ยอดเขาเทียนเจวี๋ยเฟิง
เมฆสายฟ้าคะนองสุมกันเป็ชั้นๆ ดุจเทือกเขาสลับซับซ้อน ท้องฟ้าทั้งมวลมืดครึ้มดั่งฝาหม้อที่คว่ำลง ประกายสายฟ้าดุจัั์ขนาดมหึมา ดั่งแนวคลื่นอันน่าเกรงขามซัดกระหน่ำใส่ฝั่งระลอกแล้วระลอกเล่า กระแทกจ้านอู๋มิ่งจนสั่นเป็ระยะๆ พลังอำนาจฟ้าดูเหมือน้าทำลายเขาจนกลายเป็ผุยผง
“ฮ่า ฮ่า......สายฟ้าสายที่เจ็ดแล้ว โจรฟ้าเฒ่า เ้าสามารถต่อกรกับข้าได้หรือ ข้าจ้านอู๋มิ่งนี่แหละจะฝึกฌานบ่มเพาะพลังกำหนดชะตาย้อนทวนฟ้า ทัณฑ์สายฟ้าอันกระจ้อยร่อยล้วนจงแตกสลาย!”
สองแขนของจ้านอู๋มิ่งพลันร่วมประสาน แสงเลือนพร่าเย็นะเืสีน้ำเงินรอบตัวยิ่งเข้มข้นแข็งแกร่งกว่าเดิม ปราณหนาวเหน็บสุดเปรียบปานบนยอดเขาเทียนเจวี๋ยเฟิงแทบแช่แข็งชั้นเมฆบนท้องฟ้า ชั่วพริบตาจ้านอู๋มิ่งจู่โจมออกร่วมร้อยหมัด แต่ละหมัดทำลายัสายฟ้าแตกสลายตัวหนึ่ง สายฟ้ามิอาจเข้าใกล้ร่างแม้แต่น้อยนิด พลังงานสายฟ้าที่แตกสลายถูกจ้านอู๋มิ่งดูดจนหมดสิ้นดุจฟองน้ำดูดซับน้ำก็มิปาน...นี่ก็คือศักยภาพความแข็งแกร่งของเคล็ดวิชา “อสนีบาตสัญจร์” ที่เขาฝึกปรือ
นี่คือทัณฑ์สายฟ้าที่จ้านอู๋มิ่งต้องผ่าน ฟ้าดินพิฆาตสังหารผู้ฝึกฌานบ่มเพาะพลังย้อนทวนฟ้าทุกคน ผู้ใดก็ตามที่คิดดำรงนอกเหนือชะตาชีวิตล้วนจะต้องรับการลงทัณฑ์จากมรรคาแห่งฟ้า
ทัณฑ์สายฟ้าจะกำจัดผู้รับการลงทัณฑ์สลายเป็ผงธุลี หวนคืนกลับสู่ฟ้าดิน จ้านอู๋มิ่งกลับไม่เชื่อเื่ชะตาชีวิต เขาเห็นว่าเดิมทีผู้ฝึกฌานบ่มเพาะพลังก็คือการกระทำย้อนทวนฝืนลิขิตฟ้า จิติญญาผู้ฝึกฌานบำเพ็ญเพียรพึ่งพาตนเอง ไม่พึ่งพาฟ้า มิฉะนั้นจะหลุดพ้นจากฟ้าดิน มีวิถีชีวิตที่เป็นิรันดร์ได้อย่างไร ดังนั้นชะตาชีวิตจึงสมควรควบคุมกุมไว้ในมือตนเอง การแข็งขืนต่อต้านมาตลอดชีวิตก็เพียงเพื่อวันนี้ หากสามารถผ่านทัณฑ์สายฟ้าครั้งนี้แล้วไม่ดับสูญ ก็จะสามารถทลายนภากาศ มีชีวิตยั่งยืนเสมอฟ้าดิน กำหนดลิขิตชะตาชีวิตของตนเอง สำเร็จเป็เทพ...
