“ใช่แล้ว”
เย่เฟิงพยักหน้าให้สองคนนั้น แล้วถามต่อไปว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าเมืองลอยฟ้าอยู่ที่ใด?”
ชายหนุ่มแย้มยิ้มให้เย่เฟิง ก่อนจะเหลือบมองกงซุนหลิงเอ๋อร์ที่อยู่ข้าง ๆ อย่างไม่ตั้งใจ พลันในดวงตาฉายแววประหลาดใจ
“ดูเหมือนพวกเ้าสองคนจะมาเมืองลอยฟ้าครั้งแรกสินะ”
แม้ว่าคำพูดจะฟังดูสุภาพ ทว่าสีหน้ากลับเผยร่องรอยดูถูกออกมาจาง ๆ
“หากพวกเ้าสองคนไม่รังเกียจ สามารถร่วมเดินทางไปกับพวกเราได้ ครั้งหน้าที่มาเยือนเมืองลอยฟ้า จะได้คุ้นเคยมากขึ้น” ชายหนุ่มยังคงพูดต่อ ในบางครั้งสายตาของเขาก็เหลือบไปมองกงซุนหลิงเอ๋อร์ แต่กงซุนหลิงเอ๋อร์กลับไม่ชายตามองเขาแม้แต่ครั้งเดียว ราวกับอีกฝ่ายเป็เพียงธาตุอากาศ
“ตกลง คงต้องรบกวนพี่ชายแล้ว!”
การเคลื่อนไหวของชายคนนั้นอยู่ในสายตาเย่เฟิงตลอด แต่ว่าตอนนี้เขากับกงซุนหลิงเอ๋อร์ไม่เจอสิ่งที่เรียกว่าเมืองลอยฟ้าเลยจริง ๆ อาการาเ็ของเฒ่าจิงกำลังรอเขากลับไปรักษาอยู่ ดังนั้นเขาจะเสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้ เย่เฟิงไม่มีทางเลือก เขาจึงต้องร่วมเดินทางไปกับชายคนนี้
ระหว่างเดินทาง เย่เฟิงทราบชื่อและภูมิหลังของสองคนนั้น ผู้ชายมีนามว่าเฉินซง ส่วนผู้หญิงมีนามว่าจิ้งหยา พวกเขามาจากสำนักที่ชื่อว่าไท่อี ซึ่งเป็สำนักที่แข็งแกร่งสำนักหนึ่ง
สำนักไท่อีเทียบได้กับสำนักใหญ่ ๆ ในเมืองหลวงของอาณาจักรจ้าว ซึ่งมีผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งอยู่นับไม่ถ้วน ทั้งยังอยู่ใต้การปกครองของสำนักชิงอวิ๋นที่เป็หนึ่งในกองกำลังนอกขนาดใหญ่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักชิงอวิ๋น
สำหรับแดนชิงอวิ๋นและเจ็ดอาณาจักรแล้ว สำนักไท่อีถือว่าแข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากที่ทราบว่าเย่เฟิงกับกงซุนหลิงเอ๋อร์มาจากอาณาจักรจ้าวที่อยู่ห่างไกลจากแดนชิงอวิ๋น เฉินซงและจิ้งหยาก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่า แม้ไม่ได้แสดงออกมา แต่ทั้งคำพูดและการกระทำของทั้งสองคน กลับแฝงไปด้วยความเย่อหยิ่งโดยไม่รู้ตัว
