ธุรกิจใดก็ตามที่ไปได้สวย ย่อมเข้าสู่การขยายกิจการ
นับรวมธุรกิจทั้งหมดแล้ว ‘อันเจียวัสดุ’ เพิ่งเปิดกิจการมาได้เพียงสี่เดือน ยอดขายของร้านยังมีช่องว่างให้เติบโตได้อีกไกลโข แม้ปัจจุบันวัสดุก่อสร้างชั้นสูงจะยังไม่เป็ที่นิยม แต่หาก้าเพิ่มยอดขายของร้านวัสดุให้ทะลุหลักสองล้านหยวนในปีหน้าละก็ เซี่ยเสี่ยวหลาน ไป๋เจินจู และคังเหว่ยมั่นใจว่าสามารถทำได้
ยอดขายสองล้านหยวน เทียบกับการพัฒนาของเผิงเฉิงแล้วไม่ใช่เื่ใหญ่แต่อย่างใด
วัสดุก่อสร้างที่เผิงเฉิงต้องใช้ใน่ระยะเวลาหนึ่งปีมีมูลค่ายี่สิบล้าน หรืออาจจะมากถึงสองร้อยล้านด้วยซ้ำ!
ตลาดแห่งนี้ช่างใหญ่โตเหลือเกิน ทว่าโครงการก่อสร้างหลายโครงการล้วนสั่งซื้อวัสดุจากโรงงานของรัฐโดยตรง แต่สิ่งที่พวกเซี่ยเสี่ยวหลานทำคือธุรกิจจากช่องโหว่ของผู้ที่ไม่ได้ทำงานให้กับรัฐ
ช่องโหว่นี้คงไม่ได้มีมูลค่าแค่สองล้านหยวนแน่นอน!
กิจการของร้านที่ตลาดสะพานเหรินิ่ไปได้สวยแค่ไหน ทำเลที่ตั้งก็เป็สิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ และไม่ใช่ทุกคนจะมาที่ร้านตามคำบอกเล่าปากต่อปาก ดังนั้นการที่ไป๋เจินจูอยากเปิดสาขาเป็เื่ที่สมเหตุสมผล เห็นเงินกองอยู่บนพื้นจะไม่เก็บขึ้นมาได้อย่างไร
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่คัดค้านในเื่นี้ แต่จะเปิดร้านสาขาที่ไหนยังต้องพิจารณาให้ดีด้วยน่ะสิ
“ลองปรึกษากับผู้ถือหุ้นคนอื่นดูก่อน เื่นี้ฉันไม่มีความเห็นอะไร พี่ไป๋ แผนที่ที่พี่ให้คนช่วยวาดให้มีประโยชน์มากจริงๆ ”
แผนที่ลายเส้นบิดๆ เบี้ยวๆ แต่วาดไว้อย่างละเอียด นี่ก็คือแผนที่ของเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ ‘ใหม่และครบถ้วนที่สุด’ เมื่อเซี่ยเสี่ยวหลานลองเทียบกับภาพเขตเศรษฐกิจที่ตนจำได้จากชาติที่แล้ว หลายความทรงจำก็ผุดเข้ามาในสมอง
ตลาดวัสดุก่อสร้างของเผิงเฉิงแบ่งเป็สี่ยุค
ยุคแรกก็คือตอนนี้ กลางยุคปี 80 มีร้านค้าขนาดเล็กตั้งอยู่ริมถนน ขายสินค้าก่อสร้างทั่วไป
ยุคที่สองคือ่ที่ร้านขายวัสดุย้ายไปตั้งอยู่รวมกันที่เขาปากว้า ถนนซีเป้ยที่สี่ และแหล่งอื่นๆ โดยใช้วิธีเปิดให้เช่าแผงลอย เพื่อสร้างเป็ตลาดค้าวัสดุก่อสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ
ยุคที่สามคือยุคของเครื่องใช้ภายในบ้าน โดยจะนำของตกแต่งบ้าน เฟอร์นิเจอร์ และวัสดุก่อสร้างมารวมกันไว้ที่เดียว จนกลายเป็ตลาดรวมสินค้าสำหรับบ้านและที่อยู่อาศัย ตลาดรวมสินค้าเช่นนี้มีทั้งร้านขายวัสดุก่อสร้างโดยเฉพาะ มีการจัดแสดงตัวอย่างสินค้าของผู้ประกอบการ ในที่สุดผู้บริโภคก็สามารถซื้อสินค้าทุกรูปแบบได้ในแหล่งเดียว
