บทที่ 4 หลักฐานชิ้นสำคัญในซอกหลืบ
แสงตะวันยามสายสาดส่องลงมากระทบลานดินหน้าบ้านสกุลหลิน ขับไล่ความหนาวเหน็บยามค่ำคืนให้มลายหายไป แต่ทว่าความอบอุ่นนั้นกลับไม่อาจแทรกซึมผ่านกำแพงอิฐเก่าคร่ำคร่า เข้าไปละลายความะเืที่เกาะกุมอยู่ในใจคนในบ้านหลังนี้ได้
หลินซีก้าวเท้าออกจากห้องเก็บฟืนด้วยท่วงท่าที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
แผ่นหลังที่เคยค้อมต่ำด้วยความหวาดกลัว บัดนี้เหยียดตรงดุจพู่กันจีนที่ตวัดวาดลงบนกระดาษขาว สง่างามและทนงตน แม้จะสวมใส่เพียงเสื้อผ้าเก่าขาดวิ่นเนื้อหยาบ แต่ผิวพรรณที่โผล่พ้นร่มผ้าออกมากลับขาวผ่องนวลเนียน สะท้อนแสงแดดจนดูราวกับหยกเนื้อดีที่เพิ่งกะเทาะเปลือกหินออก
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของครีมบำรุงผิวราคาแพงจากยุค 2000 ลอยฟุ้งจางๆ ผสมปนเปกับกลิ่นดินและกลิ่นควันไฟในอากาศ สร้างความรู้สึกแปลกแยกและสูงส่งอย่างน่าประหลาด
"อ้าว! นั่นอาซีไม่ใช่รึ? วันนี้ตื่นสายตะวันโด่งเชียว ปกติต้องเห็นแบกฟืนจนหลังแอ่นแล้วนี่นา"
เสียงแหลมสูงของหญิงวัยกลางคนดังมาจากกำแพงรั้วเตี้ยๆ ที่กั้นระหว่างบ้าน ป้าสะใภ้จาง เพื่อนบ้านปากสว่างประจำหมู่บ้าน ชะโงกหน้าเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ดวงตาเล็กหยีกลอกกลิ้งไปมา ราวกับหนูที่กำลังดมกลิ่นเน่าเฟะของเื่อื้อฉาว
หลินซีหยุดเดิน หันไปสบตากับหญิงขี้นินทาผู้นั้น รอยยิ้มบางเบาปรากฏขึ้นที่มุมปาก เป็รอยยิ้มที่ไปไม่ถึงดวงตา
"อรุณสวัสดิ์ค่ะป้าจาง วันนี้แดดดีนะคะ เหมาะแก่การตากผ้าห่ม ไม่ใช่มาตากหน้าเื่ชาวบ้าน"
"อุ๊ยตาย! นังเด็กนี่!" ป้าจางหน้าตึงขึ้นมาทันควัน ตั้งท่าจะด่ากลับ แต่เมื่อสบเข้ากับดวงตาคู่สวยที่ดูเ็าและลึกล้ำคู่นั้น นางกลับรู้สึกหนาวสันหลังวาบ คำด่าที่เตรียมไว้กลืนหายลงไปในลำคอ
หลินซีไม่เสียเวลาเสวนากับตัวประกอบไร้ค่า เธอหมุนตัวเดินตรงไปยังเรือนหลัก ที่ซึ่งแม่เลี้ยงและย่าจอมโหดอาศัยอยู่
ภายในใจของเธอกำลังคำนวณหมากกระดานนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
‘การใช้กำลังข่มขู่อย่างเมื่อเช้า เป็เพียงการหยุดเืชั่วคราว แต่ถ้าจะตัดเนื้อร้ายทิ้งถาวร ต้องมีมีดที่คมกริบกว่านั้น หลักฐาน!’
