“อือ…ตรงนั้นออกแรงอีกหน่อย แรงอีก อือ…เยี่ยมไปเลย แบบนี้แหละใช่เลย!”
“ไม่ใช่ข้างล่าง ขึ้นอีกหน่อย ถูกต้อง ขึ้นอีกนิด…โอ้ว ตรงนั้นแหละ…ความถี่ประมาณนี้ รู้สึกดีมาก ทำได้ไม่เลว!”
……
โหยวเสี่ยวโม่ท้ายที่สุดทนไม่ไหว เหยียบเท้าลงบนอกเขาไปที จากนั้นะโลงเตียง สีหน้าเดือดดาล “ทำไมท่านถึง้าอะไรเยอะแยะ ข้าไม่ทำแล้ว!” พูดจบก็พลันจะสวมรองเท้าที่พึ่งถอดออกครู่เดียว
หลิงเซียวคว้าแขนเขาไว้ ออกแรงดึงเพียงหน่อยเดียวก็กระชากมาอยู่บนตัวเขา เอ่ยเนิบนาบ “ศิษย์น้องเล็ก ไม่ทำก็ได้ งั้นเรามาใช้ข้อตกลงเหมือนตอนแรกดีกว่า”
โหยวเสี่ยวโม่ถูกเขายื้อยุดฉุดกระชาก ครึ่งท่อนทับอยู่บนตัวเขา หากไม่ใช่ถูกหลิงเซียวทับท่อนบนอยู่ เขาะโลุกขึ้นนานแล้ว เมื่อได้ยินประโยคนี้ ใบหน้าแดงก่ำก็เปลี่ยนเป็มืดมัว
ทำไมเดินมาถึงจุดนี้ได้ ที่จริงมันง่ายมาก
เดิมทีหลิงเซียวอยากให้เขาใช้สองมือ โหยวเสี่ยวโม่ดึงดันไม่เอา คราวก่อนก็ช่วยเขาแล้วหนนึง ปรากฏว่าแรงอึดเขาช่างเกินทน เล่นเอาสองมือเกือบหมดแรง ความรู้สึกแบบนั้นลืมไม่ลงทีเดียว
จากที่โหยวเสี่ยวโม่ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมทำ หลิงเซียวจึงเปลี่ยนข้อตกลงเป็การนวดตัว
โหยวเสี่ยวโม่เคยนวดให้พ่อแม่บ้าง รู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยขาดทุน จึงตกปากรับคำ เริ่มแรกคือใช้สองมือช่วยเขานวด แต่หลิงเซียวก็ไม่พอใจตรงที่เขาแรงน้อย จึงให้เขาใช้สองเท้าเหยียบนวดแทน โหยวเสี่ยวโม่ก็รับปาก
แต่ผลคือั้แ่เริ่มนวดจนถึงตอนนี้ ยังไม่ทันสิบห้านาทีก็ได้ยินแต่เขาบ่นด้วยความไม่พอใจ เดี๋ยวก็ให้ออกแรงเยอะหน่อย เดี๋ยวก็ให้ขึ้นอีกนิด ลงอีกหน่อย ไม่เคยเห็นคนเลือกมากแบบนี้มาก่อน สิบห้านาทีผ่านไปโหยวเสี่ยวโม่จึงวางมือ
หลิงเซียวไม่บ่นอะไร ในเมื่อเ้าไม่ชอบก็ทำตามข้อตกลงเดิม
การนวดเช่นนี้แม้จะสบายตัว โดยเฉพาะตอนที่เท้าโหยวเสี่ยวโม่นวดๆ เหยียบๆ บนตัวเขานั้นให้รู้สึกดีเยี่ยม
เขาเป็คนที่เมื่อคิดได้ก็ลงมือทำ ดังนั้นไม่ทันรอโหยวเสี่ยวโม่ตอบตกลง ก็อาศัยจังหวะที่เขาไม่ทันตั้งตัว
โหยวเสี่ยวโม่หน้าแดงจ้องหลิงเซียว เอ่ยติดๆ ขัดๆ “ท่าน ท่านคนขี้โกง มาไม้นี้อีกแล้ว”
“เ้าจะบอกว่าขี้โกงหน้าไม่อายได้ยังไง!” หลิงเซียวหัวเราะร่า สองแขนสอดเข้าไปแล้วอุ้มเขาขึ้นมา ลมหายใจอุ่นๆ พ่นอยู่ข้างลำคอ ทำเอาคนในอ้อมแขนตัวสั่นระริก จนลำคอและใบหูแดงก่ำ
โหยวเสี่ยวโม่แข็งเป็หิน แต่พอได้ยินเขาพูด ในใจก็ยิ่งไม่พอใจ “เ้าบังคับข้า ไม่ใช่ขี้โกงไร้ยางอายรึไง?”