“น้องเย่ เ้ามาเยือนที่นี่เป็ครั้งแรก หาก้าซื้อสิ่งใดสามารถให้ข้าอธิบายได้นะ สำนักไท่อีของข้ารู้จักกับกองกำลังมากมายในเมืองลอยฟ้า บางทีอาจจะช่วยเ้าได้”
ระหว่างที่พวกเขาสี่คนกำลังเดินทางอยู่นั้น เฉินซงได้หันมาสนทนากับเย่เฟิงด้วยรอยยิ้ม
“ข้า้าสมุนไพริญญาสำหรับการปรุงยา ไม่รบกวนพี่เฉินดีกว่า แค่พี่เฉินนำทางพวกเราสองคนไปยังเมืองลอยฟ้า พวกข้าก็ขอบคุณมากแล้ว” เย่เฟิงตอบกลับ เขากับเฉินซงเพียงพบกันโดยบังเอิญ ไม่ได้สนิทกันจนถึงขั้นต้องบอกทุกอย่าง อีกทั้งตัวเฉินซงยังทำให้เย่เฟิงรู้สึกไม่วางใจ
การหาหญ้าหนวดัเป็เื่ที่สำคัญมาก เย่เฟิงจึงไม่สามารถพูดเื่สำคัญเช่นนี้กับอีกฝ่ายได้
“เส้นสายของศิษย์พี่ในเมืองลอยฟ้าไม่ใช่สิ่งที่เ้าจะจินตนาการได้ แค่บอกศิษย์พี่มาว่าเ้า้าจะซื้ออะไร ศิษย์พี่ก็สามารถขอให้คนรู้จักหาวัตถุดิบให้เ้าได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังได้รับส่วนลดอีกด้วย นี่เป็สิทธิพิเศษของศิษย์ในสำนักใต้บัญชาการสำนักชิงอวิ๋น”
จิ้งหยาหันมาพูดกับเย่เฟิง สีหน้าแฝงไปด้วยความภาคภูมิใจอยู่หลายส่วน นางและเฉินซ่งเป็ศิษย์สายในของสำนักไท่อี และสำนักไท่อีก็อยู่ใต้การปกครองของสำนักชิงอวิ๋น
ดังนั้นไม่ว่าจะพูดเช่นไรทั้งสองก็นับเป็ศิษย์สำนักชิงอวิ๋นครึ่งหนึ่ง ด้วยสถานะอันสูงส่ง ทุกคนในอาณาจักรใต้การปกครองเมื่อรู้ว่าพวกเขามาจากสำนักไท่อี คนเ่าั้ก็จะมองพวกเขาด้วยสายตาเคารพยำเกรง
มีเพียงเย่เฟิงผู้นี้ที่นับั้แ่ร่วมเดินทางกับพวกเขาสองคนมา คนคนนี้ไม่เคยแสดงท่าทียำเกรงต่อพวกเขาสองคนเลยแม้แต่นิดเดียว
ศิษย์พี่เฉินซงเสนอให้ความช่วยเหลือเย่เฟิงในการซื้อวัตถุดิบ แต่เย่เฟิงคนนี้กลับปฏิเสธ ช่างไม่รู้วิธีประจบประแจงเสียจริง
“ไม่เป็ไร ก็แค่สมุนไพริญญาไม่มีราคาเพียงไม่กี่ชนิด”
เมื่อได้ฟังคำพูดเหยียดเบา ๆ ของจิ้งหยา เย่เฟิงก็อดย่นคิ้วไม่ได้ ก่อนจะตัดสินใจปล่อยวาง บนโลกใบนี้มีคนที่เชื่อมั่นในตัวเองเป็จำนวนมาก เขากับจิ้งหยาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน ฉะนั้นไม่ควรไปใส่ใจคำพูดของอีกฝ่าย
“ไม่รู้จักแยกแยะถูกผิด!”
เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้นของเย่เฟิง จิ้งหยาพลันแค่นเสียงเ็า ใบหน้าสวยเผยท่าทีดูแคลน หลังจากกล่าวถ้อยคำเลื่อนลอยออกมา นางก็ไม่สนใจเย่เฟิงอีก
“ศิษย์น้อง ในเมื่อน้องเย่ไม่อยากพูด ไยต้องไปบังคับเขาด้วยเล่า?” เฉินซงกล่าวกับจิ้งหยาแล้วหันมาพูดกับเย่เฟิงด้วยรอยยิ้มว่า “น้องเย่อย่าได้โมโหไป ศิษย์น้องของข้าถูกตามใจจนเสียนิสัยน่ะ”
“ไม่เป็ไร” เย่เฟิงพยักหน้าให้เฉินซง เขาไม่ถือสาอะไร ในสายตาของเขาจิ้งหยาไม่ต่างอะไรจากคนแปลกหน้า ที่บังเอิญพบกันระหว่างทาง
กงซุนหลิงเอ๋อร์ปรายตามองจิ้งหยาแวบหนึ่ง พร้อมสีหน้าปรากฏความไม่เป็มิตรออกมาบางส่วน เด็กสาวคนนี้เป็คนตรงไปตรงมา เมื่อเห็นจิ้งหยาแสดงท่าทีเย่อหยิ่งเช่นนี้ ย่อมไม่พอใจอยู่แล้ว แต่นางไม่ได้ะเิอารมณ์ออกมา ทั้งยังสงบจิตใจได้อย่างรวดเร็ว
ไม่นาน พวกเขาก็เข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ข้างหน้า ในบ้านดินแสนธรรดาหลังหนึ่งมีค่ายกลมิติส่องแสงสว่างออกมา
“คุณชายเฉิน พวกท่านจะเดินทางไปเมืองลอยฟ้าหรือ?”
ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติแห่งนี้ได้รับการปกป้องโดยชายชราผู้หนึ่ง เมื่อเห็นเฉินซงกับจิ้งหยาเดินเข้ามา ชายชราจึงรีบลุกขึ้นยืน พร้อมแสดงท่าทีเคารพยำเกรง
“ใช่แล้ว รบกวนผู้าุโเปิดการทำงานของค่ายกลที!” เฉินซงเอามือไพล่หลัง เขาชอบความรู้สึกที่ถูกชื่นชมและเคารพเช่นนี้
“แล้วสองคนนี้?” ทันใดนั้นสายตาของชายชราก็จ้องมองไปยังเย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง เมื่อพบว่าเป็คนแปลกหน้า ชายชราจึงเอ่ยถามเฉินซงเช่นนั้น
“ข้าพบสองคนนี้ระหว่างเดินทาง พวกเขามาจากอาณาจักรจ้าวและกำลังเดินทางไปเมืองลอยฟ้า ผู้าุโให้เขาผ่านไปเถอะ” เฉินซงตอบชายชราเช่นนั้น
เมื่อได้ยินที่เฉินซงกล่าวเช่นนั้น ชายชราก็กวาดตามองเย่เฟิงกับกงซุนหลิงเอ๋อร์รอบหนึ่ง พร้อมเผยสีหน้าแฝงความดูถูก “ชาวอาณาจักรจ้าวบังเอิญพบคุณชายเฉินระหว่างทางได้ ไม่รู้ว่าต้องทำบุญมาเยอะแค่ไหน ในเมื่อพวกเ้าสองคนมากับคุณชายเฉิน ข้าจะเห็นแก่หน้าคุณชายเฉินและยอมปล่อยพวกเ้าไปครั้งหนึ่ง”
ในบรรดาอาณาจักรทั้งเจ็ดของแดนชิงอวิ๋น อาณาจักรจ้าวถือได้ว่าอ่อนแอ ดังนั้นไม่ว่าคนของอาณาจักรจ้าวจะเดินทางไปที่ใด ก็มักได้รับสายตาดูถูกดูแคลนจากคนอื่นเช่นนี้เสมอ
