ชายวัยกลางคนเหลือบมองไปยังเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังนอนร้องขอความช่วยเหลืออยู่บนพื้นซึ่งห่างจากตัวเขาไปราวๆ สิบกว่าเมตร โดยไม่มีท่าทีว่าจะเร่งรีบเข้าไปช่วยเลยแม้แต่น้อย
“อา ท่านน้า ช่วยข้าด้วย ข้าหลบหนีมาจากอสูรร้ายตัวหนึ่งและขาของข้าก็หักในระหว่างที่กำลังหลบหนี ได้โปรดช่วยข้าด้วย ข้ามีเงิน ข้าสามารถมอบเงินให้ท่านได้”
เมื่อเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้นมองเห็นว่าเบื้องหน้ามีคน เขาก็รีบร้องขอความช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว
“เ้าหนุ่ม เ้าเป็ใคร สถานที่แห่งนี้คือส่วนลึกของเทือกเขาอันหนาน เ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
ชายผู้นั้นไม่ได้เร่งรีบที่จะเข้ามาช่วยเหลือ แต่เขากลับตั้งคำถามขึ้นมาแทน
“ข้าเป็คนตระกูลมู่แห่งเมืองอันหนาน เข้ามายังเทือกเขาอันหนานแห่งนี้เพื่อฝึกฝนวรยุทธ์ ข้าได้พบกับโสมร้อยปีต้นหนึ่ง แต่คิดไม่ถึงว่าในระหว่างทางข้าจะได้พบกับสัตว์อสูรด้วย ข้าพยายามหลบหนีจากการไล่ล่าของมันจนมาโผล่ที่นี่ และขาของข้าก็หักในระหว่างที่ข้ากำลังหลบหนี ท่านน้า ข้าขอร้องท่าน ได้โปรดช่วยข้าเถิด บนตัวข้ามีต้นโสม นอกจากนี้ยังมีเงินด้วย หากท่านช่วยพาข้ากลับตระกูลมู่ ข้าย่อมมอบของกำนัลตอบแทนให้ท่าน”
เด็กหนุ่มกล่าวขอร้อง ในขณะที่สีหน้าของเขายังคงแสดงให้เห็นถึงความเ็ป
“ว่าอย่างไรนะ บนตัวเ้ามีโสมร้อยปีรึ!”
ชายวัยกลางคนรู้สึกดีใจเป็อย่างมากเมื่อได้ยินดังนั้น ดวงตาของเขามีร่องรอยของความโลภแวบผ่าน โสมร้อยปีมีมูลค่าหลายพันเหรียญตำลึงทอง นี่นับว่าเป็โชคใหญ่แล้ว
“ถูกต้องแล้ว หลังจากท่านช่วยข้ากลับไป ข้าจะนำโสมไปขาย และแบ่งเงินให้กับท่านครึ่งหนึ่ง”
“ฮ่าๆ ได้ ข้าจะช่วยเ้า ข้าจะช่วยเ้าเอง เ้าอย่าได้ขยับ!”
ชายวัยกลางคนรู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง ขณะที่มีร่องรอยของจิตสังหารแวบผ่านทางสายตา เขาเดินถือกระบี่เข้าไปหาเด็กหนุ่มอย่างไม่รีบร้อน
หลังจากเดินเข้ามาจนอยู่ห่างจากเด็กหนุ่มประมาณสามสี่เมตร ฉับพลันนั้นเขาก็ใช้กระบี่พุ่งหาอีกฝ่าย เตรียมจะสังหารเด็กหนุ่มผู้นั้นในกระบี่เดียว
“เ้าหนุ่ม เ้าจงอยู่เป็อาหารของหมาป่าที่นี่เสียเถอะ! ส่วนโสมของเ้า ข้าจะช่วยขายให้เ้าเอง”
ชายผู้นั้นแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะตวัดกระบี่ออกมา
“อึก!”
