เสียงโห่ร้องยินดีนั้นดังจากทุกทิศทุกทางในสำนักกวางขาว
เสียงกู่ร้องนี้เซ็งแซ่ไปสี่ทิศ ดังไกลถึงกระทั่งที่พักอาศัยของศิษย์สำนักหงส์ฟ้า คลื่นเสียงประหนึ่งจะยั่วโมโห ยิ่งนานยิ่งมากขึ้น ยิ่งนานยิ่งแผดก้อง จนมีแนวโน้มจะครอบคลุมไปทั่วรั้วสำนัก
“ฮึ เ้าพวกไม่เคยเห็นโลกภายนอกพวกนี้ แค่ได้ฆ่าทีเดียว วิเศษวิโสตรงไหนนักหนาวะ...”
“คราวก่อนพวกเราฆ่ามันเหมือนหมา ก็สมแล้วกับที่จะโห่ร้องขนาดนั้น!”
“เฮอะๆ เ้าต้องเข้าใจพวกผีไม่มีศาลที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของสำนักตกต่ำนี่หน่อยนะ...”
“ฮึ ทำอย่างไรข้าก็ไม่หายเกะกะลูกตาอยู่ดี ถึงจะเป็พวกที่เรียกตัวเองว่าศิษย์ชั้นสูง ก็ยังแผ่รังสีต่ำออกมาหึ่งๆ เหมือนหินในปลักโคลนเลยล่ะ...”
ในที่พักแขกนั้น เหล่าศิษย์สำนักหงส์ฟ้าพูดคุยกันอย่างเย่อหยิ่งและไม่เห็นศิษย์สำนักกวางขาวอยู่ในสายตา สวมบุคลิกสูงส่งงดงามเฉกเช่นผู้ลากมากผู้ดีในใจกลางนคร ในสายตาพวกนั้น แม้แต่เสียงกู่ร้องระลอกเดียวก็ไม่ควรจะสะเออะดังขึ้นมา
“ศิษย์พี่เหออิงตายแล้ว?”
“ทนไม่ไหวแล้ว พวกเราไปดูกัน!”
“ใช่แล้ว รอพวกมันแพ้ก่อนเถอะ จะได้บอกพวกต่ำนี่ให้หุบปากสักที!”
มีคนเสนอขึ้นมา นักเรียนอีกหลายสิบคนก็ขานรับเห็นด้วย พวกเขาออกจากหอพักแขก ตรงไปยังใจกลางลานแสดงยุทธ์ของปีหนึ่ง
หนึ่งร้อยกว่าคนนี้คือศิษย์ชั้นหัวกะทิในแต่ละชั้นปีของสำนักหงส์ฟ้า ทว่ากลุ่มที่ได้เข้าสมรภูมิหุบเขาปัดป้องนั้นคือยี่สิบคนที่ว่า คนอื่นๆ ก็ได้แต่อดใจรออย่างทนไม่ไหว
...
“ศิษย์พี่ัเีฆ่าเหออิงเองหรือนี่!”
“จริงอย่างที่ข้าคิดไว้ คนที่ฆ่าเหออิ่งคือศิษย์พี่ัเีจริงๆ!”
บนกระจกศิลานั้น หลังนามของัเีปรากฏเครื่องหมายการฆ่า หมายความว่าเขาได้ฆ่าศัตรูในสมรภูมิไปหนึ่งศพแล้ว
“ศิษย์พี่ัเี? ชื่อคุ้นๆ อยู่นะ คนไหนกันล่ะ?”
“ทำไมข้าอยู่ปีสามมาตั้งนานขนาดนี้ กลับยังไม่เคยเห็นคนชื่อัเีนี่เลย? เหมือนจะปรากฏตัวน้อยครั้งนะ”
“ชู่ว เบาเสียงหน่อยสิ ัเีก็เ้ามารลามกนั่นไง!”
“อะไรนะ? เป็เ้าบ้ากามที่ก่อวิกฤติขึ้นน่ะเรอะ? พลังเยอะขนาดนี้เชียว?”
“ใช่ซี่ เขานั่นแหละ เสียงข่าวว่าเป็หนามยอกตาอาจารย์ สิบวันต้องไปถูกกักตัวเก้าวันเห็นจะได้”
“โหดขนาดนี้เลย?”
“เขาลือกันมาว่า ัเีไม่ใช่คนในเมืองลู่ิ แต่ตอนปีสองกลับมาที่สำนักกวางขาวล่ะมั้ง?”
“ใครจะไปรู้ได้เล่า”
กลางสนามซุบซิบกันเกรียวกราว
มีนักเรียนที่รู้ประวัติของัเีเล็กน้อยบอกมาคนละสองสามคำ เป็เบาะแสให้สืบหากันต่อ รอบด้านโดยมากที่ไม่รู้จักเขาเลยก็เริ่มสนใจ สำนักกวางขาวยังมีคนพิลึกอยู่อีกหรือนี่?