ยุคที่สี่คือยุคที่ต่างชาติเข้ามาเปิดห้างสรรพสินค้าวัสดุก่อสร้าง นำพารูปแบบการบริหารกิจการแบบใหม่เข้ามาในจีน
คงไม่อาจบอกว่าใครเก่งกว่าใครได้ เพราะถึงอย่างไรรูปแบบธุรกิจของต่างชาติก็จำเป็ต้องปรับตัวให้ธุรกิจเข้ากับสภาพแวดล้อมทางการตลาดของจีน
แต่ไม่ว่าจะเป็ตลาดรวมสินค้าหรือห้างสรรพสินค้าขายวัสดุก่อสร้าง เท่าที่เซี่ยเสี่ยวหลานจำได้มันเป็เื่ของอีกสิบปีให้หลัง ตอนนี้สิ่งที่เธอ้าทำคือการะโข้ามระยะเวลาสิบปีนั้น ข้ามผ่านยุคร้านขายของริมทางกับการเช่าแผงในตลาดวัสดุก่อสร้าง จนสามารถเข้าสู่ยุคที่สามและสี่ได้โดยตรง
หาก้าสร้างเมืองวัสดุก่อสร้างขนาดใหญ่ในตอนนี้ ผู้ถือหุ้นทั้งหลายคงมีเงินทุนไม่มากพอ เผิงเฉิงในปี 1985 เองก็คงหาทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมไม่ได้ง่ายๆ นอกเสียจากสร้างขึ้นมาเอง! แต่ถ้าสร้างเอง การสร้างเมืองวัสดุก่อสร้างขนาดหลายหมื่นตารางเมตรต้องใช้เงินทุนจำนวนมหาศาล หาก้าสินเชื่อจากธนาคารก็จำเป็ต้องมีหลักทรัพย์ไปค้ำประกัน เซี่ยเสี่ยวหลานกลัวว่ากระแสเงินสดของตนจะมีปัญหา
ถ้าจะเปิดร้านสาขาใหม่ เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าควรเปิดร้านขนาดใกล้เคียงกับที่สะพานเหรินหมิน เนื่องจากยังอยู่ในขอบเขตที่พวกเธอสามารถควบคุมได้
หลังผ่านการครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานก็ให้คำตอบที่ชัดเจนกับไป๋เจินจู
“พวกเราไม่จำเป็ต้องรีบร้อนขนาดนั้น เรายังต้องเพิ่มยอดขายให้กับร้านนี้ต่อไปเสียก่อน ยอดขายสองล้านคงไม่ใช่ตัวเลขมากที่สุดที่เราจะสามารถทำได้ ถึงเราจะขยายขนาดของร้านไม่ได้ แต่ก็สามารถจ้างพนักงานขายเพิ่มเข้ามาเพื่อไปเปิดตลาดใหม่ๆ เทียบกับการรอให้ลูกค้าเดินมาหาที่ร้าน สู้เป็ฝ่ายไปเสนอขายถึงที่ไม่ดีกว่าหรือ แน่นอนว่าการเปิดตลาดปิดตายที่มีมาแต่เดิมคงเป็เื่ยาก ทว่าหากได้คำสั่งซื้อมาเมื่อไร ค่านายหน้าจะทำให้พวกพนักงานขายพึงพอใจอย่างแน่นอน”
สิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานพูดถึงคือการแย่งธุรกิจจากหน่วยงานรัฐ
จากรูปแบบโครงการรัฐใช้ของรัฐเปลี่ยนมาเป็รัฐใช้ของเอกชน ทุกอย่างล้วนเป็ไปได้อย่างแน่นอน ถ้าพนักงานขายพยายามมากพอ การแย่งธุรกิจจากหน่วยงานรัฐจะเป็ปัญหาตรงไหนกัน?