แต่ทันใดนั้น เด็กหนุ่มผมยาวผู้หนึ่งก็ได้กระโจนลงมาจากหินก้อนใหญ่ที่มีความสูงหลายเมตร ในมือของเขาคือดาบที่กำลังเล็งวิถีดาบมายังชายวัยกลางคน
ชายผู้นั้นใบหน้าซีดเผือดด้วยความใ แนวกระบี่ของเขาพลันหยุดอย่างกะทันหัน เขารีบยกกระบี่ขึ้นเพื่อต้านดาบเล่มนั้นของอีกฝ่ายในทันที
แกร๊ง!
กระบี่เล่มนี้สามารถปิดกั้นการโจมตีจากดาบของเด็กหนุ่มได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้เด็กหนุ่มผมยาวต้องพลิกตัวกลางอากาศก่อนจะกลับลงสู่พื้น
ชิ้ง!
หลังมู่เฟิงหมุนตัวลงสู่พื้น มือข้างหนึ่งของเขาได้ดึงกริชออกมาจากขาด้านหลัง จากนั้นเด็กหนุ่มก็กระโจนร่างขึ้นใหม่อีกครั้ง คราวนี้เขาได้เล็งเป้าไปยังทรวงอกตรงตำแหน่งหัวใจของอีกฝ่าย
ชายวัยกลางคนใอย่างมาก การจู่โจมนี้กะทันหันเกินไปสำหรับเขา แน่นอนว่าเขาไม่อาจหลบหลีกมันได้ทัน ทว่ายังดีที่เขาสามารถเบี่ยงตัวออกได้เล็กน้อย แม้กริชเล่มนี้จะแทงลุทรวงอกของเขา แต่มันก็พลาดตำแหน่งหัวใจ
“ย๊าก…!”
ชายผู้นั้นคำรามออกมาด้วยความโกรธ ก่อนจะแกว่งกระบี่ไปทางมู่เฟิงในทันที เด็กหนุ่มถอยหลังกรูดอย่างรวดเร็วเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตี
ครืด ครืด ครืด...!
ชายวัยกลางคนก้าวถอยหลังไปอย่างต่อเนื่อง เขาจ้องมองเด็กหนุ่มทั้งสองด้วยความฉงนและเต็มไปด้วยความโกรธเคือง เขาเป็ทหารรับจ้างมานานนับสิบปี คาดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะต้องมาตกอยู่ในเงื้อมมือของเด็กหนุ่มสองคน
อัก...!
มือของเขายังคงถือกระบี่อย่างตั้งมั่น ทว่าปากของเขากลับกระอักเืออกมา แผลตรงทรวงอกก็มีเืไหลไม่หยุด เดิมทีเขาได้รับาเ็จากแขนที่ขาดอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเพิ่มาแจากกริชนี้เข้าไป อาการของเขาจึงยิ่งแย่ลงไปอีก
“เ้าหนุ่ม เ้ากล้าตลบหลังข้า...!”
ชายวัยกลางคนคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
“แล้วอย่างไร เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าเ้าเองก็คิดจะสังหารข้าหรอกหรือ? ในเมื่อจิตใจของเ้าละโมบโลภมาก ข้าจะตลบหลังเ้าบ้างแล้วมันจะทำไม?”
มู่เฟิงแสยะยิ้ม
ชายวัยกลางคนทั้งใทั้งมีโทสะ จากนั้นเขาก็ตวัดกระบี่ไปทางคนทั้งคู่ในทันที
ปราณกระบี่สีทองพุ่งทะลวงผ่านอากาศ กวาดโจมตีมาทางมู่เฟิงและมู่ขวงอย่างรวดเร็ว
มู่เฟิงและมู่ขวงรีบหลบหลีกวิถีของปราณกระบี่ ส่งผลให้ปราณกระบี่เล่มนั้นกระแทกไปยังหินก้อนใหญ่ด้านหลัง และทิ้งรอยลึกเอาไว้แทน
เนื่องจากชายวัยกลางคนฝืนกระตุ้นพลังปราณออกมาโจมตี ทำให้เขากระอักเืออกมาอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่รอช้าที่จะหันหลังกลับเพื่อวิ่งหนี
เวลานี้ร่างกายของเขากำลังาเ็สาหัส สถานการณ์กำลังอยู่ใน่วิกฤติ แม้วรยุทธ์ของเด็กหนุ่มทั้งสองจะอยู่เพียงระดับทงม่าย แต่มันก็สามารถเอาชีวิตเขาได้ ดังนั้นการหลบหนีจึงเป็ทางเลือกที่ดีที่สุด
แต่แน่นอนว่ามู่เฟิงและมู่ขวงไม่มีทางยอมปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปได้ มู่เฟิงง้างมือขึ้น ก่อนจะขว้างกริชไปยังชายวัยกลางคนที่กำลังวิ่งหนี
ฉึก!