ทว่ายามพูดคุยกันนั้นเอง บนกระจกศิลาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่
“กะพริบแล้วๆ มีชื่อคนกะพริบอีกแล้ว...สวี่อี้หนิงของสำนักหงส์ฟ้า...ฮ่าๆ หายไปอีกแล้วโว้ย!” มีคนหัวเราะร่า
บนกระจกศิลามีสำนักหงส์ฟ้าบางคนสิ้นชีพอีกครั้ง
และตอนนี้สถิติการฆ่าของัเีก็เพิ่มเป็สองคนแล้ว
“ัเีอีกแล้วหรือ? นี่มัน...น่ากลัวชะมัด ฆ่าอีกคนหนึ่งแล้ว ยอดเยี่ยมไปเลย ข้าคิดว่ารอบนี้พวกเรามีหวังว่ะ!”
“จากบัดนี้เป็ต้นไป ัเีคือแบบอย่างของข้า คุกเข่าให้เลย!”
กลุ่มคนคึกคักกันใหญ่
เทียบกับสภาพอเนจอนาถของปีสี่ บรรยากาศก็คลุมทับด้วยความเศร้า ใครจะนึกเล่าว่าปีสามจะประเดิมด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ัเีฆ่าติดต่อกันสองศพในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที พลันมอบความหวังกลับคืนให้คนดู
ทว่าในเวลารวดเร็ว ราวกับตอบโต้กลับ ชื่อของสำนักกวางขาวได้เริ่มมอดม้วยลงไป
ลู่หลินสิ้นชีพ!
ฉินอวิ๋นสิ้นชีพ!
จูกุ้ยสิ้นชีพ!
ศิษย์สำนักกวางขาวสามคนถูกสังหารเรียงตัว สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือโอกาสฟื้นชีพใหม่ในสิบห้านาที และการต่อสู้ครั้งที่สอง
ใจของคนบางผู้เริ่มอกสั่นขวัญแขวน
“ดูเร็ว เปลี่ยนแปลงใหม่อีกแล้ว...ฉางจวินเจิ้นของสำนักหงส์ฟ้าสิ้นใจแล้ว ตายแล้ว ฮ่าๆ ตายแล้วจริงๆ ด้วย หลังชื่อศิษย์พี่ัเี สถิติการฆ่าคือสามคน”
“เขาจะพลิกวิกฤติเป็โอกาสได้หรือเปล่า? ศิษย์พี่ัเี จะหัวเด็ดตีนขาดท่านก็ต้องทำให้ได้นะ!”
“์ช่วย ดูสิ ฆ่าไปอีกหนึ่ง ม่อเต้าเหยียนของสำนักหงส์ฟ้าตายแล้ว!”
“สถิติการฆ่าของศิษย์พี่ัเีเพิ่มเป็สี่!”
“กุญแจสำคัญของศึกนี้คือศิษย์พี่ัเีแล้วล่ะ!”
“เอ้อ...ทางนี้ของพวกเราก็ตายไปแล้วสี่...เฮ้ย จะให้ศิษย์พี่ัเีคุมสถานการณ์คนเดียวมันก็ยากนะ พวกหงส์ฟ้าทั้งสถิติการฆ่ากับจำนวนสมาชิกที่เหลือก็ครองผลประโยชน์ไปเยอะมากแล้ว!”
“ไม่ดีเลย ชื่อของศิษย์พี่ัเีกำลังกะพริบอยู่...เขากำลังถูกล้อม”
“ดีที่ยังไม่ตาย...”
“ตายแล้ว ไต้จื้อเต๋อตายแล้ว ฮ่าๆ คนที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักหงส์ฟ้าตายแล้ว ก่อนหน้านี้เขาได้สถิติฆ่าเจ็ดครั้ง ตอนนี้ตายแล้ว...ต้องเป็ศิษย์พี่ัเีที่ลงมือแน่ เป็อย่างที่ข้าคิด สถิติการฆ่าศิษย์พี่เพิ่มเป็ห้าแล้ว!”
“ฮ่าๆ ซาบซึ้งจริงโว้ย ฆ่าตัวแทนของสำนักหงส์ฟ้าทั้งห้าคน คนละครั้ง! ฆ่าต่อเนื่อง!”
