หลังจากอ่านจดหมายจบ อวิ๋นโส่วจงรู้สึกสับสนเล็กน้อย
ทั้งครอบครัวเพิ่งทานอาหารเย็นเสร็จ อวิ๋นฉี่ซานก็ไปที่บ้านของอาจารย์ตั่งตามปกติ ตอนนี้พวกเื่ในบ้าน นอกจากเื่ที่บิดามารดาและน้องสาวจะสั่งให้ทำ เื่อื่นๆ เขาจะไม่ยุ่งเกี่ยว ให้ตั้งใจร่ำเรียนเป็หลัก
อวิ๋นโส่วจงยื่นจดหมายให้ฟางซื่อ หลังจากฟางซื่ออ่านจบ สีหน้าของนางก็ดูสับสนเช่นกัน
อวิ๋นเจียวจึงเอ่ยถามว่า “ท่านแม่ ในจดหมายเขียนว่าอย่างไรหรือเ้าคะ?”
ฟางซื่อจึงยื่นจดหมายให้อวิ๋นเจียว “เ้าอ่านเองเถอะ”
อวิ๋นเจียวรับจดหมายมาอ่าน หลังจากอ่านจบก็ถอนหายใจออกมา “ไม่คิดเลยว่าเตียวซวี่อันจะมีฮูหยินที่เข้าใจเหตุผลเช่นนี้ แต่ที่นางส่งคนมาแจ้งข่าวให้เรา แล้วจะเอาสามีของตนเองไว้ที่ไหน?”
ฟางซื่อกล่าวว่า “ที่น่าแปลกใจก็คือนางกลัวว่าพวกเราจะไม่เชื่อ จึงเขียนชื่อตัวเองเอาไว้ แสดงออกถึงความจริงใจเช่นนี้ ด้านหนึ่งก็คือสามีของตนเอง อีกด้านหนึ่งก็คือมโนธรรม นางคงลำบากใจไม่น้อย”
เดิมทีอวิ๋นโส่วจงไม่อยากเล่าเื่นี้ เพราะมีอวิ๋นเจียวอยู่ด้วย แต่พอเจอกับสายตาของภรรยาและบุตรสาว เขาก็ยอมแพ้ เอ่ยขึ้นว่า “เตียวซวี่อันโปรดปรานอนุภรรยาอูซื่อ ซึ่งเป็ผู้อยู่เื้ัร้านยาจี้เหรินถัง”
“ทำให้ในจวนวุ่นวาย บรรยากาศก็ตึงเครียด ฮูหยินเอกของเขาได้แต่กินเจสวดมนต์ภาวนาอยู่ทุกวัน ถึงแม้จะอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน แต่ตลอดปีทั้งสองคนแทบจะไม่ได้พบหน้ากันเลย อีกอย่าง อนุภรรยาของเตียวซวี่ นอกจากอูซื่อที่ให้กำเนิดบุตรชายสองคน และตอนนี้ก็กำลังตั้งครรภ์อยู่ อนุภรรยาคนอื่นๆ รวมถึงเก๋อซื่อล้วนไร้บุตรธิดา”
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้เอง ไม่แปลกใจที่เก๋อซื่อทนไม่ไหว ต้องแอบส่งคนมาเตือนพวกเรา แต่หากไม่ใช่เพราะพี่ถังสุ่ย พวกเราก็คงไม่รู้ว่าร้านยาจี้เหรินถังร่วมมือกับศาลาว่าการวางแผนใส่ร้ายครอบครัวของพวกเรา ที่เก๋อซื่อส่งคนมาส่งจดหมายอย่างกะทันหัน แถมยังเขียนชื่อตัวเองเอาไว้ด้วยเช่นนี้ ไม่กลัวว่าพวกเราจะไม่เชื่อ แล้วไปฟ้องร้องนางที่ศาลาว่าการหรือ?”
