ประตูห้องปิดลงเหลือเพียงพวกเขาสองคน เวินซีจุดตะเกียงให้แสงสว่างแก่ห้องที่มืดสลัว
ห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ของหญ้าและต้นไม้ ทำให้ความเหนื่อยล้าของนางจางหายไปเล็กน้อย นางมองไปรอบๆ พลันเดินตรงไปที่โต๊ะ
หลังจากที่เดินสำรวจห้องอย่างละเอียดแล้ว จ้าวต้านก็นั่งพิงผนังที่ริมหน้าต่าง มองดูเวินซีนั่งอยู่ที่โต๊ะกำลังจะอ่านหนังสือ ริมฝีปากบางของเขาก็เผยอออกเล็กน้อย
“ทหารลับเพิ่งส่งข่าวมาว่าได้พบเวินเยียนในเมือง นางท้องโตแล้ว ข้างกายนางมีบุรุษผู้หนึ่ง ทหารลับคิดจะตามไปแต่ถูกนางเห็นเข้าจึงหลบกลับมา”
“ยามนี้พวกเขากำลังค้นหาอย่างเต็มกำลัง”
“บุรุษผู้นั้นมิใช่เวินอวิ๋นโป และมิใช่หลานเยว่เฉิง ข้าคิดว่านางคงจะหลอกใช้เขาเพื่อให้ออกหน้าทำเื่แทน เ้าระวังตัวไว้ด้วย”
“บุรุษผู้ที่ถูกเวินเยียนหลอกได้ ไม่จำเป็ต้องใส่ใจหรอกเ้าค่ะ” เวินซีเอ่ย ขณะที่สายตาของนางยังคงจับจ้องไปที่หนังสือ
นางมิได้ใส่ใจเลย
แม้เวินเยียนจะมีความงามอยู่บ้าง แต่ความงามของนางก็ลดลงเมื่อได้ตั้งครรภ์ หากเป็คนหัวโบราณที่ให้ความสำคัญกับความบริสุทธิ์ บุรุษที่มีความสามารถหน่อยย่อมไม่มีวันชายตามองแน่
“รู้ที่อยู่ของหลานเยว่เฉิงหรือยังเ้าคะ?” เมื่ออ่านหนังสือไปได้สักพัก เวินซีก็นึกถึงหลานเยว่เฉิงจึงเอ่ยถาม
“ยัง ฮูหยินซูระมัดระวังตัวมาก มิได้ไปพบพวกเขา เมื่อมาถึงเมืองซู่เหอนางก็กักตัวอยู่ในโรงเตี๊ยมตลอด มิได้ออกมาเลย”
“เ้าค่ะ” เวินซีพยักหน้าแล้วอ่านหนังสือต่อ
“อยู่ที่เมืองซู่เหอ เ้าได้วางแผนอันใดหรือไม่?”
“เปิดร้านเครื่องหอมเ้าค่ะ”
“ร้านเครื่องหอมหรือ?”
“เ้าค่ะ ลูกค้าของตระกูลเหลียงเป็พวกคนร่ำรวย เช่นนั้นข้าก็จะเปิดร้านเครื่องหอมที่มีกลุ่มลูกค้าเป็คนธรรมดา จะอยู่เฉยๆ ที่เมืองนี้มิได้หรอกเ้าค่ะ”
เมื่อมีโอกาสทางธุรกิจ นางย่อมไม่มีวันปล่อยมันไปง่ายๆ ส่วนเื่ตระกูลเหลียง จะเกิดเื่อันใดก็ค่อยว่ากัน...
“ได้สิ” จ้าวต้านสนับสนุนการตัดสินใจของนางโดยไม่มีข้อแม้
ทั้งสองไม่ได้พูดอันใดอีก เวินซียังคงจดจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือ ส่วนจ้าวต้านก็มองดูนาง
เวลาผ่านไปนาน เสียงไก่ขันก็ดังขึ้นจากข้างนอก บัดนี้ความมืดมิดกำลังจะจางหายไป
เมื่อเห็นว่าเวินซีไม่มีท่าทีว่าจะพักผ่อน จ้าวต้านจึงลุกขึ้นเดินไปหยิบหนังสือของนางแล้วปิดลง วางลงบนโต๊ะเบาๆ
“นี่ก็ยามห้าย [1] แล้ว เ้าจะพักผ่อนเมื่อใด?”
