“มู่จื่อหลิง สิ่งที่เ้าทำวันนี้ ก็เพียงพอแล้วที่เปิ่นกงจะสังหารเ้า” แสงเย็นเยียบในดวงตาของฮองเฮาลุกโชนด้วยความโกรธ
ดวงตาที่เย็นเยียบของนางยังคงจ้องไปที่มู่จื่อหลิงอย่างมั่นคง
ฟันที่กัดแน่น ริมฝีปากที่สั่นเทา และหมัดที่กำแน่น แสดงให้เห็นว่านางกำลังไม่สบายใจและตื่นตระหนก
มู่จื่อหลิงยิ้มอย่างเ็า ไม่คิดเก็บการคุกคามของฮองเฮามาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
ผู้ใดจะตายก็ยังไม่รู้เลย ไม่ก็อาจจะมีใครบางคนที่ไม่อาจตายได้
แต่นางรู้ว่าอีกไม่นานจะมีคนตายทั้งเป็
มู่จื่อหลิงวางมือบนตำแหน่งหัวใจของตน เลื่อนใบหน้าที่ยิ้มแย้มของนางเข้าใกล้ฮองเฮา “ฮองเฮาจ้องเข้ามาในดวงตาของข้า ท่านรู้สึกว่าที่ตรงนี้กำลังจะเต้นดัง ตุบตุบ ตูมตูม อย่างบ้าคลั่งไม่ยอมหยุดอยู่หรือไม่? เป็ความรู้สึกกลัวหรือเปล่า?”
อันที่จริง การจ้องมองที่สงบแต่ดูน่าเกรงขามของมู่จื่อหลิง ภายใต้สายตาเช่นนี้กลับดูน่าสะพรึงกลัว และฮองเฮารู้สึกหวาดกลัวอย่างแท้จริง
ฮองเฮาหวาดกลัวมาั้แ่เริ่มแรกแล้ว แต่ความหยิ่งจองหองของนางไม่ยอมให้นางเชื่อว่านางจะกลัวยายเด็กหน้าเหม็นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้นางมีความกลัวอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนขึ้นภายในใจของนาง และนางไม่เคยเข้าใจเหตุผลของมันเลยั้แ่ต้นจนถึงยามนี้
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของฮองเฮาในยามนี้ มู่จื่อหลิงยังคงเป็เพียงมดแมลงไร้นามเท่านั้น และนางจะไม่มีวันยอมรับว่านางรู้สึกหวาดกลัว
ฮองเฮาหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามระงับความกลัวในใจให้ดีที่สุด หลังจากลืมตา ฮองเฮาก็ดูเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
นางส่งเสียงอย่างเยาะเย้ยสองสามครั้ง และแสดงท่าทางประชดประชันบนใบหน้าของนาง “เปิ่นกงกลัวเ้าที่เป็เพียงนางหนูผู้โง่งม ช่างน่าขันยิ่งนัก”
เป็ดังเป็ดถึงตายแล้วก็ยังปากแข็ง [1] มู่จื่อหลิงกลอกตาด้วยใจที่หงุดหงิด
มู่จื่อหลิงเตือนด้วยความกรุณา “ฮองเฮา กลัวก็คือกลัว มันไม่ใช่เื่น่าอาย อย่าเก็บมันไว้ ระวังมันจะอัดแน่นจนทำให้เกิดอาการาเ็ภายในเอาได้นะ”
ในอกของฮองเฮากำลังกระอักเือยู่จริง
นางจ้องมองมู่จื่อหลิงด้วยดวงตาที่เ็าและดุร้าย ใบหน้าของนางซีดเผือด และกลิ่นอายสังหารในดวงตาลึกล้ำของนางก็แสนเยือกเย็น นางะโอย่างโกรธเคือง “ฮึ่ม! วันนี้เ้าทำให้เปิ่นกงขุ่นเคืองมาหลายครั้งแล้ว แม้ว่าเ้าจะเป็ฉีหวางเฟย แม้เปิ่นกงจะปฏิบัติต่อเ้าอย่างดี แต่นี่มันเกินพอแล้ว เข้ามา ลากฉีหวางเฟยออกไป!”