“ไม่ใช่แน่นอน ข้ากำลังช่วยเ้าให้รู้สึกผ่อนคลายต่างหาก” หลิงเซียวพูดเฉไฉ เขาอยากทำแบบนี้ั้แ่แรกแล้ว ั้แ่เมื่อวานเขาก็มีความคิดเช่นนี้ แก้มโหยวเสี่ยวโม่นุ่มขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเนื้อตัวจะให้ความรู้สึกััแบบไหน
หลิงเซียวตาเป็ประกาย
ดูจากภายนอก โหยวเสี่ยวโม่ไม่ได้ดูน่าค้นหาเท่าภายใต้เสื้อผ้า ผิวที่ััผ่านมือนั้นไม่อาจสาธยายได้
โหยวเสี่ยวโม่เองก็รู้สึกไม่น้อยไปกว่ากัน ราวกับว่าไม่ใช่ร่างกายตัวเอง
แต่ว่า โหยวเสี่ยวโม่คิดอย่างไม่สบายใจ เหมือนว่ามันไม่ถูกต้อง
ทำไมร่างกายเขาถึงอ่อนไหวกับแค่เพียงััราวกับทั้งคุ้นเคยแล้วก็แปลกใหม่ นี่มันไม่เหมือนวิทยาศาสตร์เลย แต่ก่อนเขาแตะต้องตัวคนอื่นก็ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
เมื่อคิดว่าร่างกายของตัวเองผิดปกติไป โหยวเสี่ยวโม่ทนไม่ไหวขอบตาเริ่มแดง เขาไม่อยากผิดแปลกไม่ปกติแบบนี้!
จู่ๆ หลิงเซียวก็ได้ยินเสียงสะอื้นร้องไห้กระซิก จึงก้มลงดู ถึงเห็นว่าคนในอ้อมกอดนั้นร้องไห้อยู่ เล่นเอาสะดุ้ง แต่ก่อนจะรังแกขนาดไหนก็ไม่เคยร้องไห้ ครั้งนี้ทำไมร้องไห้ล่ะ?
หลิงเซียวรีบพลิกเขากลับมาดู จ้องตาเขา สองมือจับหน้าเขา เอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน “ศิษย์น้องเล็ก อย่าร้องไห้สิ เอาล่ะๆ ศิษย์พี่ใหญ่ไม่รังแกเ้าก็ได้ อย่าร้องไห้นะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โหยวเสี่ยวโม่กำหมัด ยกหมัดขึ้นทุบเขาพร้อมน้ำตา “ท่านรู้ด้วยเหรอว่ารังแกข้า”
หลิงเซียวปล่อยให้เขาทุบ ถึงไงแรงแค่นั้นก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บอะไร จากนั้นเห็นเขาเริ่มยิ้มออก จึงเอ่ยถาม “เอาล่ะ ไหนบอกข้ามาสิ เ้าร้องไห้ทำไม? หรือเ้าไม่ชอบความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ?”
พูดจบ เขาขมวดคิ้ว อย่างตรงนั้น…ของพวกเขา แทนคำว่าคนละกัน อยากก็ทำ ้าก็ทำ ไม่ได้คิดอะไรมากมาย ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยเข้าใจว่าโหยวเสี่ยวโม่รู้สึกเช่นไร ทั้งที่รู้สึกดีขนาดนั้น แต่ทำไมถึงร้องไห้?