ทัณฑ์สายฟ้าเจ็ดชั้นสูญสลาย เมฆครึ้มบนฟ้ายิ่งหนาแน่นกว่าเดิม พลังกดดันสุดแสนหนักหน่วงชนิดหนึ่งอยู่ท่ามกลางการเตรียมการของกลุ่มเมฆสายฟ้า คล้ายดั่งสัตว์ั์มหึมายุคากำลังฟื้นตื่นขึ้นมา ทัณฑ์สายฟ้าระลอกที่แปดจะต้องรุนแรงร้ายกาจยิ่งขึ้น จ้านอู๋มิ่งก็มิกล้าชะล่าใจ ต่อให้เขาฝึกปรือเคล็ดวิชา “อสนีบาตสัญจร์” กายเนื้อและเส้นชีพจรรับการโจมตีของอสนีอยู่เสมอ แต่ทว่าอสนีของทัณฑ์สายฟ้า ยิ่งเป็ผู้ย้อนทวนฝืนลิขิตฟ้าแล้วนั้น ทัณฑ์สายฟ้าก็ยิ่งน่าสะพรึงกลัว
กลุ่มเมฆเบื้องบนเจิดจ้ายิ่งขึ้นตลอดเวลา ประจุสายฟ้าชั้นแล้วชั้นเล่ากระเพื่อมเป็ระลอกคลื่น ดุจดั่งกำลังรวมตัวขึ้นเป็บึงสายฟ้าแห่งหนึ่งเหนือยอดเขาเทียนเจวี๋ยเฟิง สีหน้าจ้านอู๋มิ่งแปรเปลี่ยนแล้ว กู่เสียงยาวคราหนึ่งพร้อมเสียงัคำราม ในมือเพิ่มดาบรูปร่างแปลกพิสดารขึ้นเล่มหนึ่ง...ดาบกระหายชีวิต ที่ขึ้นแท่นอันดับสองในอาวุธหฤโหดของใต้หล้า ในที่สุดเขาก็นำอาวุธที่กรำศึกร่วมกับตนมาตลอดครึ่งค่อนชีวิตออกมาแล้ว ดวงตาห้าวหาญของจ้านอู๋มิ่งเปล่งประกายสำนึกการฆ่าฟันออกมาสายหนึ่ง
ที่เทียบเคียงกับยอดเขาเทียนเจวี๋ยเฟิงคือเขาเทียนชิงเฟิง เหมือนดั่งข้าราชบริพารคุกเข่าอยู่ด้านล่างยอดเขาเทียนเจวี๋ยเฟิง บนเขาเทียนชิงเฟิงมีเงาร่างโชกเืหลายร่าง กำลังปกป้องคนชราผู้อ่อนแอสิบกว่าคน มุ่งหน้าใกล้เข้ามาทางยอดเขาเทียนเจวี๋ยเฟิง คนสวมชุดดำร่วมร้อยคุกคามตามมาติดๆ กลิ่นคาวเืคละคลุ้งตลอดทาง เฉกเช่นเข่นฆ่าสุกร สังหารสุนัข มิสนใจไยดีว่าอีกฝ่ายล้วนเป็คนชราผู้อ่อนแอ
ระยะห่างไม่เป็อุปสรรคต่อสายตาของจ้านอู๋มิ่ง จ้านอู๋มิ่งบันดาลโทสะแล้ว ถึงแม้จะห่างกันหลายสิบลี้ แต่เขากลับมองเห็นอย่างชัดเจนว่ากลุ่มคนที่กำลังถูกไล่ล่าสังหารเ่าั้คือบรรดาญาติสนิท สมาชิกคนในครอบครัวแห่งวังอสนีบาต์ของเขา
นี่มันเื่ราวใดกันแน่? จ้านอู๋มิ่งไม่อยากจะเชื่อ ถึงกับมีคนที่สามารถทำลายค่ายกลพิสดารที่คอยปกป้องรักษาที่เขาเป็ผู้ก่อตั้ง บุกรุกเข้าสู่วังอสนีบาต์ของเขา ก่อนจะมาผ่านทัณฑ์สายฟ้า เขาได้เตรียมการทุกอย่างเสร็จสรรพแต่แรกแล้ว ผู้คนทั้งบนล่างในวังอสนีบาต์ล้วนสามัคคีเป็น้ำหนึ่งใจเดียว ยอดฝีมือคลาคล่ำ ถึงแม้ตนจะเป็ผู้ลงมือเองก็ไม่สามารถบุกเข้าไปทำลายลงได้ใน่เวลาสั้นๆ
วังอสนีบาต์ของจักรพรรดิอสนีบาตจิตเยือกแข็งเป็เขตต้องห้ามของยุทธภพตลอดมา มิมีผู้ใดกล้าตอแย แต่ทว่าบัดนี้...