กริชเล่มนั้นแทงเข้าที่ขาของอีกฝ่าย ทั้งยังเจาะลึกลงไปถึงกระดูก
ชายวัยกลางคนล้มคว่ำในทันที เขาส่งเสียงร้องโอดโอยออกมาอย่างน่าสมเพช เด็กหนุ่มทั้งสองรีบไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว มู่เฟิงฟันดาบลงไปอย่างดุดัน เป็ผลให้แขนอีกข้างของชายวัยกลางคนถูกตัดขาด เืสีแดงฉานพุ่งกระฉูดราวกับสายน้ำ
“อ๊าก…!”
เมื่อชายผู้นั้นสูญเสียแขนอีกข้าง เขาก็เกลือกกลิ้งไปมาบนพื้น พร้อมกรีดร้องออกมาอย่างโหยหวน
เด็กหนุ่มทั้งสองยืนมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเฉยชาราวกับยืนมองท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ไร้ซึ่งความรู้สึกสงสาร ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกเห็นใจ
ชายผู้นี้มีนิสัยที่โเี้และอำมหิตเกินไป เขาไม่ลังเลที่จะสังเวยชีวิตของสหายเพื่อเปิดทางรอดให้ตัวเอง ดังนั้นวิธีการจัดการกับคนประเภทนี้ คือต้องเหี้ยมโหดยิ่งกว่า
“เสี่ยวขวง คนผู้นี้ให้เ้าเป็คนสังหาร”
มู่เฟิงกล่าวกับมู่ขวงขณะที่สายตาของเขายังคงชำเลืองมองไปทางชายวัยกลางที่กำลังกรีดร้อง
“อ่า ข้า เอ่อ... พี่เฟิง ข้า...”
มู่ขวงเกิดลังเลขึ้นมา ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยสังหารคนมาก่อน
“ทำไม ไม่กล้ารึ?”
มู่เฟิงเลิกคิ้ว
“ไม่ ข้ากล้า!”
มู่ขวงสูดลมหายใจเข้าปอด เผยให้เห็นท่าทีที่มุ่งมั่นของเขา สายตาของเขาจดจ้องไปยังชายวัยกลางคนที่นอนกลิ้งอยู่บนพื้น ก่อนจะเริ่มขยับเข้าหาอีกฝ่ายพร้อมกับดาบในมือ
“เ้าหนุ่ม หากเ้าสังหารข้า ต่อให้เหล่าจือผู้นี้กลายเป็ผี ก็จะไม่มีทางปล่อยเ้าไป!”
ชายผู้นั้นจ้องมองมู่ขวงด้วยดวงตาแดงก่ำ พร้อมกับคำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว เมื่อเห็นท่าทีชิงชังของอีกฝ่าย มือของมู่ขวงก็เกิดสั่นขึ้นมาด้วยความใ ดาบที่ง้างขึ้นกลางอากาศพลันหยุดชะงักลงเช่นกัน
“เขาเป็เพียงคนชั่วช้าที่ทรยศหักหลังผู้อื่น สันดานดิบเลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน ไม่มีสิ่งใดให้ต้องเกรงกลัว สังหารเขาซะ!”
มู่เฟิงะโเสียงดัง
คำพูดนี้ทำให้หัวใจของมู่ขวงพลันสั่นสะท้าน ดวงตาของเขาวาวโรจน์ด้วยความอาฆาต ก่อนจะคำรามออกมาเสียงดัง “จงตายเสีย!”
ชิ้ง!
ดาบเล่มนั้นฟันลงมาอย่างดุดัน
“ไม่…!”
ฉัวะ!