ในความทรงจำอันเลือนรางของเ้าของร่างเดิม แม่แท้ๆ ของเธอหลินหว่าน เคยเป็ลูกสาวคหบดีเก่าที่มีการศึกษาและสินเดิมติดตัวมามากมาย ก่อนจะเสียชีวิตอย่างปริศนาเมื่อสิบปีก่อน ทิ้งสมบัติและเงินทองจำนวนมหาศาลไว้ให้สามีและลูกสาว
แต่ทว่า สมบัติเ่าั้กลับอันตรธานหายไป ราวกับระเหยไปในอากาศ พ่อของเธอบอกเพียงว่าเอาไปลงทุนแล้วขาดทุน แต่ชีวิตความเป็อยู่ของจางชุ่ยและลูกสาวกลับดีวันดีคืน สวนทางกับคำว่าขาดทุนอย่างสิ้นเชิง
"คนโลภมักทิ้งร่องรอย จางชุ่ยเป็คนขี้เหนียวและขี้ระแวง นางไม่มีทางฝากเงินไว้ที่ธนาคารทั้งหมดแน่ นางต้องมีบัญชีลับ หรือไม่ก็สมุดจดบันทึกความชั่วของตัวเองเก็บไว้ เพื่อใช้เป็หลักประกันในวันที่โดนสามีทิ้ง"
หลินซีเดินขึ้นบันไดหน้าเรือนหลัก ประตูไม้บานใหญ่ปิดสนิท มีเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบและเสียงร้องโอดโอยดังลอดออกมาเบาๆ
เธอไม่ได้คิดจะพังประตูเข้าไปตอนนี้ การแหวกหญ้าให้งูตื่นไม่ใช่หนทางของผู้ฉลาด
เป้าหมายของเธออยู่ที่ ห้องเก็บของเก่าใต้บันได
ตามความทรงจำ ห้องนี้เคยเป็ห้องทำงานของแม่เธอ แต่หลังจากแม่ตาย จางชุ่ยก็ยึดห้องนอนใหญ่ไป แล้วเปลี่ยนห้องนี้ให้กลายเป็ห้องเก็บของรกร้าง ที่ซึ่งจางชุ่ยมักจะเข้าไปขลุกอยู่นานๆ เวลาที่มีเื่ไม่สบายใจ หรือเวลาที่พ่อส่งเงินกลับมา
หลินซีเดินอ้อมไปทางด้านหลังเรือน ซึ่งมีหน้าต่างบานเล็กของห้องเก็บของอยู่
หน้าต่างบานนั้นถูกตอกตะปูปิดตายด้วยแผ่นไม้กระดาน สำหรับคนทั่วไป มันคือทางตัน
แต่สำหรับหลินซี อดีตหัวหน้าหน่วยจู่โจมระดับ S เื่แค่นี้ง่ายดายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก
เธอเพ่งจิตเรียกอุปกรณ์จากคลังแสง
[ติ๊ง! คีมตัดเหล็กไฮดรอลิกขนาดพกพา และ มีดพับอเนกประสงค์ทางการทหาร]
วัตถุเย็นเฉียบปรากฏขึ้นในมือ หลินซีจัดการงัดแผ่นไม้และถอนตะปูที่เป็สนิมเขรอะออกอย่างแ่เบาและไร้เสียง ราวกับภูตพรายที่ย่างกรายในยามราตรี
เพียงไม่กี่อึดใจ ช่องทางเข้าก็เปิดออก เธอปีนลอดหน้าต่างเข้าไปในความมืดมิดอย่างคล่องแคล่ว
หลินซียืนนิ่งอยู่กลางห้อง คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากันจนแทบเป็ปม เมื่อเห็นกองข้าวของพะเนินเทินทึกที่วางระเกะระกะไร้ทิศทาง ทั้งไหดองผักที่วางซ้อนกัน จักรเย็บผ้าเก่าที่มีผ้าคลุมฝุ่นเขรอะ และหีบไม้ที่ดูเหมือนไม่ได้เปิดมานานนับปี
"ห้องรกเหมือนรังหนูขนาดนี้ ขืนให้รื้อหาทีละชิ้นคงต้องใช้เวลาทั้งวันแน่ เผลอๆ จางชุ่ยอาจจะกลับมาเจอเข้าซะก่อน"
เธอถอนหายใจยาวด้วยความหงุดหงิด พลางนึกถึงอุปกรณ์ไฮเทคในโลกเดิมที่จากมา
"เฮ้อ ถ้าตอนนี้มี เรดาร์สแกนวัตถุ หรือแว่นตาอินฟราเรด เหมือนตอนออกปฏิบัติภารกิจก็คงจะดีสินะ จะได้ไม่ต้องมางมเข็มในมหาสมุทรแบบนี้"
เธอเพียงแค่บ่นพึมพำกับตัวเองด้วยความเสียดาย โดยไม่ได้คาดหวังอะไร
ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงสังเคราะห์ที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นในหัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย!
