“ที่แท้ก็เป็หลานสาวคนที่สี่ ข้าคำนวณผิดไปเอง”
หากจะพูดถึงเื่กฎระเบียบ ชุ่ยหลิวควรแทนตนเองว่าข้าน้อย แต่นางกลับแทนตนเองว่าข้า เช่นนั้นก็มีคำถามเกิดขึ้นว่า เหตุใดนางจึงเรียกหลิวเต้าเซียงว่าหลานสาว?
นี่เป็เื่แปลกเล็กน้อย
นอกจากหลิวเต้าเซียงที่มาเกิดใหม่ในโลกนี้อีกครั้ง ก็ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น เพราะว่านอกจากหลิวฉีซื่อแล้วคนในตระกูลคนอื่นล้วนเป็คนบ้านนอก ไม่เคยมีใครมาถกกันเื่กฎระเบียบ
“ข้าแค่คิดว่านี่คือของที่จวนตระกูลหวงมอบให้”
ความหมายของหลิวเต้าเซียงก็คือ นางรู้สึกว่าแท้จริงนี่เป็เพียงอาหารที่จวนตระกูลหวงกินเหลือและให้มา
แต่สิ่งที่หลิวฉีซื่อได้ยินคือ นี่คือความมั่งมี!
ตระกูลหลิวอยู่ในหมู่บ้านสามสิบลี้เป็ที่ชื่นชมและอิจฉาของคนทั้งหมด ความมั่งมีของตระกูลหลิวกระทั่งบ้านหลี่เจิ้งก็เปรียบไม่ได้
หลิวเสี่ยวหลันยิ้มอย่างมีชัย “เต้าเซียงพูดได้ถูกต้อง นี่คือของที่จวนตระกูลหวงมอบให้”
หลิวฉีซื่อเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กของนาง แล้วมองดูชุ่ยหลิว ก่อนจะเอ่ย “ก่อนหน้านี้มัวแต่เร่งเดินทาง ลืมบอกกับพวกเ้าว่า ชุ่ยหลิวเดิมทีคือสาวรับใช้ชั้นสูงที่ติดตามฮูหยินใหญ่ ฮูหยินใหญ่สงสารข้าที่เป็หญิงชราอายุมากแล้ว ข้างกายไม่มีคนปรนนิบัติดูแล จึงยกนางให้แก่ข้า”
หลิวฉีซื่อจึงแนะนำชุ่ยหลิวให้กับคนในครอบครัวรู้จักอย่างเป็ทางการ แล้วเอ่ยว่า “ครอบครัวเราเป็คนดีมีเมตตา ไม่ได้เคร่งครัดกับเื่กฎระเบียบ เ้ามาที่บ้านข้าก็อย่าได้ตึงเครียดไปจึงจะดี”
ชุ่ยหลิวพยักหน้ารัก สีหน้าลังเลเล็กน้อย
“มีอะไรจะถามหรือ? บอกแล้วว่า อย่าได้เกร็ง” เมื่ออยู่ต่อหน้าชุ่ยหลิว หลิวฉีซื่อไม่ได้แผ่รัศมีป้าแสนโหดร้ายแม้แต่นิด มีเพียงความมีสง่าและความอ่อนโยนดั่งที่ได้รับการสั่งสอนมาจากในจวน
“ฮูหยิน ข้ากำลังคิดว่า คุณหนูของเราสมควรมีเด็กรับใช้เพิ่มสักคน เดิมทีข้าไม่ควรเอ่ยเตือน เพียงแต่คิดว่า ปีนี้คุณหนูเองก็เจ็ดขวบแล้ว ต่อไปหากเกิดไปเที่ยวเล่นข้างนอก ถึงอย่างไรก็สมควรมีเด็กรับใช้อยู่ด้วยจึงจะดี”
คําพูดของชุ่ยหลิวเตือนหลิวฉีซื่อว่า บุตรสาวของตนนั้นเติบโตเป็สาวขึ้นทุกวัน เดิมทีจะเล่นอยู่แต่ในบ้าน จึงไม่จำเป็ต้องมีเด็กรับใช้ มีสองพี่น้องหลิวเต้าเซียงรับใช้ก็พอ แต่หากไปยังในจังหวัด ความคิดของนางจึงเปลี่ยน สองพี่น้องหลิวเต้าเซียงเป็บุตรสาวของหลิวซานกุ้ย หากติดตามไปในฐานะเด็กรับใช้ คงถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ
เป็การเยาะเย้ยหลิวเสี่ยวหลันผู้เสแสร้ง
นี่คือสิ่งที่หลิวฉีซื่อไม่ยอมปล่อยให้เกิดขึ้นเด็ดขาด นางจึงคิดมากกระทั่งว่า แม้คุณชายท่านนั้นไม่ได้บอกว่าจะมาอีก แต่เขาก็ส่งพ่อบ้านมามอบของกำนัลเทศกาลไม่ใช่หรือ?