หากทำไม่ได้ก็แสดงว่าไม่ใช่พนักงานขายที่ดี ประธานเซี่ยคิดว่าตนสามารถทำได้ และคาดหวังในตัวพนักงานขายของร้านอย่างเต็มเปี่ยม
“ขณะเดียวกันพวกเราก็จะเริ่มทำการเลือกทำเลใหม่ ตกแต่งร้าน และหลังตรุษจีนเราจะไม่แบ่งเงินปันผลรอบครึ่งปี เมื่อถึงเวลามันคงมากพอให้พวกเรานำไปลงทุนเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีกแห่งได้”
การเปิดร้านสักแห่งโดยเริ่มต้นจากศูนย์ และเข้าสู่แวดวงธุรกิจใหม่ที่ไม่เคยััมาก่อนต้องอาศัยความทุ่มเทเป็อย่างมาก
แต่ถ้ามีรูปแบบการทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว การเปิดสาขาใหม่ก็ไม่ใช่เื่ยุ่งยากมากมายขนาดนั้น
ก็แค่ไม่ได้เงินปันผลเป็เวลาครึ่งปีไม่ใช่หรือ?
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีปัญหา ไป๋เจินจูกับคังเหว่ย รวมถึงลุงของเธออย่างหลิวหย่งก็สามารถรอได้ เดิมทีทุกคนก็เตรียมใจไว้แต่แรกแล้วว่า คงต้องลงทุนโดยไม่มีผลตอบแทนอย่างน้อยหนึ่งปีครึ่ง แม้แต่สหายที่ยากจนที่สุดอย่างเส้ากวงหรงที่เป็เพียงพนักงานกินเงินเดือน... อย่างมากเขาก็แค่มีเงินให้จับจ่ายน้อยลง ทว่าคงไม่ทำให้เส้ากวงหรงอดตายแน่นอน นอกจากนี้เ้าหนี้อย่างคังเหว่ยก็คงไม่เอามีดไปฟันเขาเพื่อทวงหนี้ ดังนั้นสหายเสี่ยวเส้าย่อมรอได้เช่นกัน!
ทุกคนปรึกษากันอย่างราบรื่น เซี่ยเสี่ยวหลานวงตำแหน่งบนแผนที่ที่ไป๋เจินจูให้มาอยู่หลายจุด ตั้งใจว่าระหว่างอยู่เผิงเฉิงจะไปดูทำเลร้านพร้อมกับไป๋เจินจูและคังเหว่ย
รถที่คังเหว่ยซื้อมาไม่สามารถขับกลับปักกิ่งได้ ตอนนี้จึงใกล้กลายเป็รถประจำร้านวัสดุไปเสียแล้ว และกลายเป็พาหนะที่ทำให้เซี่ยเสี่ยวหลานเดินทางไปไหนมาไหนในเผิงเฉิงได้อย่างสะดวกสบาย
เซี่ยเสี่ยวหลานเก็บเงินปันผลไว้ส่วนหนึ่งก็เพราะสาเหตุนี้ ร้านวัสดุจ้างคนอื่นขนของเข้าร้านอยู่เสมอ เมื่อไม่มีรถขนสินค้าเป็ของตัวเองบางครั้งก็ทำให้การส่งสินค้าไม่สะดวกนัก เช่นนั้นเธอควรซื้อรถขนสินค้าให้กับทางร้านไว้สักคันน่ะสิ
หลังทำงานยุ่งจนเวลาล่วงเลยเกินสามทุ่ม เซี่ยเสี่ยวหลานเพิ่งได้กินมื้อค่ำ แต่ถึงอย่างไรเธอก็สามารถรับรู้ได้ถึงธุรกิจร้านวัสดุที่กำลังก่อตัวเป็รูปเป็ร่าง
เธอยังไม่ทันได้ใช้เทคนิคการขายวัสดุก่อสร้าง แต่เซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ที่ร้านแค่ครึ่งวันก็ช่วยหาลูกค้าให้ ‘หย่วนฮุย’ ได้แล้วสองเ้า นั่นก็ช่วยไม่ได้ เพราะเธอทั้งหน้าตาสะสวย พูดเสียงน่าฟัง ทุกประโยคล้วนกระแทกใจลูกค้าอย่างยิ่ง เดิมทีลูกค้าแค่มาเดินเล่นที่ร้านหลังกินข้าวเสร็จ แต่พอได้พูดคุยกับเซี่ยเสี่ยวหลานก็ตัดสินใจว่าอยากตกแต่งบ้านสักหน่อย... พวกพนักงานขายที่ร้านได้แต่มองตาค้างด้วยความมึนงง
พวกเขาไม่คุ้นเคยกับเซี่ยเสี่ยวหลาน ก่อนหน้านี้เคยเจอกันแค่หนึ่งครั้งเท่านั้น และรู้ว่าเธอคือหนึ่งในเถ้าแก่ของร้านนี้
ให้ตายสิ นี่คือเทพเ้าแห่งการขายชัดๆ !