ทัณฑ์สายฟ้าชั้นที่แปดกระหน่ำลง ประจุสายฟ้ามหาศาลดุจดั่งน้ำตกสายฟ้าไร้ที่สิ้นสุดสาดกระหน่ำเทลงมาจากกลางนภากาศ จ้านอู๋มิ่งเหมือนดั่งัที่อยู่ท่ามกลางตาน้ำฝน สายฟ้าคะนอง ดาบกระหายชีวิตในมือรับรู้ถึงสำนึกฆ่าฟันและเพลิงโทสะในใจผู้เป็นาย แปรเปลี่ยนเป็กระแสธารเยือกเย็นสายหนึ่ง...แต่ทว่าใจของจ้านอู๋มิ่งกลับสั่นสะท้านขึ้นมาแล้ว พร้อมกับกลิ่นคาวเืจากการสังหารหมู่บนเขาเทียนชิงเฟิง......
“ตูม...” ประกายสายฟ้าสายหนึ่งถูกดาบกระหายชีวิตชักนำยิงไปทางเขาเทียนชิงเฟิง ประกายสายฟ้ากระจายทั่วทิศ ยิงใส่กลุ่มคนที่เข้าล้อมสังหารเ่าั้ ลำแสงสายฟ้าะเิออกท่ามกลางกลุ่มคน แต่ทว่าเสียงร้องโหยหวนกลับไม่อาจหยุดยั้ง พวกมันเข่นฆ่าสตรีและเด็ก ตลอดจนคนชราผู้อ่อนแอ
ภายในจิตใจจ้านอู๋มิ่งบังเกิดความเศร้าหมอง สำนึกฆ่าฟันและเพลิงโทสะมากมายไร้สิ้นสุดก็มิอาจกลบฝังความเศร้าหมองภายในจิตใจได้! แต่จ้านอู๋มิ่งกลับไม่ได้สูญเสียสติสัมปชัญญะ
เขาทราบว่านี่คือแผนการร้ายที่สมคบคิดครั้งใหญ่ คนชุดดำกลุ่มนี้คือหน่วยกล้าตายที่ยอมสละชีพ เทือกเขาเทียนเจวี๋ยเฟิงห่างไกลวังอสนีบาต์นับพันลี้ ถ้าหากคนพวกนี้้าสังหารสตรีและเด็กของวังอสนีบาต์ คงฆ่าตายหมดสิ้นแต่แรกแล้ว ฝ่ายตรงข้ามไล่ล่าสตรีและเด็กมาถึงที่นี่ ก็เพราะ้าใช้การสังหารหมู่มาทำลายสมาธิการผ่านทัณฑ์สายฟ้าของเขา
ทำลายพิธีการผ่านทัณฑ์สายฟ้าของผู้ฝึกฌานจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงสุดอย่างเปิดเผย มาแล้วมิคิดหวนคืนกลับ นอกจากเดนตายที่ยอมพลีชีพแล้วยังจะเป็ผู้ใดได้อีก!
คนที่อยู่เื้ัช่างอันตรายร้ายกาจยิ่งนัก คำนวณทุกอย่างเรียบร้อยั้แ่แรกแล้ว ่เวลานี้เป็่เวลาสำคัญที่สุดของการผ่านทัณฑ์สายฟ้าสำหรับจ้านอู๋มิ่ง เขาไม่สามารถลงมือช่วยเหลือได้จริงๆ ทันทีที่ลงมือ ทัณฑ์สายฟ้าจะทำลายสรรพชีวิตในรัศมีโดยรอบตัวเขาหมดสิ้นพร้อมกัน ถึงแม้เขาจะสามารถฆ่าพวกเดนตายเ่าั้หมดสิ้นอย่างง่ายดาย แต่สตรีและเด็กเ่าั้ก็จะถูกร่วมกลบฝังไปด้วย
จ้านอู๋มิ่งจะต้องแบกรับบาปหนา สังหารญาติสนิทด้วยน้ำมือตนเอง แต่หากไม่ลงมือก็จะต้องประจักษ์แก่สายตา มองดูญาติสนิทของตัวเองถูกสังหารตรงหน้า ตนเองมีวิทยายุทธ์สูงส่งในใต้หล้า ไร้ผู้ทัดเทียมแล้วมีประโยชน์อันใด สภาพจิตใจเขาสับสนปั่นป่วนแล้ว ท่ามกลางทัณฑ์สายฟ้าที่เหลือ เขาจะต้องสิ้นชีวิตลงด้วยจิตมาร จะฆ่าญาติสนิทด้วยน้ำมือตัวเองหรือมองดูอยู่ข้างๆ เห็นญาติสนิทถูกผู้อื่นสังหารสิ้นชีวิต? วังอสนีบาต์ถูกบุกรุกทำลายลงเช่นไร? มีกลุ่มพลังอำนาจเช่นนี้ขึ้นมาได้อย่างไร?
