เขาดิ้นไปมาอย่างบ้าคลั่ง ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถสลัดพันธนาการให้หลุดได้ เสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาดังขึ้นต่อเนื่องกระทั่งเสียงของเขาเริ่มแหบพร่า ในที่สุดก็เหลือเพียงเสียงร่ำไห้คร่ำครวญอย่างน่าอดสูเท่านั้น “เมียจ๋า เมียจ๋า... ฉันมันผิดต่อเธอ... ฮือ... เมียจ๋า เธอตายอย่างน่าอนาถ... อ๊าก...”
อาหย่งเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของเจิ้งอู่ แล้วอุดปากที่กำลังส่งเสียงคร่ำครวญของเขาด้วยถุงเท้าเหม็นโฉ่จนเหลือเพียงเสียงครางเบาๆ ด้วยความเ็ป ใบหน้าที่สกปรกของเขาถูกฉาบย้อมไปด้วยหยาดน้ำตา
“เจิ้งอู่” เสียงของชย่าลิ่วอียังคงดังลอดออกมาจากโทรศัพท์มือถือ “ฉันเห็นลูกสาวของนายร่าเริงน่ารัก น่าจะชอบเทศกาลสนุกๆ เหมือนกัน ก็ขึ้นอยู่กับว่าพ่อของเธออยากจะให้เธอได้ฉลองด้วยหรือเปล่า?”
เจิ้งอู่คำรามในลำคอเหมือนคนเสียสติพลางขยับศีรษะเหวี่ยงไปมาอย่างบ้าคลั่ง ทันทีที่อาหย่งดึงถุงเท้าออก เขาก็เริ่มคร่ำครวญขอความเมตตาอีกครั้ง “ผมจะพูด! ผมจะพูดทุกอย่าง! ได้โปรดอย่าทำอะไรลูกสาวผม! ขอร้องล่ะ!”
ชย่าลิ่วอีส่งเสียงฮึดฮัดอย่างเ็า “งั้นก็สารภาพซะดีๆ! อาหย่ง พามันมานี่!”
“ครับ?” อาหย่งลังเลเล็กน้อยแล้วพูดว่า “มันสกปรกเกินไปหรือเปล่าครับ ลูกพี่?” จะเอาร่างที่เต็มไปด้วยเืนี่ไปที่สำนักงานจริงๆ หรือ?
“บอกให้พาไอ้เด็กนั่นมานี่เดี๋ยวนี้!” ชย่าลิ่วอีพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
ดังนั้นภายในเวลาอันสั้น เหอชูซานที่เพิ่งได้เห็นการทรมานจนหน้าขาวซีดก็ถูกอาหย่งและอาเปียวพยุงกลับไปที่สำนักงานโดยมีพวกเขายืนขนาบซ้ายขวาคอยประคองไม่ให้ทรุด
ฤดูร้อนนี้ร้อนระอุนัก ทว่าภายในห้องทำงานกลับเปิดเครื่องปรับอากาศจนเย็นฉ่ำ กลิ่นหอมจางๆ ของน้ำหอมลอยฟุ้งทำให้บรรยากาศภายในห้องสดชื่น โต๊ะทำงานดูเรียบร้อยสะอาดตา หน้าต่างบานใหญ่สามารถมองผ่านออกไปเห็นทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอ่าวที่มีการประดับแสงไฟระยิบระยับราวกับอัญมณี เมื่อเทียบกับห้องใต้ดินที่มืดสลัวและมีแต่กลิ่นเหม็นอับแล้ว ที่นี่เปรียบเสมือน์ ส่วนที่นั่นก็คงไม่ต่างจากขุมนรก ต่างกันราวฟ้ากับเหว
ชย่าลิ่วอียังคงอยู่ในท่าทางสบายๆ เหมือนเดิม เขาพิงพนักเก้าอี้พลางสูบบุหรี่ “ดูพอหรือยัง?”
เหอชูซานก้มหน้าลง ดูเหมือนใมาก “อืม”
“รู้แล้วใช่ไหมว่าฉันเป็ใคร?”
“อืม”
“รู้แล้วยังไงต่อ?”