ใครจะไปรู้ หลังจากที่รอมาเนิ่นนาน ประตูก็ยังคงเงียบสนิท ไม่มีแม้แต่เงา นับประสาอะไรกับคน
มู่จื่อหลิงหัวเราะเบาๆ ก่อนพูดอย่างใจเย็น "ฮองเฮา เหตุใดมาถึงป่านนี้แล้วท่านเพิ่งคิดจะเรียกหาใครสักคน หากจะมีคนเข้ามา คงเข้ามาเสียนานแล้ว”
“เ้า...” ฮองเฮาหายใจไม่ออกในทันที
ฮองเฮานึกถึงเหตุผลว่าเพราะเหตุใดหลงเซี่ยวเจ๋อจึงออกไปด้านนอกเป็ครั้งคราว
ปรากฏว่า มู่จื่อหลิงได้วางแผนทุกอย่างมาก่อนแล้ว และทุกอย่างในวันนี้อยู่ภายใต้การคำนวณของมู่จื่อหลิง
ยามนี้ทุกคนข้างนอกได้รับการจัดการทั้งหมดแล้ว แม้ว่านางจะะโเรียกหา ก็จะไม่มีผู้ใดเข้ามา
นางที่ฉลาดมาทั้งชีวิต ก็ยังมี่เวลาที่โง่เขลา!
“ฮองเฮาทรงรู้ไหมว่าเพราะเหตุใด ยามท่านจ้องตาข้า ท่านจึงเกิดความกลัว?” มู่จื่อหลิงยิ้มอย่างอบอุ่นเป็กันเอง
แม้ว่าจะไม่้าที่จะยอมรับว่าหวาดกลัว แต่ฮองเฮาก็อยากรู้จริงๆ
แต่นางก็ยังรู้สึกคลุมเครือเช่นกันว่าหากนางรู้ถึงเหตุผล นางจะใและตื่นตระหนกมากกว่าในยามที่นางยังไม่รับรู้
แต่ความเป็จริงชี้ชัด เมื่อมันมาถึงจุดนี้
ก่อนที่ความสับสนภายในใจของฮองเฮาจะจบลง มู่จื่อหลิงก็กะพริบตาที่ดูเหมือนจะไม่เป็อันตรายของนาง ในใจของนางรับรู้ถึงมันแล้ว
มู่จื่อหลิงลูบผมของนางอย่างสบายๆ พูดด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่รอยยิ้มว่า “ไม่ใช่ว่าฮองเฮาสามารถใช้กู่ในการควบคุมจิตใจได้หรือ โชคไม่ดีที่ข้ายังสามารถใช้วิธีอื่นในการควบคุมหัวใจของผู้คนได้ด้วย”
“เื่ปั้นแต่งขึ้นสินะ” ฮองเฮาเยาะเย้ยอย่างดูถูก ไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด
นอกเหนือจากการใช้หนอนกู่ควบคุมจิตใจแล้ว นางไม่เคยได้ยินว่ายังมีวิธีอื่นใดในการควบคุมผู้คนได้อีก
แต่ฮองเฮามักจะรู้สึกได้ว่ามันไม่ง่ายเช่นนั้น
“มีบทเรียนจากรถม้าด้านหน้าที่พลิกคว่ำ [2] แล้ว ฮองเฮายังไม่เชื่ออีกหรือ?” มู่จื่อหลิงยักไหล่อย่างไม่เห็นด้วย ลืมตาขึ้นแล้วพูดไปเรื่อยเปื่อย “บอกตามตรง ข้ารู้วิธีควบคุมจิตใจและใช้มันโจมตีกู่ นั่นเป็เหตุผลที่ข้าสามารถควบคุมหนอนกู่ควบคุมจิตใจที่อยู่ในน้ำแกงเมล็ดบัวได้ และทำให้มันสิ้นฤทธิ์ได้โดยธรรมชาติ”
หนอนกู่ควบคุมจิตใจและวิชาควบคุมจิตใจนั้นเกือบจะเหมือนกัน ผลลัพธ์ที่ได้ก็เกือบจะเหมือนกัน
แต่หลังจากที่มู่จื่อหลิงพิจารณาครั้งแล้วครั้งเล่า นางจึงพูดถึงการควบคุมจิตใจ เพราะนางรู้ว่าการควบคุมจิตใจนั้นฟังดูน่ากลัวกว่า