เมื่อรวมกับเงินห้าสิบตำลึงที่ได้รับรางวัลครั้งแรก หลิวฉีซื่อจึงวางแผนว่าจะปลูกบ้านอีกเรือน อย่างน้อยก็ต้องเป็บ้านเอ้อร์จิ้นย่วนที่ก่อด้วยอิฐ
ตกกลางคืน ขณะที่หลิวฉีซื่อกำลังนอนบนเตียงก็ปรึกษากับหลิวต้าฟู่
“บ้านเราควรสร้างบ้านใหม่ที่ดีหน่อยหรือไม่?”
“บ้านเอ้อร์จิ้นย่วนที่ดีหน่อย ในหมู่บ้านก็คงต้องใช้ราวหนึ่งร้อยแปดสิบตำลึง ลูกๆ ก็โตหมดแล้ว ประหยัดหน่อยเถิด” หลิวต้าฟู่ไม่เห็นด้วย เขาคิดว่าตนเองชราแล้ว คงอยู่ต่อได้อีกไม่กี่สิบปี หากถึงวันที่ขยับตัวไม่ไหว ก็ต้องไปอยู่กับบุตรชายคนโต
ดังนั้นเขารู้สึกว่าไม่จำเป็
หลิวฉีซื่อไม่ได้คิดเช่นนั้น “คุณชายผู้สูงศักดิ์คนนั้นยังนึกถึงบุญคุณของเรา แล้วยังส่งคนมาเยี่ยมเยียนบ่อยครั้ง หากครั้งหน้าเขามา เ้าจะให้เขาไปพักที่กระท่อมหรือ?”
เื่นี้ก็เป็ปัญหา
“เ้าคิดเองก็แล้วกัน!” หลิวต้าฟู่รู้ว่าหลิวฉีซื่อไม่ได้อยากถามเขาจริงๆ เพียงแต่ความได้ใจของนางมิอาจบอกกล่าวกับคนรอบข้างได้
“ใช่สิ ชุ่ยหลิวคนนั้นเป็มาอย่างไรกันแน่?” ในใจของหลิวต้าฟู่เกิดความไม่สบายใจเล็กน้อย
หลิวฉีซื่อตอบด้วยรอยยิ้ม “ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่านางคือสาวรับใช้ข้างกายฮูหยินใหญ่ เมื่ออายุถึงแล้ว จึงปล่อยให้ออกมาจากจวน ข้าไม่มีคนรับใช้อยู่แล้ว จึงยกให้ข้า”
หลิวต้าฟู่พลิกตัวและหันศีรษะมามองนาง “หรุ่ยเอ๋อร์ พูดความจริง! เ้าบอกว่าต่อไปนางจะพักที่บ้านเรา”
รอยยิ้มของหลิวฉีซื่อหยุดชะงัก แต่เมื่อมองไปแล้ว รอยยิ้มนั้นก็ค่อยๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น
“เ้าคิดว่าข้า้าหรือ ก็ฮูหยินใหญ่บังคับยกให้ข้า”
“เช่นนั้นแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ข้าว่าแม่สาวคนนั้นั้แ่หัวจรดเท้าดูไม่เหมือนสาวบริสุทธิ์”
จริตที่หลั่งออกมาจากกระดูกนั้นเหมือนไม่ใช่หญิงสาวพรหมจรรย์เท่าไร
หลิวฉีซื่อไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงพูดด้วยรอยยิ้มขมขื่น “ฮูหยินใหญ่บังคับยกให้ข้าจริงๆ เด็กสาวคนนี้หน้าตาดีเกินไป เก็บไว้ข้างกายฮูหยินใหญ่ไม่สบายใจ นางกลัวว่าเด็กสาวนั่นจะคิดไม่ซื่อกับใต้เท้าหวง”
ในตระกูลใหญ่เช่นนั้น มักมีเื่ราวที่สาวใช้ขึ้นเตียงเ้านายอยู่บ่อยครั้ง