เหอชูซานตัวสั่นเทาด้วยความกลัว เขาอ้อนวอนเสียงเบา “ผมผิดไปแล้วครับพี่ลิ่วอี ครั้งหน้าผมจะไม่ทำให้พี่โกรธอีก ขอให้พี่ให้อภัยให้ผมด้วยครับ แล้วก็อย่าทำอะไรพ่อผมเลย ท่านแก่แล้ว ไม่ไหวกับเื่แบบนี้หรอก”
“ฮึ่ม!” ชย่าลิ่วอีแค่นเสียงในลำคอ “แกมันก็แค่เศษสวะ! ฉันไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับแกหรอก! ไสหัวไปให้ไกลๆ อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก!”
เหอชูซานหันหลังกลับแล้ว ‘ไสหัวไป’ อย่างเชื่องช้า เขาก้าวขาสองสามก้าว ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงหันกลับมาบอกว่า “พี่ลิ่วอี หนิวจ๋าเย็นชืดหมดแล้ว บอกให้เลขาอุ่นให้ก่อนกินนะ อย่าเพิ่งกินตอนนี้ เดี๋ยวจะท้องเสียเอา”
“…”
ชย่าลิ่วอีกลั้นอารมณ์ไว้ครู่หนึ่ง เขามองเหอชูซานสะพายกระเป๋าใบเล็กค่อยๆ เดินเชื่องช้าเหมือนเต่าไปยังประตู ในที่สุดก็ทนไม่ไหว “หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ”
เหอชูซานหันหลังกลับทันที
“นายรู้ไหมว่าข้างในกระสอบนั่นเป็หมูที่ตายแล้ว?”
เหอชูซานเลิกทำหน้าใเกินเหตุแล้วพยักหน้าอย่างว่าง่าย “ครับ เจ๊อ้วนเองก็ขายตับหมูและไส้หมูทอดด้วย”
ทุกเช้าตรู่ เจ๊อ้วนและสามีของเธอจะเข็นรถเข็นเล็กๆ เพื่อขนวัตถุดิบอาหารจากร้านขายส่งไปยังร้านของเธอ ทุกครั้งที่พบเหอชูซานที่ออกมาฝึกไทเก๊กในตอนเช้า พวกเขาจะทักทายเหอชูซานด้วยความกระตือรือร้นพร้อมกับอวัยวะหมูที่เปื้อนเืในรถเข็นนั้น
เจิ้งอู่ถูกตีจนแทบหมดสติ จึงทำให้เขามองผิดพลาดคิดว่าหมูที่ตายนั่นคือภรรยาของเขา ส่วนเหอชูซานเมื่อเห็นกระสอบถูกฉีกออกและได้กลิ่นที่ไม่ดีก็รู้สึกไม่ชอบมาพากล เมื่อเพ่งมองอีกครั้งเขาก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปาก ซ้ำร้ายยังต้องพยายามกลั้นขำอย่างสุดชีวิตอีกด้วย
เขารู้จักนิสัยใจคอของชย่าลิ่วอีดี แม้จะดูหยาบคายและป่าเถื่อน แต่ก็ยังรักษาคุณธรรมแบบนักเลง ไม่น่าจะทำร้ายผู้หญิงและเด็กได้ลงคอหรอก
“...” ชย่าลิ่วอี
ชย่าลิ่วอีมองหน้าพระเอกรางวัลตุ๊กตาทองคนนี้พลางสูบบุหรี่ เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ไสหัวไป”
เหอชูซานได้แต่หันหลังเดิน ‘ไสหัวไป’ ต่อ ประตูถูกเปิดออกแล้วแต่เขาก็ยังไม่ลืมหันกลับมาถามว่า “แล้วพี่ลิ่วอีตกลงจะไปดูหนังกับผมไหมครับ?”
“ไสหัวไป——!”
ชย่าลิ่วอีโมโหอยู่พักใหญ่ ถึงกับต้องเตะโต๊ะหลายครั้งกว่าจะรู้สึกหายใจคล่องขึ้นมาบ้าง ความอยากบีบคอเหอชูซานให้ตายไปเสียค่อยๆ จางหายไปหลังได้ระบายโทสะใส่สิ่งของ จากนั้นเขาก็เดินหน้าบึ้งตึงออกจากห้องไปยังลิฟต์
เมื่อเดินเข้าไปในห้องใต้ดิน เขาก็สวมภาพลักษณ์ของหัวหน้าผู้เ็าและไม่แยแสสิ่งใดอีกครั้ง เขาเคาะเถ้าบุหรี่ใส่เจิ้งอู่ที่นอนสั่นเทิ้มอยู่บนพื้น แล้วถามอาหย่งว่า “มันบอกอะไรบ้าง?”