[ติ๊ง! ตรวจพบคำร้องขอจากโฮสต์ ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะกำลังประมวลผล]
[ยืนยันสิทธิ์การเข้าถึงระดับนายพล ปลดล็อคฟังก์ชันเสริม: โหมดสแกนโครงสร้างวัตถุและรังสีทะลุทะลวง]
[เริ่มการทำงานใน 3... 2... 1...]
หลินซีสะดุ้งโหยงจนตัวโยน ดวงตาหงส์เบิกกว้างด้วยความตกตะลึงระคนตื่นเต้น
"เฮ้ย! จริงดิ? แกฟังรู้เื่ด้วยเหรอเนี่ย!"
หัวใจของเธอเต้นระรัวแรงขึ้นมาทันที เดิมทีเธอคิดว่ามิตินี้เป็เพียงแค่คลังเก็บของ ที่มีไว้หยิบของกินของใช้เท่านั้น ไม่นึกเลยว่ามันจะพ่วงเอาระบบปฏิบัติการทางทหารสุดล้ำติดตัวิญญาเธอมาด้วย!
[ระบบพร้อมใช้งาน กรุณาระบุขอบเขตการค้นหา]
"สุดยอด นี่มันยิ่งกว่าถูกรางวัลที่หนึ่งซะอีก!"
หลินซียกมือขึ้นทาบอก พยายามกลั้นเสียงหัวเราะแห่งความปิติยินดีเอาไว้ ์ช่างเข้าข้างเธอเสียจริง! ด้วยฟังก์ชันนี้ ต่อให้จางชุ่ยจะซ่อนของไว้ในรูมด เธอก็จะขุดมันออกมาได้
เธอสูดหายใจลึก ปรับอารมณ์ให้มั่นคง ก่อนจะสั่งการในใจด้วยความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นเป็ทวีคูณ
"ดีมากลูกรัก งั้นช่วยแม่หน่อย เปิดโหมดสแกนโครงสร้างวัตถุ ค้นหาช่องว่าง กลไก หรือโลหะมีค่าที่ผิดปกติในรัศมี 5 เมตร เดี๋ยวนี้!"
[รับทราบ... กำลังทำการสแกน... ติ๊ง!]
