แท้จริงแล้วเื่มารยาท ดนตรี ยิงธนู ขี่ม้า การเขียนและการคำนวณล้วนเป็วิชาที่บุรุษต้องเรียนรู้ ในฐานะสตรี แม้จะศึกษามากเพียงใด เล่าเรียนจนชำนาญหรือสอบผ่านตำแหน่งจอหงวนก็ล้วนไม่มีประโยชน์ สตรีถูกส่งตัวไปสำนักศึกษาเพื่อเพิ่มคุณค่าให้มากขึ้น เมื่อเจรจาเื่แต่งงานหรือเมื่อ้าหาสามีที่ดีจะได้เป็ไปโดยง่าย แม้ลูกสาวที่ถูกต้องตามกฎหมายของตระกูลหลัวจะไม่ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้แต่นางก็ยังมีคุณค่าเพียงพอ การมีประสบการณ์เรียนรู้ในสำนักเฉิงซวี่เป็เพียงการเพิ่มมูลค่า ทว่าหากไม่มีประสบการณ์ก็ไม่ถูกลดคุณค่าแต่อย่างใด จากบรรดาตระกูลทั้งหมดในหยางโจว สตรีทั้งสองมีเกียรติมากพอที่จะแต่งงานกับผู้ใดก็ได้ สามารถเลือกคนดีในหยางโจวตามความประสงค์ของพวกนาง
เหม่ยเหนียงเป็ลูกสะใภ้คนที่สองของเหล่าไท่ไท่ นางมักจัดงานเลี้ยงน้ำชาหรืองานแต่งบทกวีที่เรือนหนึ่งถึงสองครั้งต่อเดือน มีการเชิญคุณชายผู้เป็เครือญาติกว่าสิบคนมาร่วมงาน หากยังพอมีที่ว่าง นายหญิงรองก็จะส่งบัตรเชิญไปยังครอบครัวขุนนางภายใต้ชื่อ “เหล่าไท่จวินแห่งจวนตระกูลหลัวฝั่งตะวันออกในเมืองหยางโจว” โดยเขียนบัตรเชิญว่า “ขอเชิญเด็กวัยเยาว์ที่ยังไม่ออกเรือนมาที่จวนตระกูลหลัวตงเพื่อเพลิดเพลินกับชาและชมดอกไม้” ทุกคนคงเข้าใจว่าหมายถึงอะไร หลายครอบครัวจึงส่งคนวัยเยาว์ที่ฉลาดและหล่อเหลาหนึ่งหรือสองคนมาเยี่ยมเยียน แม้ไม่สามารถตกลงกันได้แต่หลายคนก็เต็มใจจะเข้าร่วม
อย่างไรก็ตาม หากตระกูลหลัว้าให้ลูกสาวมีสามีสมบูรณ์แบบก็จำต้องจัดงานเลี้ยงน้ำชาหลายครั้ง ครอบครัวชั้นสูงบางครอบครัวที่้าเลือกลูกสะใภ้ก็มักจะทำเช่นเดียวกัน พวกเขาจัดงานเลี้ยงเหล้าหรืองานกวีหลายครั้ง บางครั้งหลายครอบครัวก็จะร่วมจัดงานเลี้ยงขุนนางแล้วส่งบัตรเชิญไปยังครอบครัวชั้นสูง แม้แต่จือลี่ตอนใต้ในอิ้งเทียนและจือลี่ตอนเหนือในซุนเทียนก็ส่งจดหมายเชิญมายังตระกูลหลัว ตราบใดที่พวกเขาชอบเดินทางก็สามารถเข้าร่วมงานนัดดูตัวในทำนองเดียวกันได้หลายครั้งต่อเดือน