แม้ว่านางจะไม่รู้ว่ามีคนในใต้หล้านี้ที่ควบคุมจิตใจได้จริงหรือไม่
แต่นางรู้ว่า ไม่ว่านางจะพูดสิ่งใด ฮองเฮาจะเชื่อในสิ่งที่นางพูด และคำว่า ‘วิชาควบคุมจิตใจ’ คำนั้นอันตรายกว่าคำว่า ‘หนอนกู่ควบคุมจิตใจ’
และทุกคำ ทุกประโยคที่นางพูดออกไปในยามนี้ มันไม่ใช่การทำลายหัวใจของฮองเฮาด้วยหมัดหนักๆ หมัดเดียวหรอกหรือ?
แม้ว่าจะไม่สามารถทำให้ฮองเฮาได้ลิ้มรสอันตรายและหลีกหนีจากความตาย แต่ก็เป็การดีที่จะให้นางลิ้มรส์และนรก
เพราะ...รสชาติของการอยู่บน์แล้วต้องตกสู่นรกนั้นช่างเลวร้ายยิ่งนัก
ทันใดนั้น ในชั่วพริบตาการเยาะเย้ยของฮองเฮาก็หยุดนิ่ง ทั้งร่างดูเหมือนถูกกระแทกอย่างแรง และเชือกที่รัดแน่นในหัวใจของนางก็แตกสลายไปในที่สุด
นางไม่ควรฟัง นางไม่ควรรู้เลย
วิชาควบคุมจิตใจอะไรกัน? ไม่เคยได้ยินเื่นี้มาก่อนเลย
แต่ดูเหมือนว่านั่นคือวิชาที่ใช้โจมตีหนอนกู่? ฮองเฮาทั้งใและรู้สึกเหลือเชื่อ
เมื่อเห็นเช่นนี้ หัวใจของมู่จื่อหลิงก็มีความสุขในทันที
ดวงตาของนางจ้องมองมาอย่างสดใส พร้อมคำอธิบายอย่างอวดรู้ “คุณรู้จักวิชาควบคุมจิตใจหรือไม่? มันคือการใช้ดวงตาจับิญญาเพื่อควบคุมจิตใจ ซึ่งมีพลังมากกว่าการควบคุมจิตใจด้วยหนอนกู่”
พอเถอะ มู่จื่อหลิงรู้สึกว่านางกำลังทำสิ่งเลวร้ายลับหลัง [3] วิชาควบคุมจิตใจ การจับิญญาอะไรกัน มันก็แค่เื่เพ้อเจ้อ
ดังนั้นการโอ้อวดในระดับสูงไม่ใช่การทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อ แต่ต้องทำให้เชื่อว่าสิ่งที่พูดมานั้นเป็ความจริง และมู่จื่อหลิงกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางนี้
ฮองเฮาส่ายหัวด้วยความตื่นตระหนก “เป็ไปไม่ได้ เป็ไปไม่ได้”
ไม่จำเป็ต้องพูดถึงอันตรายของหนอนกู่ และไม่จำเป็ต้องพูดถึงพลังของหนอนกู่ควบคุมจิตใจ
วิชาควบคุมจิตใจอะไรกัน? จับิญญาคืออะไร? ถ้าจริงก็น่ากลัวยิ่งนัก
แต่ใครจะไปรู้ มู่จื่อหลิงยังคงไม่ยอมแพ้ ยื่นมือออกมาด้วยท่าทางไร้เดียงสา และยิ้มแย้มราวกับดอกไม้บาน “หึ ท่านโชคไม่ดีที่ตกอยู่ภายใต้วิชาควบคุมจิตใจของข้า ดังนั้นถึงได้หวาดกลัว ถึงได้ยังนั่งนิ่งอยู่”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง นางก็พูดเบาๆ อีกครั้งว่า “ข้าไม่จำเป็ต้องบอกประโยชน์ของหนอนกู่ควบคุมจิตใจ ฮองเฮาเองก็รู้แน่ชัดเช่นกัน แล้วทักษะวิชาควบคุมจิตใจของข้าก็มีพลังมากกว่าหนอนกู่ควบคุมจิตใจ ท่านว่า...”