เืสีแดงฉานพุ่งกระฉูด ศีรษะของชายผู้นั้นกลิ้งไปด้านข้าง ใบหน้าของอีกฝ่ายยังคงมีร่องรอยของความตื่นตระหนกและไม่เต็มใจ
หลังจากสังหารคนผู้นี้ มู่ขวงถึงกับหอบหายใจออกมาอย่างหนักราวกับว่าเขาเพิ่งไปสู้รบมา เขาจ้องมองศพที่เปื้อนเืด้วยสายตามึนงง
มู่เฟิงถอนหายใจ ในตอนที่เขาลงมือสังหารคนครั้งแรกท่าทางของเขาก็เป็เช่นนี้ เด็กหนุ่มเดินเข้าไปตบบ่าของมู่ขวงและสวมกอดอีกฝ่ายเอาไว้
“เสี่ยวขวง บนโลกใบนี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่เ้าต้องเผชิญ การสังหารไม่ใช่เพื่อความสนุก แต่เพื่อความอยู่รอด โดยเฉพาะพวกคนสารเลวเช่นนี้ หากเ้าไม่สังหารเขา ในอนาคตเขาจะทำสารพัดวิธีเพื่อสังหารเ้า ฉะนั้นเ้าอย่าได้โทษพี่เฟิงเลย”
มู่เฟิงตบหลังมู่ขวงขณะกล่าวคำพูดเหล่านี้
“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ในตอนที่สายตาของเขามองมายังข้า ทำให้ข้าลงมือไม่ลง อย่างไรเขาก็เป็มนุษย์เหมือนกัน”
เสียงของมู่ขวงฟังดูแ่เบา แม้เขาจะบ้าบิ่นและกล้าหาญ แต่เขาก็มีจิตใจที่ดีและซื่อสัตย์ต่อตัวเอง
“ข้ารู้ แต่มนุษย์เช่นนี้ยังเทียบอะไรกับสัตว์เดรัจฉานไม่ได้ด้วยซ้ำ เ้าอย่าได้กังวลไปเลย เ้าล้างแค้นเพื่อสหายของเขา เราสังหารคนก็จริง แต่เราไม่ได้สังหารคนบริสุทธิ์ มีเพียงคนชั่วช้าเท่านั้นที่เราจะสังหาร และเื่นี้ก็ไม่ใช่เื่ที่ผิด”
มู่เฟิงมองไปยังร่างไร้ิญญา ก่อนจะกล่าวต่อว่า “เืในร่างของเขายังมีมากพอ เ้าใช้มันเพื่อฝึกฝนเถอะ ข้าจะช่วยดูแลความปลอดภัยให้เอง”
เมื่อมองไปยังร่างไร้ศีรษะ มู่ขวงทำได้เพียงกล่าวด้วยรอยยิ้มขื่น “พี่เฟิง ท่านฝึกเถอะ ข้าอยากอยู่คนเดียวสักพัก”
มู่เฟิงทราบดีว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในอารมณ์ที่สับสน ไม่สามารถฝืนตัวเองให้มีสมาธิได้ เขาจึงไม่บังคับอีกฝ่ายอีก เด็กหนุ่มนั่งขัดสมาธิลงด้านข้างของร่างไร้ศีรษะ ก่อนจะเริ่มทำการฝึกในทันที
ภายในร่างของชายผู้นี้มีแก่นโลหิตห้าหยด หลังจากทำการกลั่นมันให้เป็พลังเืแล้ว มู่เฟิงก็รีบดูดซึมมันเข้าไปในร่างในทันที เพียงไม่นานเส้นโลหิติญญาในจุดที่สิบของเขาก็ถูกควบแน่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ ขณะที่เส้นโลหิติญญาในจุดที่สิบเอ็ดเองก็ควบแน่นขึ้นมาได้ถึงครึ่งหนึ่งแล้วเช่นกัน ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาพัฒนาขึ้นอย่างมาก
เวลานี้เด็กหนุ่มสามารถทะลวงผ่านเส้นลมปราณได้ถึงสิบจุดแล้ว ดังนั้นเขาจึงมีจุดลมปราณมากกว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับทงม่ายขั้นเก้าทั่วไปหนึ่งจุด แม้จะไม่รู้ว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมากเพียงใด แต่อย่างไรเขาก็คงแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับทงม่ายขั้นเก้ามากทีเดียว