อวิ๋นโส่วจงกล่าวว่า “ได้ยินมาว่าเก๋อซื่อกินเจสวดมนต์ภาวนามานานถึงยี่สิบปี ก่อนที่อูซื่อจะเข้ามาในจวน นางยังพอมีปฏิสัมพันธ์กับเตียวซวี่อันอยู่บ้าง หลังจากที่อูซื่อเข้ามาในจวน นางก็แทบไม่ออกจากเรือนของตนเองอีกเลย”
ฟางซื่อเข้าใจทันที “เก๋อซื่อคงหมดหวังแล้วล่ะ ถึงแม้พวกเราจะไม่เชื่อ นางก็ถือโอกาสบอกเตียวซวี่อันว่านางไม่เห็นด้วยกับเื่นี้ เมื่อแผนการถูกเปิดเผย ก็จะไม่เกิดผลอีกต่อไป เตียวซวี่อันก็ไม่กล้าทำอะไรพวกเรา”
อวิ๋นเจียวขมวดคิ้ว “แบบนี้แล้วนางจะไม่ลำบากหรือ? เหตุใดนางถึงต้องทำเช่นนี้ด้วยเ้าคะ?”
ฟางซื่อกล่าวว่า “เื่นี้ต้องถามนางเองถึงจะรู้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อวิ๋นเจียวก็ไม่คิดมากอีกต่อไป หันไปถามอวิ๋นโส่วจงว่า “ท่านพ่อ ท่านรู้เื่พวกนี้ได้อย่างไรเ้าคะ?”
อวิ๋นโส่วจงแสยะยิ้มเ็า “เื่ในจวนของเตียวซวี่อันวุ่นวายมาก แค่ใช้เงินเล็กน้อยไปถามบ่าวไพร่ก็รู้เื่แล้ว”
เขาแอบไปที่อำเภอ ยืนซุ่มอยู่ใกล้ประตูหลังของเรือนในศาลาว่าการ สำรวจอยู่ครึ่งค่อนวัน สุดท้ายก็เลือกคุณยายสองคนที่ออกมาซื้อของและชอบนินทาคนอื่น ให้เงินพวกนางไปเล็กน้อย พวกนางก็เล่าทุกอย่างให้ฟัง
ยิ่งไปกว่านั้น เรือนด้านในของศาลาว่าการมีอูซื่อเป็คนดูแล จึงค่อนข้างหละหลวม ข่าวสารภายในมักจะรั่วไหลออกมา คนข้างนอกก็รู้ไม่น้อย และเป็เพราะเขาร้อนใจ มิฉะนั้นก็ไม่ต้องเสียเงิน เพียงแค่ไปนั่งจิบชาในโรงน้ำชาสักหนึ่งวัน ก็ได้ข่าวคราวมาแล้ว
อวิ๋นโส่วจงกล่าวว่า “สรุปคือ แม้ว่าพวกเราจะรู้เื่นี้แล้ว แต่พวกเราก็ต้องตอบแทนน้ำใจของเก๋อซื่อ”
ฟางซื่อพยักหน้าเห็นด้วย “อืม ข้าก็คิดเช่นนั้น”
อวิ๋นโส่วจงเอ่ยขึ้นอีกว่า “จริงสิ เจียวเอ๋อร์ ทางท่านอาจารย์ตั่งส่งข่าวมาว่า ทางโรงหลอมเหล็กอันหลิงได้ผลิตท่อทองแดงตัวอย่างออกมาชุดหนึ่งแล้ว ตอนนี้อยู่ระหว่างขนส่ง น่าจะมาถึงในอีกสองสามวัน”
“ส่วนเื่โถส้วมชักโครก ทางโรงผลิตเครื่องเคลือบจิงผิงตอบกลับมาว่า ทางนั้นตกลงเื่การร่วมลงทุนแล้ว อีกไม่กี่วันหลงจู๊ใหญ่ของทางนั้นจะมาทำสัญญา”
อวิ๋นเจียวนึกถึงนายอำเภอคนนั้นที่กำลังคิดร้ายต่อครอบครัวของนาง หาก่นี้พวกนางยังไปทำสัญญาที่ศาลาว่าการ เช่นนั้นเตียวซวี่อันคงยิ่งอิจฉาตาร้อนเป็แน่
“ท่านพ่อ เช่นนั้นพวกเราไปดูที่โรงผลิตเครื่องเคลือบจิงผิงเลยดีหรือไม่เ้าคะ? ถือโอกาสไปทำสัญญาที่นั่นเลย!”