“แต่นางมีญาติห่างๆ ซึ่งเป็พ่อบ้านที่ทำงานให้ท่านย่าใหญ่ ฮูหยินใหญ่จึงจัดการนางไม่ได้ และไม่มีทางปล่อยให้เด็กรับใช้ขึ้นมาเป็ภรรยาน้อยในจวนของนางได้ โชคดีที่เด็กสาวคนนี้ไม่มีพ่อแม่ ฮูหยินใหญ่จึงตบรางวัลให้แก่ญาติห่างๆ ของนางคนนั้น และเห็นว่าข้างกายข้าไม่มีคนปรนนิบัติ จึงยกให้ข้า เ้าก็รู้ว่า ข้าก็แค่ปากร้ายไม่ชอบเห็นคนเกียจคร้านในบ้าน เมื่อเจอเด็กสาวที่น่าสงสารเช่นนี้ ไฉนเลยจะขับไล่นางไปได้ จึงได้แต่พานางกลับมาด้วย”
หลิวต้าฟู่เงียบไปครึ่งครู่ก่อนที่เขาจะพูดว่า “เพียงแต่ท่าทางจริตจะก้านที่เกินตัวของนาง”
หลิวฉีซื่อเห็นว่าเขาเป็ห่วง จึงพูดความในใจออกมา “เ้าก็รู้ว่า ซุนซื่ออาศัยว่าคลอดหลานชายตัวอ้วนให้ตระกูลหลิวสองคน แล้วจึงไม่เห็นคนแก่อย่างเราสองคนอยู่ในสายตา ข้ากำลังคิดว่า เ้าสองเป็เหรัญญิก ในตำบลก็นับว่ามีหน้ามีตา คิดว่าคงมีเข้าสังคมข้างนอกบ้าง ซุนซื่อก็เป็เพียงผู้หญิงชนบท ไม่มีทางเทียบกับชุ่ยหลิวที่มีความรู้ สาวรับใช้ที่มาจากจวนตระกูลใหญ่ย่อมเทียบได้กับลูกคุณหนูคนรวยข้างนอก ข้าจึง้าเก็บนางไว้ จะได้ข่มซุนซื่อ เราเองก็แก่เฒ่าแล้ว คงต้องพึ่งพาลูกชายเหล่านี้ เมื่อซุนซื่อไม่เชื่อฟัง ข้าก็ต้องหาคนที่เชื่อฟังให้ลูกชายเรา”
“ข้าไม่คิดว่านางดูเหมือนคนที่เชื่อฟังเท่าไร เกรงว่าจะร้ายกาจกว่าซุนซื่อเสียอีก” หลิวต้าฟู่ไม่ค่อยเห็นด้วย เื่การมีภรรยาน้อยของคนรวยเป็เื่ปกติ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ได้คัดค้าน
หลิวฉีซื่อยักคิ้วขึ้นอย่างมีชัยและพูดอย่างมีความสุข “ที่แท้เ้าก็เป็ห่วงเื่นี้นี่เอง กลัวอะไร ก่อนที่ข้าจะกลับมา ฮูหยินได้แอบเรียกข้าไป และยกสัญญาซื้อขายทาสของชุ่ยหลิวให้ข้า”
เหตุผลที่ตระกูลหลิวไม่เคยซื้อใคร เพราะว่าข้อหนึ่งหลิวต้าฟู่เกิดมาติดดิน เขาไม่ค่อยชอบนัก ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็คือหลิวฉีซื่อ้าใช้ครอบครัวเ้าสามมาเป็คนรับใช้โดยไม่ต้องจ่ายค่าจ้าง กระนั้นในบ้านจึงไม่เคยมีคนใช้
“ในเมื่อเพิ่มคนรับใช้มา อาหารการกินในบ้านก็คงเหมือนเช่นแต่ก่อนไม่ได้ ต้องกินดีหน่อย แล้วก็ ต่อไปซื้อผ้าลายดอกตัดชุดกระโปรงให้เต้าเซียงและคนอื่นด้วย อย่าให้คนรับใช้เห็นเป็เื่น่าตลก” หลิวต้าฟู่ยังคงนึกถึงครอบครัวของหลิวซานกุ้ยอยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน่ที่หลิวฉีซื่อไม่อยู่ เขาเพิ่งรับรู้ถึงชีวิตที่ดุจดั่งเทพเซียนว่าเป็เช่นไร
หลิวฉีซื่อผลักเขาอย่างไม่พอใจ “ข้าก็ดีกับครอบครัวนั้นมากแล้ว หากจะขอให้ข้าดีกับครอบครัวนั้นให้มากกว่านี้อีก ถือว่าเกินไปหน่อย!”