อาหย่งมีสีหน้าเคร่งเครียดแล้วเข้าไปกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับชย่าลิ่วอี ทันใดนั้นใบหน้าของชย่าลิ่วอีก็ถอดสี เขาโน้มตัวลงไปกระชากผมของเจิ้งอู่ขึ้นมา “แกพูดว่าอะไรนะ?! ก่อนที่ชิงหลงจะตาย เฝยชีไปหาสวี่อิงงั้นเหรอ?! พวกเขาคุยอะไรกันบ้าง?!”
“ผมไม่รู้! ผมไม่รู้จริงๆ! พวกเขาปิดประตูคุยกัน ไม่มีใครเข้าไปได้…”
ชย่าลิ่วอีเหวี่ยงเขาออกไปอย่างแรง ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นสุดขีด
ทุกๆ บ่ายวันเสาร์มักจะเป็่เวลาที่เหอชูซานยุ่งที่สุด เวลานี้ร้านน้ำแข็งไสอาหัวมักมีลูกค้าแน่นขนัด คนที่้าทานข้าวหมูแดงราดซอสสูตรเด็ดต้องต่อคิวกันยาวเหยียดออกไปถึงสองตรอก และเพื่อบริการคนจำนวนมากให้ ทันเหอชูซานจึงต้องใช้ทั้งสองมือและหนึ่งศีรษะยกถาดอาหารสามใบ แล้วหมุนไปหมุนมาเหมือนลูกข่างในเขาวงกตของโต๊ะอาหารที่แออัด
อย่างไรก็ตาม วันนี้เขาได้ขอลุงอาหัวหยุดงานเป็ครั้งแรก ท่ามกลางเสียงด่าทอของลุงอาหัวที่ยุ่งเหยิงจนเหมือนหมาแก่ เขากอดกระเป๋านักเรียนใบเล็กฝ่าฟันออกจากสถานการณ์นั้นด้วยการวิ่งหนีออกจากประตูร้านไปโดยมีเพื่อนบ้านที่เข้าแถวซื้ออาหารมองดูเขาไปตลอดทางจนกระทั่งเขาวิ่งมาถึงนอกเขตเมืองกำแพง
“ไอ้เด็กี้เี!” ลุงอาหัวด่าขณะหั่นหมูย่างไปด้วย “มัวแต่ไปหลงผู้หญิง ไม่ทำงานเลย!”
ป้าอาหัวได้ยินจึงขว้างผ้าขี้ริ้วไปทางเขา “ตอนที่แกตามจีบฉันเมื่อก่อน แกทำงานทำการอะไรบ้างไหม? ไม่ใช่ว่าโดนพ่อไล่ตีหรอกหรือ!”