อวิ๋นโส่วจงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะมองไปที่ฟางซื่อ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ตกลง พวกเราไปโรงผลิตเครื่องเคลือบจิงผิง! แต่ก่อนไปต้องซื้อม้าเพิ่มอีกหนึ่งตัว และทำรถม้าอีกหนึ่งคัน แบบนี้เ้ากับลูกจะได้ไม่เหนื่อย ถือเสียว่าเราไปเที่ยวพักผ่อน”
หากเื่นี้จบลง ทางบ้านเก่าของพวกเขาคงยังต้องวุ่นวายเพราะอวิ๋นโส่วจู่ไปอีกนาน ออกไปพักผ่อนข้างนอกสักพักจะดีกว่า รอให้เื่ทุกอย่างสงบลงแล้วค่อยกลับมา
ฟางซื่อเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ทำไมถึงพาข้าไปด้วย? จะไม่ให้มีคนเฝ้าบ้านเลยหรือ?”
อวิ๋นโส่วจงตอบ “ให้ฉี่ซานอยู่เฝ้าบ้านก็พอแล้ว ่นี้ข้าเห็นเ้าสามกับพี่ใหญ่ดูแลไร่นาอย่างดี ดีกว่าที่ข้าดูแลเองเสียอีก ถึงตอนนั้นข้าจะไปฝากฝังผู้ใหญ่บ้านกับหัวหน้าตระกูลให้ช่วยดูแล แล้วไปจ้างผู้คุ้มกันจากสำนักคุ้มกันสองคนมาช่วยเฝ้าบ้าน แบบนี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
“หากเ้ายังไม่วางใจ ก็ไปฝากท่านอาจารย์ตั่งให้อยู่เป็เพื่อนฉี่ซานที่บ้านเราก็ได้ เ้าไม่วางใจฉี่ซาน แต่ท่านอาจารย์ตั่งเป็คนรอบคอบแน่นอน! อีกอย่าง ต่อให้เราไปนานที่สุดก็แค่ครึ่งเดือน ควรจะให้ฉี่ซานได้ฝึกฝนตัวเองบ้าง ครั้งนี้ก็ให้เขาเฝ้าบ้าน”
ฟางซื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็เป็ห่วงอวิ๋นเจียวเช่นกัน จึงตอบตกลง
เช้าวันรุ่งขึ้น ฝนหยุดตก คนงานที่รีบมาทำงานแต่เช้าตรู่ก็ต้อนวัวออกไป ผู้คนตามท้องไร่ท้องนาก็ค่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่างทำงานไปพลางพูดคุยกันไป คุยกันเื่สัพเพเหระ ดูมีความสุขเป็อย่างยิ่ง
เมื่อฝนหยุดตก ท้องฟ้าก็แจ่มใส บนท้องฟ้าสีครามไร้เมฆหมอก พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า แสงแดดสาดส่องลงมา ทำให้ชาวบ้านที่ทำงานอยู่ตามท้องทุ่งมีรอยยิ้มอบอุ่น
ริมแม่น้ำเล็กๆ ที่หัวหมู่บ้าน เต็มไปด้วยหญิงสาวที่มาซักผ้า พลางพูดคุยกันถึงเื่ราวในครอบครัว