กลุ่มคนครึกครื้นหาใดจะเปรียบ
ขณะนี้ ไม่ว่าใครก็ตามที่สามารถกอบกู้หน้าตาของสำนักกวางขาวคืนมาได้ด้วยการเอาชนะ จักกลายเป็วีรบุรุษได้ทั้งหมด แม้ว่าัเีเมื่อก่อนนั้น จะมีชื่อเสียงฉาวกระฉ่อนไม่สู้ดี ทว่ายามนี้ เขากลับกลายเป็คนที่คนมากมายฝากฝังความหวังไว้ให้
ทว่าพริบตาต่อมา คนมากมายก็ตกตะลึง
“ัเีออกจากการสู้!”
บนกระจกศิลาปรากฏคำหกตัวนี้ขึ้นมา
ผู้คนมากมายอึ้งงันชั่วขณะ
ทำไมล่ะ?
ทำไมถึงออกจากการสู้กะทันหัน?
ไม่ใช่ว่าจะพลิกวิกฤติเป็โอกาสแล้วหรือ?
...
“เ้า...ทำไมถึงทำเช่นนี้?”
ในศาลาขึ้นฟ้า แสงสีทองวับวาม เด็กหนุ่มคนหนึ่งถูกส่งออกมา เขาหน้าแดงก่ำปรี่เข้าไปถามัเี “ทำไมถึงถอนตัว? ถ้าเ้าไม่ถอนตัว พวกเราจะมีเวลาป้องกันอีกครึ่งชั่วโมง...เ้าจงใจนี่!”
แสงสีทองส่องสว่างอีกครั้ง
ศิษย์ปีสามอีกสามคนเองก็ถูกส่งกลับมาเช่นกัน
พวกเขาถูกฆ่าสามครั้งติดแล้ว ใช้สิทธิ์ฟื้นคืนชีพจนครบไว้ ถูกสมรภูมิส่งออกมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย...
“ัเี เ้าต้องอธิบายเื่นี้!”
“พวกข้าเชื่อใจเ้าขนาดนี้ เ้ากลับออกมาไม่บอกไม่กล่าว...เ้า...เ้าเห็นหัวพวกข้าอยู่ไหม?”
“ใช่แล้ว พวกเราเป็พวกเดียวกัน เ้าหักหลังพวกเรา...”
สี่คนทักท้วงัเีอย่างโกรธขึ้ง
ัเียืนอิงรูปปั้นหินลอยคว้างนิ่งๆ มุมปากคลี่เป็ยิ้มเกียจคร้าน เขาหาวหวอด ท่าทีเหมือนพ่อขี้คร้านเกินจะอธิบายให้ลูกฟัง
“ัเี เ้าควรพูดบ้างนะ...” อาจารย์าุโท่านหนึ่งเปิดปากบอก
ัเีเหล่มองบุรุษผู้นั้นแวบหนึ่งก็หัวเราะฮึ
เขาเบนหน้ามาหาเ่ิู ถามกลั้วหัวเราะฮี่ๆ “หนุ่มน้อย ข้าจะเล่าเื่ตลกให้เ้าฟัง พวกหมูโง่ใจคดชั่วช้า พอเข้าสมรภูมิก็ตั้งหน้าล่าสัตว์อสูรสัตว์ิญญา คุ้ยหายาวิเศษกับหญ้าิญญาจะเป็จะตาย พอเห็นพวกหงส์ฟ้าก็โกยแน่บเหมือนหมาบ้า ยังจะมีหน้าเอ่ยคำว่าพรรคพวกให้ข้าได้ยิน เ้าคิดว่าน่าขำหรือไม่น่าขำล่ะ?”
เ่ิูไม่โต้ตอบอันใด
ความจริงแล้วด้วยกระบวนอักขระสะท้อนภาพกลางอากาศนั้น ทุกคนก็มองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ว่าพวกปีสามสี่คนนั่นไร้ยางอายยิ่ง ไม่มีกะใจจะสู้ศึกเลยสักนิด คิดหาผลประโยชน์ใส่ตัวเอาเป็เอาตายในสมรภูมิ คิดหาทางหนีเอาตัวรอด ไม่มีเศษเสี้ยวเกียรติยศอยู่บนใบหน้า...
“ว่าไง? ตลกหรือไม่ตลกล่ะ?” ัเีเห็นเ่ิูไม่ตอบโต้ก็ถามต่ออีก “ถ้างั้นข้าจะเล่าอีกเื่ให้ฟังนะ ยังมีคนโง่บรมและไร้ยางอายยิ่งกว่าเ้าสี่ตัวนั้นอีก แล้วยังทำท่าทำทางเป็อาจารย์ เห็นภาพเหตุการณ์อยู่ชัดๆ กลับจะให้ข้า วีรบุรุษผู้ทำคุณูปการฆ่าห้าศพคนนี้อธิบาย เ้าบอกข้าหน่อยสิว่าเขาเป็ไอ้แก่กะโหลกไร้ยางอายหรือเปล่า?”
