื่อสิบหกปีก่อนที่หนิงหยางช่วยข้าไว้ ยามนั้นซูอู่สัญญามอบข้าให้หนิงเทียน ทว่าต่อมาเ้าเยี่ยนเหมยก็ให้กำเนิดซูอวิ๋น เนื่องจากนางโลภในอำนาจ นางจึงยืนกรานที่จะมอบซูอวิ๋นให้หนิงเทียน”
“ดูเหมือนเ้าจะต้องทนทุกข์ทรมานมากมายจริงๆ การแต่งงานที่ควรเป็ของเ้ากับหนิงเทียนถูกทำลายลงโดยผู้หญิงสองคนนั้น ยามนี้หนิงเทียนก็ขุ่นเคืองเ้าเพราะความแค้นเื่บิดา เ้าจึงรู้สึกเสียใจมาก แล้วเ้าเคยคิดหาทางแก้ไขเื่นี้บ้างหรือไม่?”
“ซูอู่มีน้ำใจช่วยเลี้ยงดูข้า ยามที่เขาและท่านแม่พบกัน ท่านแม่ก็ตั้งท้องข้าอยู่ก่อนแล้ว”
ดวงตาของนักบุญเป็ประกายและพูดขึ้นมาทันที “เ้าหมายถึงเ้ากับซูอู่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเืต่อกัน และเ้ากับซูอวิ๋นก็ไม่ใช่พี่น้องพ่อเดียวกันหรือ?”
หลิ่วิเยวี่ยพยักหน้าอย่างเศร้าใจ “ข้าอยากจะบอกหนิงเทียน แต่ตอนนั้นเขาอารมณ์เสียมาก เขาแค้นข้า เกลียดข้า ด่าว่าข้า ทั้งยังทุบตีข้าอีกด้วย”
หญิงชุดขาวพูดด้วยความโกรธเคือง “เ้าลูกหมานี่โง่เหมือนหมูไม่มีผิด! ในวันหน้าหากเขายังกล้ารังแกเ้าอีก ข้าจะหักขาเขาเอง!”
หลิ่วิเยวี่ยทั้งเศร้าและเสียใจ นางมองสตรีผู้นั้นด้วยน้ำตาคลอเบ้า “นักบุญ ท่าน...”
“ไม่ต้องกลัว จากนี้ไปข้าจะสนับสนุนเ้า ถ้าหนิงเทียนทำไม่ดีต่อเ้าอีก มาดูกันว่าข้าจะจัดการกับเขาอย่างไร”
ยามนี้เพลิงปฐีมอดลงแล้ว และสายวาโยก็เริ่มโหมโรงอีกครา
ความเ็ปที่แผดเผาหัวใจของนักบุญหายไปหมดแล้ว นางเอื้อมมือมาโอบหลิ่วิเยวี่ยไว้ในอ้อมแขน “สวย งดงามยิ่งนัก เ้าเด็กโง่คนนั้นตาบอดจริงๆ เอาละ บอกข้าทีว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรกับพวกเ้าอีกบ้าง?”
หลิ่วิเยวี่ยยิ้มรับอย่างเขินอาย ก่อนจะค่อยๆ เล่าทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับหนิงเทียนให้นักบุญแห่งตำหนักดาวเหนือฟัง