ทันใดนั้น โลกในสายตาของหลินซีก็เปลี่ยนไป ราวกับมีฟิลเตอร์สีฟ้าใสฉาบทับ
เส้นแสงดิจิทัลกวาดผ่านข้าวของในห้องราวกับเรดาร์ มันพาดผ่านจักรเย็บผ้า [โครงสร้างปกติ]
พาดผ่านกองหนังสือพิมพ์เก่า [ไม่มีวัตถุซ่อนเร้น]
จนกระทั่งแสงนั้นไปหยุดนิ่งอยู่ที่ตู้ไม้จันทน์แกะสลัก เก่าคร่ำคร่าที่วางชิดมุมผนังด้านในสุด พร้อมกับขึ้นกรอบสีแดงกระพริบเตือนถี่รัว
[แจ้งเตือน! ตรวจพบช่องว่างความหนาแน่นต่ำหลังตู้ไม้ และปฏิกิริยาของโลหะผสมในบริเวณผนังอิฐ]
มุมปากของหลินซียกขึ้นเป็รอยยิ้มที่งดงามแต่ทว่าอันตราย
"เจอตัวแล้ว เ้าหนูสกปรก"
เธอเดินตรงไปที่ตู้ไม้จันทน์ มันหนักอึ้งและเต็มไปด้วยฝุ่น แต่ด้วยพละกำลังที่เพิ่งฟื้นฟูจากการกินอาหารในมิติ บวกกับเทคนิคการยกของ เธอค่อยๆ ขยับตู้ไม้ออกมาทีละนิด
เสียงไม้ครูดกับพื้นปูนดัง ครืดคราด เบาๆ หัวใจของหลินซีเต้นระรัว ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่เพราะความตื่นเต้นที่จะได้กระชากหน้ากากคนชั่ว
ที่ผนังอิฐด้านหลังตู้ มีอิฐก้อนหนึ่งที่มีสีเข้มกว่าก้อนอื่นเล็กน้อย และร่องปูนยาแนวรอบๆ ดูร่วนซุยเหมือนถูกขุดแต่งบ่อยครั้ง
หลินซีใช้ปลายมีดพับแซะเข้าไปในร่องปูน เพียงแค่ออกแรงงัดเบาๆ อิฐก้อนนั้นก็หลุดออกมา เผยให้เห็นช่องว่างมืดมิดภายใน
เธอล้วงมือเข้าไปในโพรงนั้น ปลายนิ้วััเข้ากับวัตถุบางอย่างที่ห่อหุ้มด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดง
"แจ็คพอต!"
หลินซีดึงห่อผ้านั้นออกมา ภายในห่อผ้ามีกล่องเหล็กนิรภัยสีเขียวขี้ม้า ขนาดเท่าฝ่ามือ สภาพสีถลอกปอกเปิกตามกาลเวลา ตรงกลางมีแม่กุญแจทองเหลืองดอกเล็กคล้องไว้อย่างแ่า
"หึ คิดว่ากุญแจกระจอกๆ แค่นี้จะขวางทางฉันได้งั้นเหรอ?"
หลินซียกกล่องขึ้นเขย่าเบาๆ เสียงวัตถุกระทบกันดังกุงกิ๋งบ่งบอกถึงความอัดแน่นภายใน เธอไม่รอช้า ใช้ปลายแหลมของมีดพับอเนกประสงค์แทงเข้าไปในรูแจกุญแจ ขยับข้อมือด้วยเทคนิคสะเดาะกลอนขั้นเทพเพียงสองสามครั้ง
กริ๊ก!
เสียงสลักภายในดีดตัวออกดั่งเสียง์ หลินซีปลดแม่กุญแจทิ้ง แล้วค่อยๆ เปิดฝากล่องเหล็กขึ้น
ทันใดนั้น ประกายสีทองอร่ามก็กระแทกเข้าตา!