“ตอนนี้ล่ะเ้าค่ะ” เวินซีมองเห็นเทียนที่ใกล้จะดับก็เอ่ยปาก
นางถอดเสื้อคลุมออกแล้วนอนลงบนเตียง
จ้าวต้านเม้มริมฝีปากแล้วดับเทียนในห้อง
ในยามเหม่า [2] ท้องฟ้าสว่างขึ้นเล็กน้อย รอบๆ ห้องมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก
เวินซีนอนหลับสนิทและกำลังฝันดี นางขยับปากพลันเปลี่ยนท่าพลิกตัว
ทันใดนั้นก็มีเสียงกรอบแกรบดังขึ้นในห้อง
นางไวต่อเสียงอยู่เสมอ จึงขมวดคิ้วเล็กน้อยและเปลี่ยนท่าทาง
สักพักหนึ่ง เสียงก็ดังยิ่งขึ้น
นางลุกขึ้นด้วยความโกรธ ในตอนที่สะบัดผ้าห่มอยู่นั้นก็มีเงาร่างสีดำเข้ามาตะครุบร่าง
นางเบี่ยงตัวหลบโดยสัญชาตญาณ จ้าวต้านจึงล้มลงบนเตียง
“จ้าวต้าน? ท่าน...” เวินซีขมวดคิ้วด้วยความสับสน ในขณะที่นางกำลังจะเอื้อมมือไปััเขา ศีรษะของเขาที่อยู่ในผ้าห่มก็เงยขึ้นมา สายตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความอาฆาต
เขาฟาดดาบยาวในมือลงมา ดวงตาของเวินซีเบิกกว้าง นางรีบลุกขึ้นยืนพลันะโลงจากเตียง
ดาบยาวฟันไปในอากาศ ทำให้ผ้าห่มขาดเป็รูขนาดใหญ่
ยามนี้เนี่ยนหานกู่แผลงฤทธิ์อีกแล้ว
เวินซีคิดดังนั้นก็ขมวดคิ้ว สายตาของนางกวาดมองไปรอบห้องอย่างรวดเร็ว พลางคิดจะใช้อุบายเดิมที่นำม่านมารัดตัวเขา
ยังไม่ทันที่จะได้จับม่าน เขาก็ตามมาถึงตัวอย่างง่ายดายพลันถีบหน้าอกนางโดยไม่ยั้งแรงจนกระเด็นลงไปที่พื้น
มันรุนแรงมากจนเวินซีรู้สึกเ็ปไปทั้งร่าง
นางยังไม่มีเวลาให้คิดก็เห็นดาบเล่มนั้นปักลงมาที่ตัว จึงรีบลุกขึ้นหลบได้อย่างเฉียดฉิว
เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก ในตอนที่นางยังไม่ทันยืนให้มั่น เขาก็ใช้ดาบพุ่งเข้าไปที่คอของนาง
เวินซีหลบตัว ผมมัดหนึ่งถูกฟันขาดลงบนพื้น
“จ้าวต้าน มีสติหน่อย ท่านดูสิว่าข้าคือผู้ใด!”
เวินซีสวมเพียงเสื้อคลุม ไม่มีอาวุธใดติดตัว นางจึงทำได้เพียงเอ่ยปากเรียกสติเขา แต่ไม่คิดเลยว่าดวงตาของจ้าวต้านจะแดงก่ำยิ่งขึ้นราวกับมีเืออก
“...”
เวินซีเงียบไป นางมองไปรอบๆ พลางคิดหาวิธีทำให้เขาสงบลงอยู่ตลอดเวลา
“ไปตายเสีย”
เสียงที่โเี้เ็าราวกับดังออกมาจากนรก จิตสังหารแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขาและเข้าปกคลุมนางไว้
การโจมตีของเขารุนแรงยิ่งขึ้นจนเวินซีไม่อาจต้านทานได้
“ปัง--”
“เพล้ง--”
“ก๊อง--”
เสียงของที่อยู่ภายในห้องแตกดังลั่นอย่างต่อเนื่อง ความเร็วของจ้าวต้านมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น
ดูเหมือนว่าเนี่ยนหานกู่จะพัฒนาสู่ขั้นต่อไปแล้ว มันมิได้ยับยั้งการโจมตีของเขา แต่กลับกระตุ้นความสามารถทั้งหมดออกมา
“ฟืบ--”
อักษรวิจิตรภายในห้องถูกตัดออกเป็สองซีก ดาบแทงเข้าที่ไหล่ของเวินซีทั้งยังย้ำลงไปในาแนั้น
ความเ็ปทำให้นางต้องพยายามสูดหายใจ ยกเท้าขึ้นเตะเขาออกไป
“คุณหนูเวิน เกิดอันใดขึ้นในห้องขอรับ? เหตุใดถึงได้เสียงดังเช่นนั้น?”