เวลานี้ก็เช่นกัน ชายชราคนนี้จ้องมองเย่เฟิงกับกงซุนหลิงเอ๋อร์ด้วยสายตาแปลก ๆ เพียงเพราะทั้งสองคนมาจากอาณาจักรจ้าวอันห่างไกล
“เห็นหรือไม่ ถ้าไม่มีศิษย์พี่ของข้า พวกเ้าสองคนไม่มีโอกาสได้ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายมิตินี้หรอก” ไม่รอให้เย่เฟิงได้ตอบกลับ จิ้งหยาเดินมาข้างหน้า ก่อนจะกล่าวกับเย่เฟิงเช่นนั้นด้วยสายตาหยิ่งผยอง
“น้องเย่มาจากอาณาจักรจ้าว เป็ธรรมดาที่จะไม่รู้จักใครที่นี่ ศิษย์น้องอย่าพูดจาเช่นนี้สิ” เฉินซงเหลือบมองเย่เฟิงกับกงซุนหลิงเอ๋อร์เล็กน้อย จากนั้นหันไปกล่าวกับจิ้งหยา ทว่าสีหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยความภูมิใจ
เย่เฟิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ เขาคิดอยากไปที่เมืองลอยฟ้าโดยเร็วเท่านั้น ฉะนั้นจิ้งหยาจะคิดอย่างไรเขาก็ไม่สนใจ เย่เฟิงอดกลั้นอดทนได้ แต่ไม่ได้หมายความว่ากงซุนหลิงเอ๋อร์จะสามารถอดทนได้ นางพูดกับจิ้งหยาว่า “ถ้าไม่ได้เป็ศิษย์ของสำนักไท่อี เ้าคิดว่าพร์ของเ้ามันน่าภูมิใจมากนักหรือ?”
“แมลงสาบในอาณาจักรจ้าวยังน่าคุยกว่าเ้าเลย เชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถตัดลิ้นเ้าได้?” จิ้งหยาได้ยินเช่นนั้นก็โมโหขึ้นมา
“ศิษย์สำนักใต้การปกครองสำนักชิงอวิ๋นกล้ามาพูดจาโอ้อวดต่อหน้าข้า? ต่อให้ข้ายืนอยู่เฉย ๆ เ้าก็ไม่มีปัญญาทำอะไรข้าได้ เ้าเชื่อหรือไม่?” กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าวเสียงเย็นขณะจ้องมองจิ้งหยาอย่างยั่วโมโห นางหนูคนนี้มีนิสัยห้าวหาญมาแต่ไหนแต่ไร นางจึงทนสีหน้าอวดดีของจิ้งหยาได้ไม่นาน
จิ้งหยาโมโหจนหน้าแดงก่ำ นางเปรียบเสมือนเทพธิดาในสำนักไท่อี มีหรือจะรับความอัปยศนี้ได้?
“คุยโวโอ้อวดได้ไร้ยางอายยิ่งนัก ข้าจะตัดลิ้นเ้าเดี๋ยวนี้แหละ!” จิ้งหยาตวาดเสียงดัง ทันใดนั้นพลังฝ่ามืออันน่ากลัวพุ่งไปหากงซุนหลิงเอ๋อร์
ซึ่งตบะของจิ้งหยาคือขั้นยุทธ์แท้ที่ 4 แต่การโจมตีนี้ขั้นยุทธ์แท้ระดับ 5 ทั่วไปก็ไม่อาจรับมือได้!
ดวงตาของกงซุนหลิงเอ๋อร์พลันฉายแววเย็นะเื พร้อมเผยสีหน้าดูถูก เพียงสะบัดมือเบา ๆ พลังฝ่ามือของจิ้งหยาก็ถูกควบคุมและไม่อาจฝ่าไปได้แม้แต่นิดเดียว
“ปล่อยข้า!”