ภายในกล่องไม่ได้มีเพียงแค่เศษเงินย่อยอย่างที่คาด แต่กลับอัดแน่นไปด้วย ทองคำแท่งขนาดเล็ก สองแท่ง และกำไลหยกขาวมันแพะ เนื้อดีที่ดูคุ้นตาเป็อย่างยิ่ง
ความทรงจำสายหนึ่งแล่นปราดเข้ามาในหัวจนหลินซีรู้สึกจุกที่อก กำไลหยกวงนี้ คือสินเดิมของแม่เธอ! คือของดูต่างหน้าที่แม่รักและหวงแหนที่สุด ก่อนตายแม่กำชับนักหนาว่าจะเก็บไว้ให้หลินซีใส่ในวันแต่งงาน แต่จางชุ่ยกลับโกหกว่ามันหายไปตอนไฟไหม้โรงงาน
"หายไปงั้นเหรอ? ที่แท้ก็มาซุกอยู่ในรังโจรนี่เอง"
หลินซีขบกรามแน่นจนขึ้นเป็สันนูน นิ้วมือลูบไล้กำไลหยกที่เย็นเฉียบ ััได้ถึงความเศร้าโศกของเ้าของเดิมที่ถูกหลอกลวงมาตลอดชีวิต
นอกจากของมีค่า ใต้ก้นกล่องยังมี สมุดบัญชีปกสีน้ำเงิน เล่มเล็กซ่อนอยู่
เธอหยิบมันขึ้นมาเปิดดูหน้าแรก ตัวเลขในบัญชีทำให้ดวงตาหงส์เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย
ยอดรวม: 5,800 หยวน
ในยุค 1980 ที่เงินเดือนพนักงานทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 30-40 หยวน เงินจำนวนเกือบหกพันหยวนถือเป็เงินก้อนโตมหาศาล! มันมากพอที่จะซื้อบ้านหลังใหญ่ในตัวเมือง หรือใช้ชีวิตสุขสบายไปได้ทั้งชาติ
และที่สำคัญ ชื่อเ้าของบัญชีไม่ใช่ชื่อพ่อ แต่เป็ชื่อจางชุ่ย
"ร้ายกาจ ร้ายกาจจริงๆ" หลินซีแสยะยิ้ม แววตาเปล่งประกายวาวโรจน์ยิ่งกว่าทองคำในกล่อง "เบื้องหน้าทำตัวเป็เมียแสนดี ประหยัดอดออมจนลูกเลี้ยงผอมโซ แต่เื้ักลับยักยอกเงินผัว ขโมยสมบัติเมียเก่าไปขาย แล้วเก็บเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง"
นี่ไม่ใช่แค่หลักฐานการขโมย แต่มันคือใบสั่งตาย ของจางชุ่ย
ถ้าพ่อของเธอ ผู้ชายที่เห็นเงินเป็พระเ้าคนนั้น รู้เื่นี้เข้า รับรองว่าบ้านแตกสาแหรกขาดแน่นอน
"ขอบคุณที่อุตส่าห์เก็บรักษาไว้ให้นะ คุณแม่เลี้ยงแสนดี ฉันจะขอรับไว้ทั้งหมดโดยไม่เกรงใจล่ะ"
หลินซีไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียว เธอรวบของมีค่าทั้งหมด รวมถึงสมุดบัญชี และจดหมายลับอีกสองสามฉบับที่สอดอยู่ท้ายเล่ม (ซึ่งดูเหมือนจะเป็จดหมายติดต่อกับชายชู้หรือคนรับซื้อของโจร) โยนเข้าไปในมิติคลังแสงเก็บไว้ในตู้เซฟนิรภัยโซน VVIP ที่ไม่มีใครเปิดได้นอกจากเธอ
เมื่อกล่องเหล็กว่างเปล่า หลินซีก็เกิดไอเดียแสบสันขึ้นมา