แม้ตระกูลหลัวแทบจะมีอำนาจน้อยที่สุดในวงสังคมชนชั้นสูงในเมืองหลวง แต่ทุกคนในตระกูลหลัวสามารถพูดได้อย่างภาคภูมิใจว่า “ตระกูลพวกเรามีท่านผู้าุโ!” ปัจจุบันผู้มีอำนาจสูงสุดในตระกูลหลัวประจำเมืองหลวงคือหลัวตู้ซ่ง เขาเป็แพทย์ประจำสำนักแพทย์หลวงรองขั้นเจ็ด ทว่ากลับไร้อนาคตในตำแหน่งทางการ เช่นนี้แทบไม่ต้องพูดถึงคนในตระกูลหลัวตงที่แม้แต่สอบขุนนางก็ยังสอบไม่ผ่าน
ปีนี้ผู้าุโหลัวม่ายทงอายุแปดสิบเอ็ดปีทว่ายังคงมีสุขภาพแข็งแรงดี เขาเป็รัฐบุรุษของฮ่องเต้ เคยสั่งสมมิตรภาพอันลึกซึ้ง ทั้งยังเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่เพื่อรวบรวมแผ่นดินใต้หล้าให้เป็ผืนเดียว
ในกองทัพปีนั้น ผู้าุโเป็แพทย์ทหารของฮ่องเต้ คอยพันแผลและเตรียมยาทุกชามให้แก่พระองค์ ฮ่องเต้ทรงเรียกผู้าุโว่า “ท่านพี่หลัว” เพราะผู้าุโมีอายุมากกว่าเขาสิบปี หลังาสิ้นสุด ผู้าุโหลัวม่ายทงได้รับแต่งตั้งเป็แพทย์ประจำราชวงศ์เพื่อรักษาฮ่องเต้และฮองเฮาเท่านั้น ต่อมาก็ได้รับแต่งตั้งเป็แพทย์าุโประจำสำนักแพทย์หลวงขั้นห้า ก่อนเลื่อนตำแหน่งเป็อาจารย์ใหญ่แห่งสำนักศึกษาของจักรพรรดิ รองผู้อำนวยการขั้นสี่ จนในที่สุดก็ย้ายไปเป็ที่ปรึกษารัฐมนตรีฝ่ายซ้ายของสำนักข้าหลวงยุติธรรมมณฑล กระทั่งลาออกกลับบ้านเมื่อสิบห้าปีก่อน
ทุกคนกล่าวว่าฮ่องเต้มักจะสังหารผู้มีบุญคุณ ทว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเขากลับไม่สามารถสังหารเหล่าไท่เหยียได้ แน่นอนว่ามีเหตุผล คำอธิบายที่สมเหตุสมผลคือเหล่าไท่เหยียเป็ผู้ตระหนักรู้ในสถานการณ์ เดาใจฮ่องเต้ได้และรู้เวลาที่ควรถอยหนีเพื่อเอาตัวรอด เหตุผลอีกส่วนเป็เพราะใน่สิบห้าปีที่ผ่านมาฮ่องเต้ยังคงนึกถึงเหล่าไท่เหยีย เมื่อใดที่เหล่าไท่เหยียกลับบ้าน ขันทีจากพระราชวังจะมาถ่ายทอดราชโองการของฮ่องเต้โดยขอให้ท่านผู้าุโเข้าเฝ้าเพื่อตรวจพระวรกาย ในความเป็จริงร่างกายของฮ่องเต้ทรงแข็งแรงดี แต่พระองค์เพียงอยากคุยกับเพื่อนเก่าด้วยความคิดถึง ทุกคนรู้ดีว่าฮ่องเต้เป็กษัตริย์ที่คาดเดาอารมณ์ไม่ได้ จะมีสักกี่คนบนโลกที่เดินทางไกลแล้วถูกเรียกเข้าเฝ้าเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ?