“อ๊าก...” จ้านอู๋มิ่งกู่ร้องอย่างสิ้นหวังยาวนานขึ้นคราหนึ่ง หากชะตาชีวิตจะต้องโหดร้ายเช่นนี้ หากกลายเป็อสูรแล้วจะเป็อย่างไรเล่า?
“โจรฟ้าเฒ่า…จิตใจข้าไม่ยินยอมและไม่เชื่อในชะตาชีวิต!” จ้านอู๋มิ่งลมหายใจวุ่นวายสับสน ยามนี้จิตมารของเขาก่อกำเนิดแล้ว “ในเมื่อล้วนต้องตายอยู่แล้ว เช่นนั้นก็จงดับสูญไปพร้อมกันเถิด!” พร้อมกับวาจา จ้านอู๋มิ่งย่างเท้าเบาๆ ก้าวหนึ่ง มาถึงเขาเทียนชิงเฟิงท่ามกลางประกายสายฟ้าที่หนาแน่นราวห่าฝน
เพลิงสายฟ้ามหาศาลไร้สิ้นสุดครอบคลุมเขาเทียนชิงเฟิงไว้กลางรัศมีพันวาในชั่วพริบตา
“อ๊าก…” เสียงร้องโหยหวนอย่างสิ้นหวังพรากชีวิตทั้งมวลจนดับสูญหมดสิ้น ยกเว้นจ้านอู๋มิ่ง
ภายในใจจ้านอู๋มิ่งร้อนรุ่มด้วยเจตนาสังหารที่ไร้สิ้นสุดและเพลิงโทสะที่ไม่หมดสิ้น แหงนหน้าขึ้นกู่ร้องคำรามต่อฟ้า ความเศร้าโศกถ่ายทอดไปไกลนับพันลี้ “หากข้าไม่ตาย ต่อให้ต้องสังหารไปทั่วหล้า ข้าก็ต้องตามเข่นฆ่าพวกเ้าจนหมดสิ้น!”
ตลอดแนวเทือกเขาเทียนเจวี๋ยเฟิง สัตว์ดุร้ายหมอบนิ่งดุจจำศีล กลิ่นอายจากเคราะห์กรรมแห่งชะตาชีวิตกับมหันตภัยคุกคามที่เกิดจากทัณฑ์สายฟ้า ทำให้พวกมันพากันหมอบซุ่มซ่อนตัวและสกัดกั้นลมหายใจ
ก้าวย่างกลางนภากาศ จ้านอู๋มิ่งนำพาประจุอสนีเต็มท้องฟ้ามุ่งหน้าไปตามแนวเทือกเขาเทียนเจวี๋ยเฟิง นั่นคือทิศทางของวังอสนีบาต์ ถึงแม้ต้องดับสูญท่ามกลางทัณฑ์สายฟ้า ก็ต้องให้ศัตรูทั้งหมดร่วมกลบฝัง
วังอสนีบาต์ ทะเลเพลิงลุกลามไปทั่ว กำแพงพังทลาย บ้านช่องพังพินาศ เหมือนถูกหินจากฟ้าถล่มใส่ ทุกแห่งหนล้วนเป็รอยเืและชิ้นส่วนอวัยวะ ไร้ผู้รอดชีวิต…หางตาจ้านอู๋มิ่งเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา ทัณฑ์สายฟ้าชั้นที่แปดทำให้ร่างกายเขาาเ็แล้ว แต่ทว่าเปรียบเทียบกับความเศร้าโศกปวดร้าวภายในใจ อาการาเ็ทางกายนับเป็อะไรได้ ประกายแสงทัณฑ์สายฟ้าระลอกที่แปดจางลง แต่เมฆสายฟ้าคะนองบนท้องฟ้าหนาแน่นยิ่งขึ้น ถึงแม้ทัณฑ์สายฟ้าชั้นที่แปดจางหาย แต่ทัณฑ์สายฟ้าชั้นที่เก้าจะน่าสะพรึงกลัวมากยิ่งขึ้น