พนักงานขายที่รับผิดชอบงานขายกระเบื้องแอบสะกิดไป๋เจินจู “มีเถ้าแก่เสี่ยวเซี่ยอยู่ที่ร้านด้วย ไม่ต้องอยู่ทุกวันก็ได้ อยู่ที่ร้านสักครึ่งเดือน รับรองว่ากิจการของร้านเราต้องดีขึ้นแน่นอนค่ะ!”
ไป๋เจินจูตบหลังมือเธอ “คิดว่าฉันไม่อยากอย่างนั้นหรือ แต่เถ้าแก่เซี่ยของพวกเธอไม่ว่างน่ะสิ!”
พนักงานขายคนนี้เข้ามาทำงานที่ร้านช้ากว่าคนอื่น จึงไม่ได้เห็นตอนหลิวหย่งเอาโทรทัศน์เครื่องใหญ่มาตั้งวางไว้หน้าร้านเพื่อดูถ่ายทอดสดการเดินขบวนฉลองวันชาติ พนักงานอีกคนจึงลากเธอไปอีกทาง “เถ้าแก่เสี่ยวเซี่ยเป็หลานสาวของพี่หลิว นักศึกษาของหัวชิงจะมาเป็พนักงานขายของที่นี่ได้อย่างไรกัน”
นังคนซื่อบื้อ ตาไม่มีแววเอาเสียเลย
พนักงานขายคนเดิมได้ยินก็อ้าปากค้าง “เก่งขนาดนั้นเลยหรือคะ”
บนโลกนี้มีคนประเภทนี้อยู่ คนที่คุณอาจจะคิดว่าแค่หน้าตาดี แต่ความจริงแล้วยังเก่งมากอีกด้วย
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่ใช่แค่มีเงินก็สามารถเป็เ้าของกิจการได้ แต่ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็เก่งกาจกว่าพนักงานมืออาชีพ... คนแบบนี้สมควรแล้วที่จะได้เป็เ้าคนนายคน!
เซี่ยเสี่ยวหลานไม่รู้ตัวสักนิดว่าพนักงานขายกำลังแอบนินทาอยู่ เธอรู้สึกว่าพนักงานขายหลายคนสามารถพัฒนาได้ แต่เธอไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะมาสอนอีกฝ่าย พอนึกขึ้นได้ว่ายังต้องอบรมพนักงานร้านเสื้อผ้าอีกก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ลืมจุดประสงค์ของการเดินทางมาที่เผิงเฉิง ลำพังแค่ตัวเองเธอคงไม่สามารถตามหาโจวเฉิงเจอ ทว่าเขตเศรษฐกิจพิเศษเป็ถิ่นของทังหงเอิน ถ้า้าความช่วยเหลือแต่ไม่ไปหาทังหงเอินแล้วจะควานหาตัวโจวเฉิงเจอได้อย่างไรเล่า