เมื่อได้ยินเขาถามมาตรงๆ ไม่อ้อมค้อม โหยวเสี่ยวโม่หน้าแดงราวกับแสงส้มแดงของตะวันตกดิน
คำถามนี้จะให้เขาตอบอย่างไร พูดถึงความเป็จริง เอ่อ มันก็รู้สึกดีอยู่ เขาไม่เคยรับรู้ถึงความรู้สึกวิเศษแบบนั้นมาก่อน แต่ก็เพราะมันแปลกใหม่เกินไป ดังนั้นจึงรู้สึกประหม่า คิดว่าตัวเองนั้นผิดปกติ
แต่จะให้พูดความจริงแบบนั้นกับหลิงเซียว เขาก็ฝืนพูดไม่ออกจริงๆ
“ตอบมาสิ!” หลิงเซียวไม่มีความอดทนถึงขั้นรอเขาตอบได้นานถึงสองชั่วยาม เห็นเขานิ่งจึงเร่งให้ตอบ
โหยวเสี่ยวโม่บิดไปมาครู่หนึ่ง นึกถึงหลิงเซียวที่ชอบแตะเนื้อต้องตัวเขา ช้าเร็วก็ต้องบอกเขาอยู่ดี จึงรวบรวมความกล้าใจทั้งที่ใจเต้นรัว แล้วถาม “ข้าๆๆ ข้ารู้สึกว่าตัวเองผิดปกติไป…”
แม้คำท้ายๆ โหยวเสี่ยวโม่จะเอ่ยออกมาแ่เบา แต่หลิงเซียวก็จับความคำว่าผิดปกติได้ ทำให้มองเขาอย่างฉงน “เ้ารู้สึกว่าตัวเองผิดปกติยังไง?”
“ก็คือ คือว่า…เมื่อครู่ที่ท่าน…ข้าก็รู้สึกว่าร่างกายมันแปลกๆ” โหยวเสี่ยวโม่หัวซุกเข้าไปในอกเขา เื่แบบนี้คงไม่ใช่ความลับอะไรกระมั้ง?
เมื่อได้ฟัง หลิงเซียวะเิหัวเราะลั่น นึกว่าเื่อะไร ที่แท้ก็เื่แค่นี้เอง นี่มันเื่แสนจะปกติ หากไม่รู้สึก นั่นสิหมายถึงฝีมือเขาอ่อนด้อย หลิงเซียวรู้สึกว่าเขาตื่นตูมไปเอง จากนั้นยกตัวเขาออกจากอ้อมอก มองหน้าแดงระเรื่อของเขาแล้วเอ่ย “ศิษย์น้องเล็ก ชายรักชายเป็เื่ธรรมชาติ เ้าไม่ต้องรู้สึกว่ามันแปลกหรอก”
โหยวเสี่ยวโม่เหวอ “ไม่ใช่ชายรักหญิงหรอกหรือ?”
หลิงเซียวลูบหัวเขาแล้วเอ่ย “เหมือนกันนั่นแหละ”
โหยวเสี่ยวโม่จ้องเขามึนงง “จริงหรือ?” เขาก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ดี
“จริงแน่นอนสิ เื่แบบนี้ขอแค่รู้สึกว่าใช่ ไม่มีใครมาคิดหรอกว่าจะชายชายหรือชายหญิง อย่างเช่น เ้ามีความรู้สึก ส่วนข้าก็มีความรู้สึกให้เ้า นั่นก็แปลว่าเราเหมาะสมกันไม่ใช่หรือ?” หลิงเซียวลูบไล้แก้มเขา
โหยวเสี่ยวโม่จ้องเขาแล้วเอ่ย “ข้ารู้สึกว่าท่านยิ้มมีเลศนัย”
หลิงเซียวยิ้มแล้วเอ่ย “เด็กดี นี่ข้ายิ้มอย่างจริงใจแล้วนะ”
โหยวเสี่ยวโม่นึกย้อนอดีต พลันเอ่ย “แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าข้าไม่ปกติ คราวก่อนที่ท่านแตะตัวข้า ข้ายังไม่รู้สึกขนาดนี้เลย”
เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ หลิงเซียวก็นึกขึ้นได้ ปฏิกิริยาเขานั้นรุนแรงไปหน่อย ตอนนี้ยังจำหน้าตาแดงก่ำในอ้อมกอดเขาวันนั้นได้อยู่เลย ร่างอ่อนระทวยแทบไม่มีแรง
“ถอดเสื้อออก” จู่ๆ หลิงเซียวก็เอ่ยขึ้น
“ทำไมเหรอ?” โหยวเสี่ยวโม่รีบคว้าเสื้อตัวเองหมับ
หลิงเซียวยิ้มมุมปาก เอ่ยปลอบประโลม “เ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าร่างกายตัวเองผิดปกติ? ข้าจะช่วยเ้าตรวจดู ดูซิว่ามีโรคอะไรรึเปล่า!”
โหยวเสี่ยวโม่ลังเล ทำไมเขารู้สึกว่ารอยยิ้มศิษย์พี่หลิงช่างเ้าเล่ห์เพทุบายราวกับหมาป่าเ้าเล่ห์กับหนูน้อยหมวกแดงเลยล่ะ?