ในปีนั้น สาเหตุที่ตระกูลไฉ่ในเฉิงตูส่งลูกสาวสองคนจากแดนไกลไปแต่งงานในหยางโจว เพราะพวกเขา้าเพิ่มชื่อเสียงให้แก่ท่านผู้าุโ ส่วนสาเหตุที่ว่าเหตุใดจึงส่งลูกสาวสองคนมาในคราวเดียวนั้นก็เป็เื่เก่าอีกเื่
แม้บุตรชายทั้งสามของท่านผู้าุโจะไม่ได้ก้าวสู่จุดสูงสุดของอาชีพทางการเมือง แต่หลัวสุ่ยเซิงลูกพี่ลูกน้องของเขาก็ประสบความสำเร็จด้านการค้าขายอย่างเป็ทางการ หลายปีที่ผ่านมา การค้าขายของหลัวสุ่ยเซิงเติบโตมาก ได้เลื่อนตำแหน่งเป็หัวหน้าหน่วยผลิตและขนส่งเกลือขั้นสี่ ทว่าเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้วเขาขอลาออกเพื่อไว้ทุกข์มารดา ปัจจุบันเนี่ยนก่วงซือผู้เป็ลูกเขยของเขาดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการขั้นห้าฝ่ายกำลังพล ลูกชายคนเล็กหลัวเชี่ยป๋อก็เป็ภัณฑารักษ์ขั้นหกของหน่วยยุติธรรมในเมืองหูหนานและหูเป่ยซึ่งอยู่ภายใต้เขตอำนาจหน่วยราชทัณฑ์ พวกเขาทั้งหมดเป็เ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในราชสำนัก แม้หลัวเส่าจีลูกชายคนโตของหลัวสุ่ยเซิงจะไม่ได้เข้าราชสำนัก แต่เขาก็มุ่งเน้นจัดการดูแล “ร้านจี่จื่อถัง” ที่เปิดทำการค้ามาสามสิบปีภายใต้การดูแลของครอบครัว ตอนเขายังเด็กก็เคยเป็บัณฑิตที่สอบผ่านหรือที่เรียกว่าจวี่เหริน ทั้งยังเคยมีโอกาสดำรงตำแหน่งขุนนาง
ครอบครัวของหลัวสุ่ยเซิงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลูกหลานของเหล่าไท่เหยีย ใน่ปีแรก หลัวตู้เหิงประมุขตระกูลหลัวซีสภาพร่างกายไม่แข็งแรงนัก ก่อนเขาจะประสบปัญหามีบุตรยากก็เคยให้กำเนิดลูกสาวจากอนุภรรยาเพียงคนเดียวคือหลัวชวนเจียว ต่อมาเขาจึงรับเลี้ยงลูกของอนุภรรยาหลานชายนามว่าหลัวเส่าจีและหลัวชวนอู่ ตอนนี้ทั้งสองเป็คุณชายใหญ่แห่งจวนหลัวซี ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการสำนักแพทย์หลวงในปัจจุบัน เขามักยุ่งกับการเดินทางระหว่างเมืองอิ้งเทียนและเมืองหยางโจว ทั้งสองถือเป็ลูกชายที่ดีที่สุดในจวนหลัวซีและจวนหลัวตงประจำเมืองหยางโจว
ตระกูลหลัวเป็ตระกูลเก่าแก่นับร้อยปีที่เปี่ยมด้วยอำนาจ โดยทั่วไปทายาทตระกูลหลัวจึงยังคงมีอำนาจในราชสำนัก เป็ไปได้ว่าวันหนึ่งอาจมีบุคคลไม่ธรรมดานำพาตระกูลให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น
แท้จริงแล้วพวกเขาเป็ลูกหลานของหลัวเทียนอี้แพทย์ผู้มีชื่อเสียงในราชวงศ์หยวน มีการฝึกฝนทักษะการแพทย์เพื่อเลี้ยงชีพสืบเนื่องหลายชั่วอายุคน