หมู่ชนพลันหน้าเปลี่ยนสี
หากคำก่อนหน้าหมายความจะเสียดแทงเพื่อนร่วมพวกสี่คนนั้นแล้วไซร้ ยังเป็เื่ที่รับได้ ทว่าประโยคนั้น จงใจด่าอาจารย์าุโอย่างเจ็บแสบ อกตัญญู เหิมเกริมเกินจะรับได้
์ช่วยเถอะ
หน้าผากเ่ิูมีเส้นเืดำชัดเป็ริ้ว
“เฮ้ย เ้าเป็ใครน่ะ ข้าไม่รู้จักเ้า มาพูดเื่ตลกอะไรให้ข้าฟัง เราสนิทกันตอนไหน...” เ่ิูก้าวถอยหลังมา เอ่ยด้วยคำตรงไปตรงมานัก วางท่าว่าข้าไม่รู้จักกับเ้าประสาทนี่แต่อย่างใด
ัเีนิ่งค้าง
เขาไม่นึกเลยว่าเ่ิูจะเอ่ยกับเขาอย่างไม่ไว้หน้าขนาดนี้ ใช้วิธีตัดสัมพันธ์กวนบาทา...าามารเย่ทั้งหน้าหนาและยังน่าสนใจกว่าที่เขาคาดไว้สินะ
ัเีหัวเราะฮ่าๆ ออกมาดังลั่น
“เ้าสำนัก เ้านี่อาละวาดหนักนัก!”
“ไร้ซึ่งความเคารพผู้ใหญ่!”
“ต้องลงโทษให้หนักขอรับ!”
มีอาจารย์และผู้าุโยืนขึ้นมา ประณามัเี
เ่ิูเกิดยินดีในคราวเคราะห์คนอื่นเล็กน้อย เขาต่อว่าในใจ ไฉนอาจารย์พวกนี้ถึงได้โมโหควันออกหูกับัเีนักหนา อย่างกับเขาไปฉุดลูกสาวเข้าให้อย่างนั้นแหละ...
“อืม ที่ทุกท่านพูดมาก็มีเหตุผล ข้าจักจัดการให้แน่นอน” เ้าสำนักเบิกตาขึ้นมา จับจ้องอย่างโมโห “ต่ำช้า เห็นทีจะยังไม่หลาบจำ มัวรออะไรอยู่ รีบกลับไปสำนึกผิดในหอพิจารณ์ได้แล้ว!”
“เ้าสำนัก นี่มัน...”
“หอพิจารณ์อีกแล้วหรือ?”
“ไม่เอาน่า”
หมู่ชนหมดคำจะพูด
ทุกครั้งไม่ว่าัเีจะทำผิดอะไร เ้าสำนักจักถลึงตาเช่นนี้แล้วสั่งให้ัเีไปหอพิจารณ์เสมอๆ พอคำนวณดูแล้ว ในหนึ่งปีบุรุษคนนี้เข้าหอพิจารณ์ประมาณแปดในสิบ ถึงแม้จะไม่ขัดแย้งกับกฎระเบียบของสำนักกวางขาว แต่ปัญหาก็คือ หอพิจารณ์ไม่ได้น่าครั่นคร้ามในสายตาัเีเลยนี่สิ
ครั้งแล้วครั้งเล่ากับบทลงโทษนี้ ทุกคนรู้สึกว่าการสั่งให้ัเีไปหอพิจารณ์ เท่ากับเป็การให้รางวัลเขา
“บ้าเอ๊ย เ้าแก่กะโหลกจะใช้ข้าเมื่อไรถึงลากข้าออกมาจากหอพิจารณ์ พอใช้เสร็จแล้วก็ส่งกลับไปอีก เ้านี่มันเลวจริงๆ!” ัเีไม่รู้จะพูดคำไหน ทว่าก็ยังเดินจากไปซื่อๆ สู่หอพิจารณ์เพื่อพิจารณาตัวเอง
ดูท่าัเีจะยังฟังคำของเ้าสำนักอยู่บ้าง
เมื่อละครคั่นตานี้ปิดม่านลง บรรยากาศในศาลาขึ้นฟ้าก็เริ่มหนักอึ้งอีกครั้ง โดยเฉพาะเหล่าปีสองที่ต้องเข้าแข่งขันสมรภูมิที่สาม แต่ละคนๆ ล้วนเข้าสู่ความตึงเครียดที่ยังไม่เกิดขึ้น...
“คิดซะว่าเป็การซ้อมสู้ศึกเถอะ!”
เ้าสำนักถอนหายใจ เขาไม่ได้เอ่ยอะไรอีก สถานการณ์ตอนนี้คำปลุกใจมีค่าเป็ศูนย์