ไม่รู้ว่าใครเป็คนเริ่มพูด แต่จู่ๆ ก็พูดถึงเื่ของบ้านตระกูลอวิ๋นขึ้นมา “...ข้าว่านะ เถาซื่อนั่นโง่เง่าจริงๆ อวิ๋นโส่วจงพาครอบครัวกลับมาจากเมืองหลวง มีทั้งรถม้า มีทั้งบ่าวไพร่ นางควรจะเอาใจพวกเขาสิ กลับมาจากเมืองหลวง จะไม่มีสมบัติติดตัวมาหรือ? แต่นางกลับสายตาคับแคบ ยุยงให้ลูกชายคนที่สี่เอารถม้าไปขาย จากนั้นก็อาละวาด ด่าทอแม้กระทั่งบุตรสาวที่พวกเขารักและเอ็นดู”
“ใช่ หากเป็ข้า ข้าคงเอาใจประจบประแจงพวกเขาไปแล้ว แต่นางกลับสายตาคับแคบเช่นนี้ เพื่อเงินเล็กๆ น้อยๆ กลับไปทำให้คนเขาโกรธเสียได้”
“อวิ๋นโส่วจงไม่ใช่ลูกชายที่นางให้กำเนิดเสียหน่อย นางยังคิดว่าตัวเองวิเศษวิโสจริงๆ หรือยังไง!”
“แล้วลูกชายคนที่สี่ของนางก็เหมือนกัน ชอบทำเื่ให้คนอื่นเดือดเนื้อร้อนใจ พี่ใหญ่ตระกูลอวิ๋นกับเ้ารองเป็พี่น้องร่วมมารดา ข้าไม่พูดถึงก็แล้วกัน ที่เหลือก็มีแค่เ้าสามที่ฉลาด พวกเ้าดูสิ เ้าสามคอยติดตามเ้ารองอยู่ตลอด ไม่เพียงแต่แยกบ้านออกมาอยู่เอง แต่ยังใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอีกด้วย!”
“พวกเ้าไม่รู้หรือ เ้าสามทำงานให้อวิ๋นโส่วจง เดือนหนึ่งได้เงินสองตำลึงเงิน ได้ยินมาว่าอวิ๋นเหลียนเอ๋อร์ บุตรสาวของเขาก็ช่วยที่บ้านทำเสื้อผ้า เดือนหนึ่งก็ได้เงินสองตำลึงเงินเช่นกัน”
“จริงหรือ? โอ้โห บ้านของอวิ๋นโส่วจงกลายเป็เ้าของที่ดินเพียงหนึ่งเดียวในหมู่บ้านของเราแล้ว!”
“นั่นน่ะสิ พวกเ้าลองดูอวิ๋นโส่วจู่กับภรรยาของเขาสิ ชอบสร้างเื่ให้คนอื่นเดือดร้อน แถมยังกล้าไปฟ้องร้องว่าอวิ๋นโส่วจงเป็ทาสที่หลบหนีมา คิดว่าตัวเองเก่งกาจนัก สุดท้ายพวกเขาก็ถูกจับเข้าคุกเอง”
หลิ่วซื่อถูกเถาซื่อไล่ออกมาซักผ้าแต่เช้าตรู่ ยังไม่ทันจะไปถึงริมแม่น้ำ ก็ได้ยินหญิงสาวพวกนี้กำลังนินทาเื่ครอบครัวของนาง หลิ่วซื่อโกรธจนควันออกหู แต่พอนึกถึงคำพูดของอวิ๋นโส่วจู่ที่เคยบอกนางไว้ ความโกรธของนางก็หายไปในพริบตา
“โถ่เอ้ย พวกสายตาคับแคบ อวิ๋นโส่วจงก็กินดีอยู่ดีได้แค่่นี้เท่านั้นแหละ ไม่แน่ว่ายังไม่ถึงสองวัน คราวเคราะห์ก็จะมาเยือนพวกเขาแล้ว!”