เมื่อถูกกงซุนหลิงเอ๋อร์ควบคุม สีหน้าของจิ้งหยาก็พลันเปลี่ยนไป ไม่ว่านางจะออกแรงมากเพียงใดก็มิอาจหลุดจากการควบคุมของกงซุนหลิงเอ๋อร์ได้
“ข้าเคยบอกไปแล้วว่าเ้าไม่มีปัญญาทำอะไรข้าได้ แต่เ้าก็ไม่เชื่อ มีพลังแค่นี้ยังกล้ามาอวดดีข้างนอก? ถ้าคนที่เ้าพบไม่ใช่ข้า ไม่รู้ว่าจะตายไปกี่ครั้งแล้ว!” กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าวเย้ยหยันขณะมองจิ้งหยาด้วยแววตาดูถูก จากนั้นก็เหวี่ยงร่างจิ้งหยาออกไป จนนางล้มไปกองกับพื้น
“ข้าจะฆ่าเ้า!”
จิ้งหยารู้สึกอับอายจนโมโห นางรีบลุกขึ้นมาเพื่อจะโจมตีกงซุนหลิงเอ๋อร์อีกรอบ แต่เฉินซงที่อยู่ใกล้ ๆ กลับขวางนางเอาไว้แล้วพูดว่า “ไม่ต้องลงมือหรอก ศิษย์น้อง เ้าไม่ใช่คู่มือของแม่นางกงซุนหลิงเอ๋อร์”
“ศิษย์พี่ข้า...”
ไม่รอให้จิ้งหยาได้พูดจบ เฉินซงก็ยกมือทำสัญญาณให้หยุดพูด จากนั้นหันไปมองกงซุนหลิงเอ๋อร์ “ศิษย์น้องข้าวู่วาม หวังว่าแม่นางกงซุนจะไม่ถือสา”
เมื่อกล่าวจบ เฉินซงพาจิ้งหยาไปยืนบนค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ ก่อนจะหันหน้ามาพูดต่อว่า “ค่ายกลทำงานแล้ว พวกเ้าทั้งสองรีบเข้ามาเถอะ!”
“พวกเราไปกันเถอะ” เย่เฟิงหันมากล่าวกับกงซุนหลิงเอ๋อร์แล้วเดินไปยังค่ายกล กงซุนหลิงเอ๋อร์ก็เดินตามขึ้นมา
วินาทีต่อมา ค่ายกลก็เริ่มทำงาน จู่ ๆ แสงสว่างอันเจิดจ้าห่อหุ้มร่างกายของพวกเขา ก่อนที่ร่างกายจะค่อย ๆ จาง จนกระทั่งหายตัวไป
เมื่อเข้าสู่มิติมืด เย่เฟิงรู้สึกมึนหัวเล็กน้อย สักพักความสามารถในการมองเห็นค่อย ๆ กลับมาทีละนิด จากนั้นโลกเบื้องหน้าจึงปรากฏขึ้น
ที่นี่คือมิติกว้างใหญ่ไพศาล มีูเาลำธาร และหมอกสีขาวลอยเต็มอากาศ เย่เฟิงมองดูรอบ ๆ เขาพบว่าด้านหลังของเขาคือทะเลเมฆสุดลูกหูลูกตา ทั้งแผ่นดินเหมือนลอยอยู่เหนือทะเลเมฆ พวกเขาสี่คนกำลังยืนอยู่แถวชายขอบของทวีป ใต้ทะเลเมฆเป็เหวลึกที่ไม่มีที่สิ้นสุด
เมืองลอยฟ้า เป็พื้นที่ที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้าจริง ๆ ทำให้เย่เฟิงรู้สึกใเล็กน้อย เขานึกว่าเมืองลอยฟ้าเป็แค่ชื่อที่ตั้งขึ้นมาให้ดูดีเท่านั้น
“มิติแห่งนี้ช่างน่าอัศจรรย์มาก!”
เมื่อเห็นทิวทัศน์อันน่าทึ่งนี้ กงซุนหลิงเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง นางอยู่กับกงซุนเชียนมาตลอด แม้จะเดินทางไปมาหลายแห่ง แต่กลับไม่เคยมาที่เมืองลอยฟ้ามาก่อน