ยามนี้ จ้านอู๋มิ่งไม่แน่ใจว่าจะผ่านทัณฑ์สายฟ้าโดยสวัสดิภาพ เนื่องจากจิตสมาธิเขาไม่สมบูรณ์พร้อม แม้ว่าฝึกฌานจนจิตสมาธิแข็งแกร่ง ไร้ผู้ทัดเทียมแล้วจะเป็อย่างไร? แม้ว่าจะทลายนภากาศจนมีอายุยั่งยืนเสมอฟ้าดินแล้วจะเป็อย่างไร? ตนคิดว่าผ่านทัณฑ์มหาภัยพิบัติฟ้าดินแล้วก็จะสามารถควบคุมชะตาชีวิต กลับมิเคยคิดว่าภัยพิบัติของชะตาชีวิต นำมามิเพียงแต่ทัณฑ์สายฟ้าเท่านั้น ยังมีภัยจากน้ำมืุ์ซึ่งน่ากลัวมากยิ่งกว่า…
“โม่เทียนจี...หรือว่าจะเป็จริงอย่างที่เ้าพูดไว้ ดวงชะตาข้า จ้านอู๋มิ่งคือดาววิบัติฟ้าเจ็ดพิฆาต กำหนดแน่นอนแล้วมิอาจฝืน?”
หุบเขาเกล็ดหิมะแห่งวังอสนีบาต์ ที่พักอาศัยของหลินซีรั่ว หญิงสาวที่จ้านอู๋มิ่งรักที่สุดในชีวิตนี้
จ้านอู๋มิ่งก้าวช้าๆ มาถึงนอกหุบเขาเกล็ดหิมะ ยามนี้ทั่วร่างเขาเต็มไปด้วยโลหิต สองตาเป็สีแดงเื ใครๆ ล้วนััได้ถึงความไม่มั่นคงในลมหายใจของจ้านอู๋มิ่ง ภายใต้การปกคลุมของเมฆสายฟ้าคะนอง ร่างกายได้รับาเ็สาหัสแล้ว
จากห้าร้อยนักยุทธ์เดนตายของวังอสนีบาต์เหลือเพียงแปดสิบเก้าคนที่มาต้อนรับจ้านอู๋มิ่ง เป็ผู้าุโคนที่สองของวังอสนีบาต์ นามฉิงชวน ฉายาซู่โส่วตู๋ซิน (มือขาวนุ่มใจพิษ) นางติดตามจ้านอู๋มิ่งมาเกือบร้อยปีแล้ว นอกจากหลินซีรั่ว นายหญิงของวังอสนีบาต์แล้ว นางคือคนที่สำคัญที่สุด จ้านอู๋มิ่งดูแลนางดุจดั่งน้องสาวก็มิปานตลอดมา เวลานี้ฉิงชวนก็เปรอะเปื้อนโลหิตเต็มตัวเช่นกัน ดวงตาเปี่ยมความโกรธแค้นและเศร้าโศกเสียใจ พอเห็นจ้านอู๋มิ่ง นางแทบหลั่งน้ำตา
“พี่ใหญ่…” ฉิงชวนอยากจะพูดแต่หยุดไว้ นางดูออกว่าสภาพการณ์ของจ้านอู๋มิ่งไม่ค่อยมั่นคงนัก
จ้านอู๋มิ่งยิ้มขึ้นอย่างเต็มฝืนคราหนึ่ง ยื่นมือขึ้นคล้ายลูบศีรษะเด็กก็มิปาน ช่วยจัดเส้นผมให้ฉิงชวนเล็กน้อย หายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่งกล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็ผู้ใดก็ตาม ข้าล้วนต้องใช้โลหิตของมัน เอาชีวิตของมันมาชดใช้ เกิดเื่ใดขึ้นกันแน่?”