“ถ้าฉันรู้ว่าอีกยี่สิบปีข้างหน้าหน้าตาเธอจะเป็แบบนี้ ต่อให้ยกให้ฉันฟรีก็ไม่เอา!” ลุงอาหัวพูดอย่างเศร้าโศกพลางหยิบผ้าขี้ริ้วมาพาดบ่า
“ฮึ! แกคิดว่าฉันจะสนใจแกหรือ? ดูตัวเองให้ดีหน่อย! นิสัยห่วยแตกของแกน่ะ!” ป้าอาหัวพูดพลางสะบัดสะโพกใหญ่ไปมาอย่างหยิ่งผยองแล้วรับหน้าที่เสิร์ฟอาหารแทนเหอชูซาน
เหอชูซานถูกพ่อและนายจ้างมองว่าเป็หนุ่มเ้าสำราญอย่างไม่เป็ธรรม เขาไม่ได้แม้แต่จะกินข้าวเย็นเสียด้วยซ้ำ—— ส่วนใหญ่ก็เพื่อประหยัดเงิน—— พกตั๋วใบเดียวแล้วเดินทางไกลไปยังศูนย์วัฒนธรรมที่เจียนซาจวี่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งนี้เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อปีที่แล้ว เ้าฟ้าชายชาร์ลส์และเ้าหญิงไดอาน่าเสด็จมาทำพิธีเปิดสถานที่แห่งด้วยด้วยพระองค์เอง ตัวอาคารสีเงินโค้งเป็รูปปีกนกตั้งตระหง่านริมทะเล สง่างามและโอ่อ่าอย่างแท้จริง
ผู้คนที่เข้าออกสถานที่แห่งนี้ส่วนใหญ่เป็บุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคม ไม่ว่าจะเป็นักธุรกิจผู้มีรสนิยม พนักงานออฟฟิศชั้นยอดในชุดสูทสุดเนี้ยบ หรือปัญญาชนผู้มีชื่อเสียงในแวดวงวัฒนธรรม ทุกคนต่างแต่งตัวหรูหราดูดีมีระดับ ท่ามกลางผู้คนเหล่านี้ เหอชูซานกลับอยู่ในชุดเสื้อผ้าเก่าๆ สะพายกระเป๋าเป้เล็กๆ ดูแตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง และด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งของเขา ทำให้เขาดูโดดเด่นเป็พิเศษท่ามกลางฝูงชนที่แต่งตัวดี
เขายืนตัวตรงบริเวณทางเข้า มือถือหนังสือเล่มหนึ่งไว้ แต่ด้วยความกังวลว่าจะคลาดกับชย่าลิ่วอีหากก้มอ่านหนังสือ เขาจึงไม่ได้เปิดอ่าน เพียงแค่ใช้สายตาจับจ้องผู้คนที่เดินเข้ามาเท่านั้น
ภาพยนตร์เริ่มฉายตอนหนึ่งทุ่มตรง ตอนนี้เป็เวลาหกโมงสี่สิบห้านาทีแล้ว ในฝูงชนที่พลุกพล่านมีเพื่อนนักศึกษาที่เป็สภานักเรียนหลายคนเดินผ่านมาและทักทายเขา “อาสาม? นายก็มาดู 《The Godfather》หรือ? หนังใกล้จะเริ่มแล้ว เข้าไปด้วยกันเถอะ”
เหอชูซานส่ายหัว “ฉันรอคนอยู่”
เขาตั้งหน้าตั้งตารอั้แ่หกโมงสี่สิบห้านาทีจนถึงหนึ่งทุ่ม จากหนึ่งทุ่มถึงหนึ่งทุ่มสิบห้านาที แล้วก็... เอาเถอะ ตอนนี้เป็เวลาหนึ่งทุ่มสี่สิบห้านาทีแล้ว เขาแทบหมดหวังว่าชย่าลิ่วอีจะปรากฏตัวแล้ว เขาจึงนั่งยองๆ ลงกับพื้น วางกระเป๋าเป้ใบเล็กไว้บนตัก จากนั้นก็อาศัยแสงไฟจากทางเข้าในการก้มหน้าอ่านหนังสือ
เขาใช้สายตาไล่อ่านตัวอักษรภาษาอังกฤษไปทีละบรรทัดอย่างไม่มีสมาธิเท่าไรนัก ในหัวคิดอย่างรวดเร็วว่าทำไมชย่าลิ่วอีถึงไม่มา?
—— หรือจะโกรธจนไม่อยากเกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้ว? ถ้าเป็แบบนั้น ทำไมถึงต้องให้เขาไปดูการทรมานเพื่อข่มขู่และแกล้งเขาด้วยล่ะ ควรทุบตีเพื่อไล่เขาไปเลยเสียยังดีกว่า
—— หรือเป็การตั้งใจปล่อยให้ผิดหวังเพื่อเล่นตลกกับเขา ให้เขาได้ลิ้มรสความทุกข์บ้าง ถ้าแบบนั้นเขาก็ได้แต่ยอมรับ ใครบอกให้เขาไปทำให้ชย่าลิ่วอีโมโหขนาดนั้นกัน ปล่อยชย่าลิ่วอีทำสิ่งที่เขา้าไปเถอะ เผื่อความโกรธจะบรรเทาลงแม้สักเสี้ยวก็ยังดี