“คุณหนูเวิน ข้าเข้าไปได้หรือไม่? ข้าเป็ห่วงคุณหนูขอรับ”
“คุณหนูเวิน?”
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงที่เป็กังวลของต้วนจิงเย่ เวินซีถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้าแล้ววิ่งไปที่เตียง
จ้าวต้านมองนาง พลันมองไปยังเสียงที่ประตู เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกลับเข้าไปโจมตีนางต่อ
เวินซีรีบหยิบเสื้อคลุมที่อยู่ข้างเตียง หยิบเข็มเงินและขวดยาที่อยู่ข้างในออกมา
ในตอนที่จ้าวต้านเข้าใกล้ เวินซีก็สาดผงพิษออกไป เขาตอบสนองรวดเร็วและหลบได้ทันที แต่ก็ยังได้รับพิษส่วนหนึ่ง ในตอนที่ะโลงพื้นถึงกับเดินเซ
“คุณหนูเวิน ข้าจะเปิดประตูเข้าไปนะขอรับ” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
“คุณชายต้วน อย่าเข้ามา อยู่ห่างจากห้องนี้ไว้เ้าค่ะ” เมื่อเห็นว่าประตูสั่น เวินซีก็รีบเอ่ยห้าม
นางถือโอกาสตอนที่จ้าวต้านยังมิได้สติ หยิบขวดยาพิษอีกขวดสาดใส่เขา
ในที่สุดผงพิษทั้งสองก็ทำให้เขาหมดแรง เขาคุกเข่าลงบนพื้นและใช้ดาบช่วยพยุงตัว
เวินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใช้่เวลาอันน้อยนิดเอามือเท้าโต๊ะเพื่อพักหายใจ
ไม่นาน นางก็คิดทบทวนถึงเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เมื่อมีสติกลับมาแล้วจึงทานยาเม็ดบำรุงเืไปเม็ดหนึ่ง แล้วหยิบเข็มเงินเดินไปหาจ้าวต้าน
ตอนที่นางจะปักเข็มเงิน จ้าวต้านก็เหวี่ยงดาบใส่อีกครั้ง แต่นางมือไวตาไว รีบถอยห่างออกไปจึงไม่ได้รับาเ็
เมื่อเห็นว่าเขายังคงขัดขืนได้ เวินซีจึงใช้ผงพิษสาดใส่เขาอีกรอบ
หลังจากที่ถูกโจมตีสองครั้ง จ้าวต้านจึงระวังตัวไว้ก่อนแล้ว เขาหยิบดาบขึ้นมา มองไปที่ประตูที่เปิดแง้มอยู่พลันพุ่งไปหา
“คุณชายต้วน ออกไปเร็วเข้า” เมื่อเห็นร่างที่ยังยืนอยู่ที่นั่น เวินซีจึงรีบะโอย่างตื่นตระหนก
นางพยายามหยุดจ้าวต้าน แต่ไล่ตามไม่ทัน เขาทิ้งระยะห่างได้ในที่สุด
จ้าวต้านแทงดาบไปที่ช่องว่าง ต้วนจิงเย่ใกลัวจนล้มลงกับพื้น เขาทำอันใดไม่ถูกและได้แต่มองดู
ขณะที่จ้าวต้านกำลังจะแทงต้วนจิงเย่ ก็มีแส้ยาวมาพันรอบดาบไว้แล้วดึงดาบเขาออกไปไกล
“ไม่เป็อันใดนะเ้าคะ? เกิดอันใดขึ้น? เหตุใดแม่ทัพต้านจึงคิดจะฆ่าคุณชายต้วนกัน?” เมื่อแส้ยาวถูกดึงกลับไป ซูเหอก็เอ่ยปากถาม
นางตื่นขึ้นมาด้วยเสียงเอะอะโวยวาย เดิมทีคิดจะมาดูว่ามีเื่อันใดเกิดขึ้น แต่ไม่คิดเลยว่าจะได้ช่วยชีวิตต้วนจิงเย่ไว้
“ซูเหอ ช่วยข้าจับแม่ทัพต้านหน่อย” เวินซีออกมาจากประตู เมื่อเห็นว่ามีคนช่วยนางได้ สีหน้าจึงเต็มไปด้วยความดีใจ
ซูเหอหรี่ตามองจ้าวต้าน จึงเห็นว่าเขาดูผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด นางพยักหน้าให้เวินซีทันที “เ้าค่ะ”
เชิงอรรถ
[1] ยามห้าย 亥时 หมายถึง ่เวลาสามทุ่มถึงห้าทุ่ม
[2] ยามเหม่า 卯时 หมายถึง่เวลาตีห้าถึงเจ็ดโมงเช้า