เธอหยิบก้อนอิฐก้อนหนึ่งจากเศษซากมุมห้อง ใส่ลงไปในกล่องแทนที่ของมีค่า เพื่อให้น้ำหนักใกล้เคียงกัน แล้วเขียนข้อความใส่กระดาษแผ่นเล็กๆ วางทับไว้บนก้อนอิฐ
ข้อความสั้นๆ ว่า:
“กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง จากิญญาที่เฝ้ามอง”
จากนั้นเธอก็ปิดล็อคกล่องเหล็กให้สนิทดังเดิม เสียงตัวล็อคที่เกี่ยวกันดัง กริ๊ก เบาๆ ฟังดูคล้ายเสียงสับไกปืนที่เตรียมจะลั่นะุเจาะกะโหลกของเ้าของกล่อง
หลินซีค่อยๆ สอดกล่องเหล็กที่บัดนี้ไร้ค่ากลับเข้าไปในโพรงมืดหลังกำแพงอย่างระมัดระวัง เธอบรรจงปิดก้อนอิฐทับลงไป ยาแนวรอยต่อด้วยผงปูนเก่าที่ร่วงกราวลงมาให้เนียนสนิทที่สุด ก่อนจะออกแรงดันตู้ไม้จันทน์หนักอึ้งให้เลื่อนกลับเข้าที่เดิม ทับรอยตำหนิบนผนังจนมิดชิด
ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพเดิม ฝุ่นละอองที่ลอยคว้างเริ่มตกตะกอนลงสู่พื้น ความเงียบงันปกคลุมห้องเก็บของราวกับไม่เคยมีผู้บุกรุกย่างกรายเข้ามา
มันคือ อาชญากรรมที่สมบูรณ์แบบ
หลินซีถอยหลังออกมาทีละก้าว ดวงตาคมกริบกวาดมองไปรอบๆ เพื่อตรวจเช็คความเรียบร้อยเป็ครั้งสุดท้าย เธอใช้ผ้าขี้ริ้วเก่าๆ ที่วางอยู่แถวนั้นเช็ดรอยนิ้วมือบนตู้ไม้และรอยลากที่พื้นดินอย่างชำนาญ ไม่มีร่องรอยเท้า ไม่มีเส้นผมตกหล่น มีเพียงความว่างเปล่าที่รอคอยการค้นพบ
"หลับให้สบายนะจ๊ะ สมบัติจอมปลอม รอวันที่เ้าของแกมาปลุกให้ตื่นด้วยเสียงกรีดร้องก็แล้วกัน"
เธอกระตุกยิ้มมุมปาก ก่อนจะปีนกลับออกทางหน้าต่างบานเดิมอย่างคล่องแคล่ว มือเรียวดันแผ่นไม้กระดานกลับเข้าที่ แล้วใช้ก้อนหินตอกตะปูตัวเก่าลงไปในรูเดิมอย่างแม่นยำ ทุกการกระทำลื่นไหล ไร้เสียง และไร้ที่ติ สมศักดิ์ศรีอดีตสายลับมือพระกาฬ
เมื่อเท้าแตะพื้นดินด้านนอก แสงแดดยามสายที่สาดส่องลงมาทำให้เธอต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย
อากาศภายนอกช่างสดชื่นแตกต่างจากกลิ่นอับชื้นในห้องนั้นราวฟ้ากับเหว หลินซีสูดลมหายใจเข้าลึก เต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกอิ่มเอิบใจของ ผู้ล่า ที่เพิ่งวางกับดักสำเร็จ
ตอนนี้ะเิเวลา ลูกใหญ่ถูกฝังเอาไว้ในใจกลางบ้านสกุลหลินเรียบร้อยแล้ว
ทันทีที่จางชุ่ยเปิดกล่องนั้นดู ความศรัทธา ความหวัง และอนาคตที่นางวาดฝันไว้ จะพังทลายลงเหมือนปราสาททรายที่ถูกคลื่นซัดหายไปในพริบตา
"อาซี! นังเด็กี้เี! มัวไปมุดหัวอยู่ที่ไหนฮะ? รีบไปตักน้ำใส่โอ่งเดี๋ยวนี้!"