หลัวปี่บุตรชายของหลัวเทียนอี้ไม่เพียงสืบทอดวิชาการแพทย์ของบิดาเท่านั้น ซ้ำยังได้เรียนรู้จากโต้วโม่วที่ขณะนั้นรู้จักกันในนาม “แพทย์เทวดาเข็มทอง” แห่งราชวงศ์หยวน เขาเรียนรู้ทักษะ “ฝังเข็มซานชิง” ของแพทย์เทวดาโต้วโม่วมาตลอดชีวิต หลัวปี่ยอมคุกเข่าหน้าประตูเรือนของแพทย์โต้วโม่วถึงสามวันสามคืนเพื่อให้รับเขาเป็ศิษย์ จนในที่สุดเขาก็กลายเป็ลูกศิษย์คนสุดท้ายของโต้วโม่ว วันที่เขาฝึกวิชาสำเร็จนั้น เพื่อระลึกถึงความเมตตาของอาจารย์ หลัวปี่จึงกำหนดให้วันที่สิบเจ็ด เดือนเก้าเป็ “วันขอบคุณอาจารย์” ทุกปีจะใช้สัตว์สามตัวและผลไม้สิบอย่างในการบูชา ทั้งยังขอให้ลูกชายของเขาทำเช่นเดียวกัน ดังนั้น “วันขอบคุณอาจารย์” จึงตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น
ทุกคนกล่าวว่าทักษะทางการแพทย์ของท่านผู้าุโเป็ “อันดับต้นในบรรดาแพทย์ใต้หล้า” ไม่เพียงชื่นชมทักษะและคุณธรรมทางการแพทย์ของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็เพราะเขาคือคนเดียวในโลกที่เชี่ยวชาญ "การฝังเข็มซานชิง" หลัวตู้จ้งประมุขแห่งจวนหลัวตะวันออกเป็คนเดียวที่ได้เรียนรู้การฝังเข็มของผู้าุโกว่าสามถึงสี่ส่วนทว่าเขากลับเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน อย่างไรก็ตาม หลัวตู้ซ่งแห่งจวนตระกูลหลัวในเมืองหลวงก็ยังไม่มีความสามารถมากพอจึงเรียนรู้การฝังเข็มได้ไม่ถึงหนึ่งส่วน
จากนั้นไม่นาน “วันขอบคุณอาจารย์” ก็ไม่ได้รับการยกย่องว่าเป็เทศกาลสำคัญสำหรับลูกหลานตระกูลหลัวอีกต่อไป คนหนุ่มสาวและลูกสะใภ้หลายคนในจวนไม่เคยได้ยินเื่ราวเก่าแก่นี้มาก่อน ในฐานะทายาทเพียงคนเดียวที่รู้เื่ "การฝังเข็มซานชิง" ของโต้วโม่ว ท่านผู้าุโจึงให้ความสำคัญอย่างมากจนถึงทุกวันนี้ ตราบเท่าที่ทุกอย่างราบรื่น เขาจะกลับไปเมืองหยางโจวใน่เวลานี้ของทุกปี เริ่มทำสมาธิเป็เวลาสองวันในเรือนลับเล็ก ๆ ทางตะวันตกของเมืองหยางโจว โดยมักจะจัดงานขอบคุณอาจารย์เพียงคนเดียว ไม่มีใครรู้ว่าเขาขังตัวเองโดยไม่กินไม่ดื่มไปเพื่ออะไร
ท่านผู้าุโมีลานหญ้าขนาดใหญ่ของตนในจวนหลัวซีและจวนหลัวตง ทุกคนในจวนทั้งสองพยายามเต็มที่เพื่อทำให้เรือนสดใหม่และสง่างาม แม้ในหนึ่งปีท่านผู้าุโจะไม่มาที่นี่แม้แต่ครั้งเดียว แต่พวกเขาก็ยังส่งคนรับใช้ที่ได้รับมอบหมายพิเศษมาทำความสะอาดลานหญ้าทุกวัน หากเขากลับบ้านเมื่อใดก็จะได้เห็นต้นไม้ที่มีชีวิตชีวาและบ้านที่สดใสสะอาดตา
เนื่องจากท่านผู้าุโจะกลับเรือนลับเป็เวลาสองวันในทุกปี เมื่อถึง “วันขอบคุณอาจารย์” เขาอาจแวะไปลานตะวันออกและตะวันตกสักสองสามวัน ไม่กี่ปีที่ผ่านมาหลัวไป๋เฉียนจากครอบครัวสาขาแรกมีลูกติดต่อกันถึงสามคน เหล่าไท่เหยียชอบดูหลาน ๆ จึงอยู่ที่เรือนตะวันออกเป็ส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้เขาจึงปรากฏตัวใน่เวลาสุดท้ายของชีวิตนายน้อยจูจนสามารถช่วยชีวิตเขาได้ โทษของเหอตังกุยจึงเปลี่ยนจาก “ใช้หนูฆ่าคน” เป็ “พยายามฆ่าคน” แทน
แต่ในชาตินี้เหอตังกุยจะไม่ให้โอกาสเขาปรากฏตัว...