เหตุที่ฮองเฮาดูหวาดกลัวเมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนางนั้นเป็เพียงกลอุบายที่นางใช้ และวิชาที่น่าภาคภูมิใจที่สุดของนางก็คือการวางยาพิษที่มองไม่เห็น
นางลอบวางยาพิษบนร่างของฮองเฮา ด้วยพิษที่ทำให้จิตใจสับสน และนางยังปกปิดร่องรอยของตน ทั้งยังเก็บรายละเอียดเป็อย่างดี ซึ่งทำให้ฮองเฮามีอารมณ์เชิงลบจนมีผลต่อจิตใจ
มีความลึกลับมากมายในเื่นี้ เป็ความสนุกไม่รู้จบ
ดังนั้นในยามนี้ไม่ว่าฮองเฮาจะจ้องมองเข้าไปในดวงตาของผู้ใดก็ตาม นางก็จะมีอาการใจสั่นทั้งนั้น
นอกจากนางและหลงเซี่ยวเจ๋อแล้วก็ไม่มีใครอยู่ในห้องอาหารนี้ และฮองเฮาไม่เคยสนใจหลงเซี่ยวเจ๋อเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่านางจะเหลือบมองหลงเซี่ยวเจ๋อโดยไม่ตั้งใจบ้างบางครั้ง ฮองเฮาก็ไม่ได้ให้ความสนใจ หรืออาจจะนึกว่ามันคือความกลัวที่หลงเหลือจากนาง ดังนั้นในห้องอาหาร จึงไม่มีผู้ใดให้ฮองเฮาได้หันมองนอกจากการมองดูมู่จื่อหลิงเป็ครั้งคราว
สำหรับเหตุผลที่ฮองเฮานั่งนิ่งๆ แน่นอนว่ามันเป็เพราะหนอนกู่ควบคุมจิตใจที่นางพัฒนาขึ้นมาใหม่ และต้องบอกว่านางพอใจกับผลที่ได้มาก
หนอนกู่ควบคุมจิตใจของฮองเฮาใช้เวลาเจ็ดวันในการก่อร่างภายในกายมนุษย์ ส่วนสิ่งที่นางปรับปรุงมันจะมีผลในทันที
“มู่จื่อหลิง เ้า...” ใบหน้าของฮองเฮาซีดเผือด มือและเท้าอ่อนแรงด้วยความหวาดกลัว นางแทบจะเป็ลม มันช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ
นางมีวิชาควบคุมจิตใจหรือ? เป็ไปได้อย่างไร
แต่สิ่งที่มู่จื่อหลิงพูด นางััได้ด้วยตนเองโดยตรง
เมื่อนางสบเข้ากับดวงตาของมู่จื่อหลิง นางจะเกิดความกลัว แม้ว่านางจะโกรธแค่ไหนก็ไม่เคยคิดที่จะจากไป เหตุผลทั้งหมดเหล่านี้ไม่ได้พิสูจน์ว่าสิ่งที่มู่จื่อหลิงพูดนั้นเป็ความจริงหรอกหรือ?