เสียงะโด่าทอของจางชุ่ยดังแว่วมาจากทางหน้าบ้าน น้ำเสียงนั้นยังคงเต็มไปด้วยความกร่างและวางอำนาจ หารู้ไม่ว่าบัลลังก์ที่ตนนั่งอยู่นั้นกำลังจะกลายเป็เก้าอี้ไฟฟ้า
หลินซีปัดฝุ่นที่เปื้อนปลายเสื้อออกเบาๆ แววตาที่มองไปยังทิศทางของเสียงนั้นว่างเปล่าไร้ความรู้สึก
"ะโไปเถอะ ะโให้พอ ก่อนที่จะไม่มีแรงแม้แต่จะร้องไห้"
เธอสาวเท้าเดินกลับไปยังเรือนพักอย่างใจเย็น แผ่นหลังเหยียดตรง ท่วงท่าสง่างามดุจนางพญาที่กำลังเดินชมสวนดอกไม้ ไม่ใช่คนรับใช้ที่กำลังจะไปทำงานหนัก
หลินซียืนพิงผนังดินเย็นเฉียบที่ด้านหลังเรือนหลัก มือข้างหนึ่งยกขึ้นกุมหน้าอกข้างซ้ายแน่น ไม่ใช่เพราะอาการาเ็ทางกาย แต่เป็เพราะความเ็ปรวดร้าวของ จิติญญาเดิม ที่ยังคงตกค้างอยู่ภายในร่างนี้
ความทรงจำที่ขมขื่นไหลบ่าเข้ามาดุจน้ำป่า
ภาพเด็กหญิงตัวน้อยที่ยืนมองพ่ออุ้มน้องสาวขี่คอหัวเราะร่าเริง ในขณะที่ตนเองต้องนั่งซักผ้ากองโตด้วยมือที่แตกยับเยินในฤดูหนาว
ภาพคุณย่าที่คีบเนื้อไก่ชิ้นโตใส่ถ้วยให้กับหลินเจียว แต่กลับเทน้ำแกงก้นหม้อที่มีแต่เศษิญญาผักให้เธอกินพร้อมคำด่าทอว่าเป็ตัวซวย
และภาพแม่เลี้ยงที่แสร้งยิ้มหวานต่อหน้าพ่อ แต่ลับหลังกลับหยิกทึ้งเนื้อตัวเธอจนเขียวช้ำ
"บ้าน คำคำนี้ช่างศักดิ์สิทธิ์และอบอุ่นสำหรับคนอื่น แต่สำหรับหลินซี มันคือคุกที่ไร้กรงขัง คือขุมนรกที่ใช้คำว่า กตัญญู เป็โซ่ตรวนล่ามคอเอาไว้"
หลินซีสูดหายใจเข้าลึก พยายามระงับก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ในลำคอ
พ่อไม่รัก ย่าไม่ชอบ แม่เลี้ยงรังแก น้องสาวอิจฉาริษยา
ในบ้านหลังนี้ เธอมีสถานะต่ำต้อยยิ่งกว่าสุนัขเฝ้าบ้าน อย่างน้อยสุนัขยังได้รับความเมตตา แต่เธอกลับได้รับเพียงความเกลียดชัง
"พ่อคะ พ่อเคยเห็นหนูเป็ลูกบ้างไหม? หรือเห็นเป็แค่เครื่องมือรองรับอารมณ์และแรงงานทาส?"
คำถามนี้ดังก้องในใจที่ว่างเปล่า ความอดทนของมนุษย์ย่อมมีขีดจำกัด และวันนี้ ฟางเส้นสุดท้ายบนหลังลาตัวนี้ได้ขาดสะบั้นลงแล้ว
"พอพอกันที"
หลินซีลืมตาขึ้น ั์ตาที่เคยหม่นหมองบัดนี้ลุกโชนไปด้วยเปลวไฟแห่งการตัดสินใจที่เด็ดขาด
"ถ้าขืนอยู่ที่นี่ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วฉันต้องตายเหมือนหมาข้างถนน ในเมื่อเืเนื้อเชื้อไขไม่มีความหมาย ในเมื่อความดีแลกมาได้แค่ความเ็ป"
เธอกำหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าเนื้อ
"วันนี้แหละ! ฉันจะฉีกหน้ากากคนดีของพวกมันกระชากออกมาให้โลกเห็น และฉันจะเป็คนตัดโซ่ตรวนนี้ด้วยมือของฉันเอง! ต่อให้ต้องแลกด้วยชื่อเสียงว่าอกตัญญู ฉันก็จะยอม ขอเพียงได้อิสรภาพและลมหายใจที่เป็ของฉันเองคืนมา!"
เมื่อตัดสินใจได้แน่วแน่ หลินซีก็ผลักตัวออกจากผนัง ปรับสีหน้าจากความเครียดแค้นให้กลายเป็ความเศร้าโศกและน่าเวทนาที่สุด ก่อนจะก้าวเท้าเดินมุ่งหน้าไปยังลานหมู่บ้าน เวทีการแสดงฉากใหญ่ที่เธอเตรียมไว้เพื่อเชือดครอบครัวนี้ให้ตายทั้งเป็!