“เป็พี่รอง เขา…” ฉิงชวนสีหน้าเศร้าโศกและโกรธเคือง
“เ้าสอง…” เจตนาสังหารในดวงตาจ้านอู๋มิ่งพลุ่งพล่าน ตอนที่อยู่บนยอดเขาเทียนเจวี๋ยเฟิง เขาก็ทราบแล้ว เื่ราวมิได้รวบรัดง่ายดายเช่นนี้ หากไม่มีคนในของวังอสนีบาต์คอยเป็ไส้ศึก ด้วยกองกำลังของวังอสนีบาต์ ถึงแม้กองกำลังทั่วหล้าก็มิสามารถทำลายแนวค่ายกลป้องกันของวังอสนีบาต์สำเร็จภายในวันสองวัน แต่เขามิเคยคาดคิดว่าคนทรยศจะเป็จี้เว่ยหราน ผู้าุโใหญ่ของวังอสนีบาต์ ในวังอสนีบาต์ นอกจากจ้านอู๋มิ่งแล้ว เขาคือคนที่มีอำนาจมากที่สุด
ท่ามกลางเสียงหัวเราะขมขื่นของจ้านอู๋มิ่ง สิ่งที่มากมายยิ่งกว่าก็คือความโศกเศร้าโกรธเคือง พี่น้องที่ติดตามตนมานานกว่าร้อยปีกลับกลายเป็ตัวการนำเภทภัยทรยศมาสู่ครอบครัวของเขา
ฉิงชวนเงยหน้ามองสีหน้าซีดขาวของจ้านอู๋มิ่ง พูดด้วยความห่วงใยว่า “พี่ใหญ่ ท่านสะกดข่มพลังการบ่มเพาะเช่นนี้ หลีกเลี่ยงทัณฑ์จากฟ้าคงมิเป็ไรกระมัง? ท่านสามารถผ่านทัณฑ์สายฟ้าสำเร็จหรือไม่?”
จ้านอู๋มิ่งหัวเราะขมขื่นพลางส่ายหน้าพูดเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้ามิเป็ไร ข้าใช้เคล็ดวิชาแยกิญญา แยกิญญาจากมา มิเพียงสามารถสะกดข่มพลังบ่มเพาะปิดบังฟ้าตรวจสอบ ยังสามารถหลีกเลี่ยงรับทัณฑ์สายฟ้าชั้นที่เก้าช้าลงชั่วคราว บัดนี้ความสมบูรณ์ของขอบเขตจิตสมาธิข้าเสียหาย ไม่อาจผ่านทัณฑ์สายฟ้าโดยสวัสดิภาพ ดังนั้นวันเวลาของข้าจึงมีไม่มากแล้ว แต่ว่าน้องสาว เ้าวางใจเถอะ เวลาที่เหลือของข้าเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนที่แปดเปื้อนโลหิตของวังอสนีบาต์ต้องจ่ายค่าตอบแทน!”