เหล่าไท่เหยียช่วยนายน้อยจูไว้ได้หลังนายน้อยจูตายไปสามวัน ตอนนี้นายน้อยจูตายยังไม่ถึงหนึ่งวัน ทว่าเหอตังกุยได้ขอให้เนี่ยชุนผู้มีวิชาฝีเท้าเร็วไปส่งจดหมายพร้อมวิธีการช่วยชีวิตให้แก่หลัวไป๋เฉียนแล้ว เหอตังกุยคิดว่าสูตรยาของเหล่าไท่เหยียในชาติที่แล้วมีกฎเกณฑ์มากเกินไป จึงเปลี่ยนวัตถุดิบที่สำคัญที่สุดสามชนิด เพิ่มยาระบายและยากระตุ้นเืสองชนิดเพื่อทำความสะอาดสารพิษและปรสิตในร่างกาย หากหลัวไป๋เฉียนทำตามวิธีที่ระบุในจดหมายก็จะช่วยชีวิตนายน้อยจูได้ เว้นแต่จะมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
แน่นอนว่าไม่มียาที่ปลอดภัยในใต้หล้า ยิ่งไปกว่านั้นในชาติที่แล้วเหล่าไท่เหยียเขียนสูตรยาหนึ่งใบหลังตรวจ “ร่าง” ของนายน้อยจูเป็เวลานานโดยใช้วิธีการวินิจฉัยสี่วิธี ได้แก่ ตรวจโดยการฟัง การดมกลิ่นการสอบถามและการัั อย่างไรก็ตาม เหอตังกุยไม่เคยเห็นสถานการณ์การตายของนายน้อยจูมาก่อน เพียงได้ยินอาการทั้งหมดจากคำซุบซิบของบ่าวรับใช้หลังกลับไปยังตระกูลหลัวเท่านั้น
กระนั้นเหอตังกุยก็ยังคง้าทดสอบยาที่ปรับปรุงแล้วของนาง ทว่าราคาที่ต้องจ่ายนั้น...หากล้มเหลว ไม่เพียงไม่สามารถช่วยชีวิตนายน้อยจูได้ แต่มันยังจะปิดกั้นรูขุมขนทั่วร่างกายของเขาอีกด้วย แม้เหล่าไท่เหยียจะใช้ใบสั่งยาเพื่อช่วยเหลือชีวิตนายน้อยจูก็คงไม่มีประโยชน์ เหอตังกุยก็อาจกลายเป็ “ฆาตกร” จริง ๆ หากถึงขั้นนั้นแล้วเหล่าไท่เหยียเปิดเผยเื่นี้ แม้เหอตังกุยจะอ้าง “เซียนผู้เฒ่าในความฝัน” เป็โล่ป้องกันทว่าก็ไม่อาจอยู่ในจวนหลัวตงได้อีกแล้ว มารดาของนางก็จะถูกทุกคนในครอบครัวสาขาแรกเกลียดชัง ท้ายที่สุดนางและแม่ก็จะกลายเป็คนที่ไม่สามารถกลับบ้านได้
เหอตังกุยไม่ใช่ผู้ทดลองทางการแพทย์ที่คลั่งไคล้ในการทดลองชีวิตผู้อื่นอย่างสิ้นหวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางรู้วิธีการรักษาเป็อย่างดี เพียงเปลี่ยนใบสั่งยาโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ในฐานะแพทย์ นางพยายามเต็มที่และใช้วิธีที่ดีที่สุดเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับความเ็ปน้อยที่สุด
อาการป่วยที่เรียกว่าหายไปเหมือนใยไหม ชาติที่แล้วคุณชายจูใช้เวลาสามชั่วยามก่อนจะตื่น อีกทั้งพิษส่วนใหญ่ที่สะสมในร่างกายยังไม่ถูกขับออก เขาจึงต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าครึ่งปีจึงจะสามารถเดินและพูดได้ตามปกติ แต่ต้นตอของโรคก็จะยังหลงเหลืออยู่ภายในร่างกายตลอดชีวิต นับแต่นั้นมา นายน้อยจูก็ซูบผอมและเป็โรคกระดูกอ่อน กล่าวกันว่าเขาไม่แต่งงานเพราะไม่สามารถมีเื่บนเตียงกับสตรีได้ จากนั้นผู้คนต่างสามารถแยกแยะระหว่างคุณชายเว่ยและคุณชายจูได้ เมื่อเห็นน้องชายฝาแฝดเป็เช่นนั้นเพราะตน คุณชายเว่ยก็ไม่มีความสุขมาโดยตลอด ชาติที่แล้วจึงไม่ยอมแต่งงานเช่นกัน แต่เขาก็ยังเลี้ยงของเล่นของบุรุษไว้ในบ้านเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ลูกหลานของครอบครัวสาขาแรกจึงสิ้นสุดที่รุ่นหลัวไป๋เฉียน