มีรอยยิ้มภายในดวงตาของมู่จื่อหลิง มุมปากของนางเกิดส่วนโค้งที่ดูเ็า “ตอบแทนผู้อื่นด้วยหนทางของเขาเอง [4] ‘ความเมตตา’ นี้ของฮองเฮา ท่านยังชอบมันอยู่หรือไม่?”
ตอบแทนผู้อื่นด้วยหนทางของเขาเอง คำเหล่านี้เป็เหมือนเสียงฟ้าคำรามที่น่าใ มันกระแทกไปที่หน้าผากของฮองเฮาโดยตรง
ฮองเฮาเข้าใจในทันที
นางใช้หนอนกู่ควบคุมจิตใจกับมู่จื่อหลิง ไม่เพียงแต่ตอบโต้กลับเท่านั้น แต่ยังถูกโต้กลับอย่างไร้ความปรานี กลวิธีของมู่จื่อหลิงมีเล่ห์เหลี่ยมไม่ต่างกัน แต่มันโเี้ยิ่งกว่านาง...กล้าแม้กระทั่งควบคุมนางด้วยซ้ำไป
ดูเหมือนมู่จื่อหลิงจะยังไม่เพียงพอ จึงกล่าวต่อไปว่า “ที่จริงแล้ว ข้าอยากจะขอบคุณฮองเฮาที่ยอมให้ข้าเอารังนกกลับไป เพราะรังนกนี้ ข้าถึงกับช่วยชีวิตคนคนหนึ่งให้รอดจากความตายได้”
หัวของฮองเฮาส่งเสียงหึ่ง หึ่ง นางไม่อยากเชื่อเลย นางใช้รังนกทำร้ายคน แต่มู่จื่อหลิงใช้รังนกเพื่อช่วยชีวิตคน
ไร้สาระยิ่งนัก!
ปรากฏว่าทุกอย่างที่นางเตรียมมาอย่างดีกลายเป็การทำชุดแต่งงานให้มู่จื่อหลิง [5]
ใน่เวลานี้ ฮองเฮารู้สึกเพียงว่าิญญาในกายของนางถูกดึงออกไป และจากที่นางอยู่ในใจกลาง์้าสุดเสมอมา กลับต้องตกลงไปในนรกทันที
ความรู้สึกตกจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ มันเป็ความสิ้นหวังจนแทบหายใจไม่ออก...สุดจะพรรณนา
มู่จื่อหลิงส่ายขาไปมา พูดเน้นคำอย่างสบายๆ ว่า “ข้าจะบอกอีกหนึ่งข่าวร้ายสำหรับท่าน เมื่อถูกโจมตีด้วยวิชาควบคุมจิตใจของข้าแล้ว จะไร้ทางแก้ไปตลอดชีพ”
อันที่จริง สิ่งที่มู่จื่อหลิงพูดนั้นจริงจังมาก แน่นอนว่านางยังมีความคิดที่รอบคอบอยู่บ้าง
นางไม่้าควบคุมฮองเฮาในวันหน้า เป้าหมายสูงสุดของนางคือการขอให้ฮองเฮาลุกขึ้นมาสนับสนุนนาง ด้วยวิธีนี้ นางจึงจะได้รู้สึกถึงความสำเร็จในการแก้แค้น
เพราะฮองเฮาเกลียดนาง แต่ก็ต้องช่วยนาง และความคิดเช่นนี้ช่างโหดร้ายที่สุด!
ความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการแก้แค้นไม่ใช่แค่การเฝ้าดูศัตรูตายทั้งเป็ แต่ต้องทำให้ต้องฝืนทนทำสิ่งต่างๆ เพื่อตนเอง แม้ไม่เต็มใจก็ต้องทำ
ไม่มีอะไรมากไปกว่าการปักมีดลงไปหนึ่งครั้ง ดึงมันออกจากาแ และแทงลึกเข้าไปในตำแหน่งเดิม
ทุกคำพูดและทุกประโยคของมู่จื่อหลิงล้วนออกมาอย่างช้าๆ สบายๆ แต่สำหรับฮองเฮาแล้ว ทุกถ้อยคำล้วนหนักราวพันจิน [6] มันทำให้นางหายใจไม่ออก
ไร้ทางแก้ไปตลอดชีพ คำเหล่านี้ดูเหมือนจะสลักไว้ที่หน้าผากของฮองเฮาในทันที และไม่สามารถลบมันออกไปได้
นางควรทำอย่างไร?