“อา!” ฉิงชวนจิตใจหนักอึ้ง นางทราบว่าเคล็ดวิชาแยกิญญาหมายความถึงสิ่งใด มิเพียงพลังบ่มเพาะถูกสะกดข่มไว้ ยังทำให้พลังปราณและแก่นโลหิตจิติญญาาเ็ หากมิมีการฝึกฌานรักษาสักครึ่งปีถึงหนึ่งปี สถานเบาพลังบ่มเพาะมิอาจฟื้นกลับคืนมาตลอดกาล สถานหนักคือถูกธาตุไฟเข้าแทรก เคล็ดวิชานี้อย่างมากสามารถปิดบังการตรวจสอบของฟ้าได้สิบวัน หากหลังสิบวัน ิญญายังไม่รวมตัวกันก็จะสลายไปเองและสูญเสียิญญาจนสิ้นชีวิต หลังสิบวัน หากิญญารวมตัวกันใหม่ ทัณฑ์สายฟ้าชั้นที่เก้าจะต้องฟาดกระหน่ำลงมาอีกครั้ง เวลานั้นทัณฑ์สายฟ้าชั้นที่เก้าที่ได้กักเก็บสะสมมานานถึงสิบวัน จะต้องรุนแรงร้ายกาจกว่าทัณฑ์สายฟ้ายามปกติมากมายนัก ฉิงชวนทราบว่าจ้านอู๋มิ่งครั้งนี้ต้องเสียชีวิตแน่นอน
“ซีรั่วเป็อย่างไรแล้ว?” จ้านอู๋มิ่งสีหน้าแปรเปลี่ยน เขามิเห็นหลินซีรั่วมาพบเขา นี่ดูมิสมเหตุสมผลเสียเลย
ฉิงชวนสีหน้าหม่นหมองลง พูดอย่างอ่อนใจว่า “พี่ใหญ่อย่าเพิ่งร้อนใจไป พี่สะใภ้ถูกแพร่พิษประหลาดชนิดหนึ่ง แต่ว่ามิมีอันตรายถึงชีวิตชั่วคราว”
“ถูกแพร่พิษ พิษชนิดนั้นแม้แต่เ้าก็มิรู้จักหรือ?” จ้านอู๋มิ่งถามโพล่งขึ้นมา ฉิงชวนถูกขนานนามมือขาวนุ่มใจพิษ มิเพียงเนื่องจากวิชาแพทย์สูงส่งไร้ผู้ทัดเทียม อีกทั้งเพราะฝีมือการใช้พิษก็ไร้ผู้ต่อกร ทั่วหล้าแทบมิมีผู้ใดใช้พิษได้เหนือกว่าฉิงชวนอีกแล้ว ขนาดนางยังกล่าวว่าเป็พิษประหลาด จะไม่ให้เขาตื่นตระหนกได้อย่างไร
“ข้าตรวจสอบพิษนั้นเที่ยวหนึ่งแล้ว พบว่ามีกลิ่นอายเทพอยู่ในพิษนั้น วิธีการปกติจึงกำจัดพิษออกไม่ได้...” ฉิงชวนพูดอย่างละอายใจ
“พิษศพเทพ!” จ้านอู๋มิ่งพูดโพล่งออกมา
“พิษศพเทพ? นั่นคือพิษอะไร?” ฉิงชวนถามอย่างใ
“พิษชนิดนี้เคยปรากฏขึ้นในสุสานทวยเทพเท่านั้น ศพเทพเน่าเปื่อยภายใต้สภาวะพิเศษ ก่อเกิดเป็พิษชนิดหนึ่ง ปรากฏว่าเป็เขาจริงๆ!”
จ้านอู๋มิ่งเหมือนกับูเาไฟที่ใกล้จะะเิขึ้นมาลูกหนึ่ง สำนึกการฆ่าฟันและความโกรธเคืองสุดจะเปรียบนั้น ทำให้นางรู้สึกหนาวเหน็บเย็นวาบไปทั้งตัว ผู้คนในหุบเขาเกล็ดหิมะล้วนถูกกดดันจนหายใจไม่ออก
“พี่รองหรือ?” ฉิงชวนถาม
จ้านอู๋มิ่งพยักหน้าอย่างอ่อนแรง ยามนี้เขารู้สึกสำนึกเสียใจยิ่งนักที่วันนั้นพาจี้เว่ยหรานเข้าไปยังสุสานทวยเทพ จ้านอู๋มิ่งพูดพลางย่างเท้าออกก้าวหนึ่งก็มาอยู่ภายในหุบเขาเกล็ดหิมะ ค่ายกลต่างๆ นอกหุบเขาล้วนถูกมองข้าม มวลอากาศและกาลเวลาภายใต้ฝีเท้าจ้านอู๋มิ่งคล้ายดั่งเกิดความแปรปรวน ฉิงชวนรู้สึกใ หลายปีเกินไปแล้วที่มิได้เห็นจ้านอู๋มิ่งลงมือ การฝึกฌานบ่มเพาะพลังของจ้านอู๋มิ่งอยู่เหนือกว่าจินตนาการของนางเนิ่นนานแล้ว ยามนี้ฉิงชวนกระทำเื่หนึ่งออกมาซึ่งทำให้ทุกคนล้วนรู้สึกใเป็อย่างยิ่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้