หลิวต้าฟู่ขยับร่างของเขาออกเล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า “ก็บอกแล้วว่า หากเ้าจะซื้อคนรับใช้อีก ก็ไม่ควรปล่อยให้ครอบครัวหลิวซานกุ้ยกินอยู่เช่นแต่ก่อน นี่มันเท่ากับเป็การบอกกล่าวกับคนทั้งหมู่บ้านไม่ใช่หรือ? อีกอย่าง เขาก็ไม่ได้กินอยู่โดยเปล่าๆ เปลี้ยๆ ดีกับพวกเขาหน่อย ต่อไปมันจะส่งผลดีต่อเื่หมั้นหมายของเ้าสี่กับลูกสาวเราอีกด้วย”
ทันทีที่เขาพูดแบบนี้หลิวฉีซื่อก็ไม่คัดค้านอีก และเอ่ยว่า “บ้านของตระกูลจางจะไว้ใช้เลี้ยงวัว บ้านเราเองก็เล็กเกินไปหน่อย ประจวบเหมาะกับแปลงผักยังเหลืออีกครึ่งหนึ่ง น่าจะมีพื้นที่ประมาณร้อยละแปดเก้าสิบสามารถใช้ได้เอามาปลูกบ้านเอ้อร์จิ้นย่วน ใช้อิฐสีเขียวเถอะ หลายปีมานี้ข้าก็เก็บสะสมได้แปดถึงเก้าร้อยตำลึงแล้ว”
ตามคาด ในมือของหลิวฉีซื่อมีเงินอยู่ไม่น้อย
“อืม เ้าจัดการเถอะ!” หลิวต้าฟู่หาว
หลิวฉีซื่อกําลังพูดอย่างมีความสุข แล้วจะปล่อยเขานอนได้อย่างไร จึงปลุกเขาและเอ่ย “ข้าจะบอกกับเ้าเื่หนึ่ง ครั้งนี้ที่ไปจังหวัด ฮูหยินใหญ่ถามข้าว่า ้าไปซื้อบ้านที่จังหวัดหรือไม่?”
“บ้านอะไร?” เปลือกตาของหลิวต้าฟู่กําลังจะปิด สำหรับเื่เหล่านี้ เขาไม่มีความสนใจแม้แต่น้อย หลังจากเหนื่อยจากข้างนอกมาทั้งวัน เมื่อศีรษะถึงหมอนความง่วงก็เข้าจู่โจม
“ในจังหวัดมีที่นาดีชั้นยอดขายหนึ่งไร่ในราคาแปดตำลึง ที่นาในหมู่บ้านสามสิบลี้น้อยเกินไป ข้ากำลังคิดว่า การแต่งงานของวั่งกุ้ยยังอีกตั้งสามปี ส่วนลูกสาวเราก็ยังเล็ก สู้ซื้อที่นาสักหน่อยเป็เช่นไร?”