สถานการณ์จะพลิกกลับครั้งใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร ดูเหมือนว่ายามนี้นางจะเป็มดตัวน้อยที่อยู่ต่อหน้ามู่จื่อหลิง ที่จำต้องยอมปล่อยให้นางควบคุมและเข่นฆ่า
ไม่ ไม่ได้ อย่างไรก็ไม่ได้
คืนวันเ่าั้ที่จะต้องถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าในภายหลัง มันจะทำให้ฮองเฮาผู้หยิ่งยโสมาโดยตลอดต้องตายทั้งเป็
มีความเสียใจอย่างสุดซึ้งและความเกลียดชังอย่างลึกซึ้งต่อมู่จื่อหลิงเกิดขึ้นภายในหัวใจของฮองเฮา ความเกลียดชังหยั่งรากลึกลงในกระดูก
ในขณะนี้ หัวใจของฮองเฮาสลับซับซ้อนไปหมด เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เต็มไปด้วยความโกรธเคือง ร่างของนางสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้เพราะความโกรธและความกลัว
นางเกลียด นางเกลียดตนเองที่ประเมินมู่จื่อหลิงต่ำไปครั้งแล้วครั้งเล่า นางเกลียดความประมาทของตน และสิ่งที่นางเกลียดที่สุดคือนางไม่ได้กำจัดมู่จื่อหลิงั้แ่ก่อนหน้านี้
ราวกับมองทะลุถึงหัวใจของฮองเฮา มู่จื่อหลิงเหยียดยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “เป็อย่างไร ยามนี้อยากกัดกินข้าหรือ?”
นางหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทำหน้าบึ้งและส่ายหัวปฏิเสธ “ไม่ ไม่ ไม่ ท่าน้าสับข้าเป็ชิ้นๆ และเผากระดูกของข้าให้เป็เถ้าถ่านใช่หรือไม่”
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] เป็ดถึงตายแล้วก็ยังปากแข็ง (死鸭子嘴硬) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า คนที่ดื้อรั้น ไม่ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง
[2] บทเรียนจากรถม้าด้านหน้าที่พลิกคว่ำ (前车之鉴) อันที่จริงต้องแปลว่าบทเรียนจากรถที่พลิกคว่ำ แต่เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยจึงเปลี่ยนเป็รถม้า เป็สำนวน มีความหมายว่า ความล้มเหลวของคนรุ่นเก่าย่อมเป็กระจกเงาของคนรุ่นหลัง
[3] ทำสิ่งเลวร้ายลับหลัง (蔫坏蔫坏) เป็วลี มีความหมายว่าคิดชั่วและทำชั่วอย่างเงียบๆ แต่ยามอยู่ต่อหน้าคนอื่น จะแสดงตนเป็คนดี หรือผู้ที่มักก่อความชั่วลับหลังคนอื่น
[4] ตอบแทนผู้อื่นด้วยหนทางของเขาเอง (以彼之道还治彼身) เป็วลี มีความหมายว่า ผู้อื่นใช้วิธีอะไรจัดการกับตน ตนก็จะใช้วิธีนั้นจัดการกับเขากลับไปเช่นกัน เทียบกับคำไทยจะใกล้เคียงกับกรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง
[5] การทำชุดแต่งงานให้... (为...作嫁衣裳) เป็วลี มีความหมายว่าทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานให้คนอื่น โดยที่ตนเองไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลย
[6] หนักราวพันจิน (如千斤重) เป็สำนวน มีความหมายว่ามีภาระหนักที่ตกบนบ่า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้