ไม่รู้ว่าจ้าวซื่อและต่งซื่อแห่งครอบครัวสาขาแรกเลอะเลือนหรือแสร้งเลอะเลือนกันแน่ พวกนางมักนำเื่ที่หนูสร้างปัญหามาตำหนิเหอตังกุย ทั้งยังมองว่าเหอตังกุยเป็ผู้ร้ายทำลายชีวิตนายน้อยจูและนายน้อยเว่ย เมื่อใดที่เหอตังกุยต้องเผชิญหน้าผู้คนในครอบครัวสาขาแรกก็เสมือนแบกรับหนี้สินที่ไม่มีวันสิ้นสุด
ทุกครั้งที่ครอบครัวสาขาแรกขอให้เหอตังกุยทำสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็ขอตำแหน่งขุนนางให้ต้าเหล่าเหยีย หางานให้คุณชายใหญ่หรือหาสามีที่มีทักษะการต่อสู้แข็งแกร่งให้คุณหนูเหยียนลูกสาวของต่งซื่อ พวกเขามักจะพูดถึงเื่ที่เหอตังกุยทำลายชีวิตคุณชายเว่ยและคุณชายจู หากครั้งแรกไม่สำเร็จก็จะให้นางทำเช่นนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าจนกว่าจะสำเร็จ เมื่อพวกเขา้าให้นางช่วยร้านยาซานชิงถังจัดการร้านยาเย่าซือถังโดยลงมือกับยาของเย่าซือถัง หากนางปฏิเสธว่าไม่สามารถใช้ความรู้ด้านการแพทย์เป็เครื่องมือทำร้ายผู้อื่นได้ จ้าวซื่อก็จะรีบอ้างถึงเื่อันน่าเศร้าของคุณชายจูทันที… ทุกครั้งที่จ้าวซื่อและต่งซื่อมาหานางก็มักจะขอให้ทำเื่นั้นเื่นี้เพื่อชดเชยเสมอ เพราะในใจของพวกนางคิดว่าเหอตังกุยทำร้ายคุณชายจูและคุณชายเว่ย นางจึงเป็หนี้ครอบครัวของพวกเขาไม่จบไม่สิ้น
แม้เหอตังกุยจะรำคาญจ้าวซื่อและต่งซื่อยิ่งนัก ทว่านางไม่ได้เกลียดชังหลานแฝดทั้งสอง นางทนไม่ได้ที่ต้องเห็นหลานจูอ่อนแอเช่นชาติที่แล้ว นางจึง้าปฏิบัติต่อเขาด้วยวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่จะคิดออก
หากสูตรยาของนางถูกต้องก็จะสามารถขับสารพิษและจุดบกพร่องในกระเพาะอาหารของคุณชายจู ได้ก่อนร่างกายจะฟื้นตัว เขาจะตื่นภายในสองชั่วยามและกลับเป็ปกติภายในหนึ่งหรือสองเดือนเท่านั้น เมื่อโตขึ้นก็สามารถแต่งงานมีลูกได้ตามปกติ นางเชื่อว่าหากคุณชายจูเลือกได้ เขาก็คงยินดีที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อลองใช้ยาใหม่นี้ด้วยตัวของเขาเอง
เหอตังกุยก็เสี่ยงเช่นเดียวกัน นางทำสิ่งนี้เพื่อตอบแทนความเมตตาของปู่หลัวตู้จ้งที่ทิ้งหนังสือวิชา "การฝังเข็มซานชิง" ให้นางในชาติก่อน ทั้งยังทำให้ลูกหลานของเขามีชีวิตและร่างกายแข็งแรง เหอตังกุยมีชีวิตสองชาติภพ เมื่อมีการแก้แค้นก็ต้องมีการตอบแทนบุญคุณ แม้ตระกูลหลัวจะมีความหมายในแง่เกลียดชังมากกว่าบุญคุณ แต่ความเมตตาก็ไม่สามารถหักล้างได้ ผู้บริสุทธิ์ควรได้รับการช่วยเหลือ
แน่นอนว่านี่เป็การแข่งขันทักษะการแพทย์ระหว่างเหอตังกุยและเหล่าไท่เหยียหลัวม่ายทง ท้ายที่สุดแล้วใครจะเป็ “ปรมาจารย์ด้านการแพทย์อันดับหนึ่ง” คำตอบสามารถบอกได้จากร่างกายของคุณชายจูในไม่ช้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้