เหตุผลที่หลิวฉีซื่อหวั่นไหวเช่นนี้ นอกเสียจากการชี้นำของฮูหยินใหญ่ บุตรชายคนโตของนางก็โน้มน้าวเชน่นี้ ยิ่งไปกว่านั้นบ้านของบุตรชายคนโตก็อยู่ในจังหวัด ย่อมไม่ขาดแคลนคนดูแลบ้านให้อยู่แล้ว
“เ้าทั้งสร้างบ้าน ทั้งซื้อบ้าน เงินพอหรือ?” แม้ว่าหลิวต้าฟู่ไม่ได้อ่านเขียนคล่องมากนัก แต่การคำนวณแค่นี้ก็พอทำได้บ้าง
“ก็ได้ ก็ได้ ข้าจะไม่ปิดบังเ้า ครั้งนี้กลับมาฮูหยินใหญ่ให้ของข้ามาไม่น้อย ของเหล่านี้ข้าจะนำไปแลกเป็เงินกับบรรดาฮูหยินเซียงเซินก็พอได้ ก่อนจะกลับมา ฮูหยินให้ค่าเดินทางแก่ข้าเป็จำนวนยี่สิบตำลึง ท่านย่าใหญ่ให้มาสิบห้าตำลึง ฮูหยินรองให้สิบตำลึง คุณหนูคุณชายก็ให้มาคนละหนึ่งถึงสองตำลึง รวมแล้วก็แปดสิบตำลึงเศษ เพียงพอจะสร้างบ้านหลังเล็กได้แล้ว หากขายหมูทั้งสามตัวที่อยู่หลังบ้าน รวมกับเงินรางวัลที่คุณชายผู้นั้นให้ไว้อีกห้าสิบตำลึง ก็สามารถซื้อที่ดินของตระกูลจางได้แล้ว ส่วนที่ดินอาศัยก็แค่หนึ่งไร่กว่า”
เงินหนึ่งตำลึง หลิวฉีซื่อไม่ได้ใส่ใจนัก
หลิวฉีซื่อนึกเสียใจทีหลังที่ไม่ได้ไปในจังหวัดให้เร็วกว่านี้ หากว่าซื้อที่นาดีแต่เนิ่น ไม่แน่ว่า ตอนนี้บ้านของนางอาจจะพลิกโฉมใหม่แล้ว และนางคงได้ใช้ชีวิตที่เหนือกว่าข้ารับใช้
“หลังจากใช้จ่ายสิ่งเหล่านี้ยังเหลือเท่าไร?” หลิวต้าฟู่คิดดูแล้วจึงตัดสินใจถามให้ชัดเจน
“มีประมาณสองร้อยตำลึง จำนวนนี้ต้องรวมกับเครื่องประดับทองกับผ้าที่บรรดาฮูหยินให้มาด้วย”
ผ้าชั้นดีสามารถนำไปแลกเงินได้ในตำบล
“เมื่อเป็เช่นนี้ เ้าตัดสินใจก็แล้วกัน” เขาตอบรับหลิวฉีซื่อแบบขอไปที
แต่จิตใจของเขาได้ล่องลอยไปที่อื่นแล้ว เขานึกถึงผู้หญิงที่อ่อนโยนเมื่อหลายสิบปีก่อนคนนั้น เดิมทีหญิงสาวคนนั้นควรจะกลายเป็ภรรยาของเขา แต่เนื่องจากเหตุการณ์ที่เปลี่ยนไป กลับกลายเป็ว่าเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของคนทั้งสาม นี่แหละหนอชีวิต หลิวต้าฟู่ยอมรับชะตากรรมแล้ว!
เช้าวันรุ่งขึ้นหลิวฉีซื่อพาชุ่ยหลิวออกจากบ้าน บอกว่าฮูหยินใหญ่ตระกูลหวงให้ผ้าชั้นดีมาไม่น้อย นางต้องเอาไปส่งให้หลิวเหรินกุ้ยกับหลานชายเ่าั้
แน่นอนว่า ภายใต้สายตาที่ไม่พอใจของหลิวต้าฟู่ ไม่ง่ายเลยที่หลิวฉีซื่อจะยอมแบ่งผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดให้แก่ครอบครัวของหลิวซานกุ้ยด้วย
ตอนนั้นนางกล่าวว่า “ซานกุ้ย ถึงอย่างไรเ้ากับกุ้ยฮัวก็ทำงานอยู่ในบ้าน ผ้าไหมเหล่านี้ให้พวกเ้าไป พวกเ้าก็ใส่ไม่เป็ สู้ใส่ผ้าฝ้ายเช่นนี้จะสบายตัวกว่า”
สำหรับความเอื้ออาทรของนาง หลิวซานกุ้ยถึงกับใที่ได้รับความเมตตา ส่วนจางกุ้ยฮัวก็ใไม่น้อย
หลิวเต้าเซียงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง แต่ในเมื่อหลิวฉีซื่อยินดีที่จะให้ นางก็เต็มใจที่จะรับ กระทั่งรีบขานเรียกท่านย่าอย่างประจบประแจง จากนั้นก็รีบรับผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดมาจากนางอย่างรวดเร็ว
จะไม่เอาก็เสียเปล่า ของมาถึงแล้ว อย่าได้ขอให้หลิวเต้าเซียงคายกลับออกมา
-----
