ในที่สุดเื่การเช่าห้องก็เป็ไปในทิศทางที่หมี่หลันเยว่คาดการณ์ไว้ หลังจากที่หมี่หลันเยว่ตกแต่งตู้แสดงสินค้าเสร็จ ด้านซ้ายมือถึงเพิ่งปล่อยเช่าไปได้แค่สิบห้องแถวเท่านั้น แต่เมื่อหมี่หลันเยว่จัดการห้าห้องแถวที่ติดกันของตัวเองจนเข้าที่เข้าทาง ด้านซ้ายมือก็ถูกปล่อยเช่าไปได้ยี่สิบห้อง ในขณะที่ยังเหลืออีกสิบกว่าห้องที่ยังไม่มีใครมาเช่า
ดังนั้น ตอนที่หวังเ้าชิ่งมาหาหมี่หลันเยว่นั้น หมี่หลันเยว่ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรเลย เพราะทั้งหมดนี้เธอได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว การรับมือจึงไม่ได้ยากเย็นอะไร หวังเ้าชิ่งก็ไม่ได้มาพูดจาอ้อมค้อมกับหมี่หลันเยว่ และเข้าเื่อย่างรวดเร็ว
"หลันเยว่ ดูสิ ด้านซ้ายยังเหลืออีกสิบกว่าห้อง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครมาเช่า ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ ร้านของเธอเองก็จะเปิดไม่ได้เหมือนกัน เื่ของเราสองคนก็จะพลอยเสียไปด้วย ดังนั้น เธอต้องช่วยลุงคิดหาทางออกอีกหน่อยนะ ว่ามีวิธีอะไรที่จะทำให้เื่นี้มันคืบหน้าไปได้เร็วกว่านี้"
หวังเ้าชิ่งรู้ดีว่า ถ้าไม่ได้วิธีที่หมี่หลันเยว่เคยแนะนำไปก่อนหน้านี้ การที่ด้านซ้ายมือจะปล่อยเช่าไปได้ถึงยี่สิบห้องอย่างรวดเร็วนั้นเป็เื่ที่เพ้อฝัน แต่เื่มันกลับมาติดอยู่ตรงนี้จริงๆ หลังจากที่ปล่อยเช่าห้องแถวพวกนี้ไปแล้ว ก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ เลยมาห้าหกวันแล้ว ทำให้เขาร้อนใจเป็อย่างมาก
เบื้องบนยังคงรอผลลัพธ์อยู่ แต่ทางฝั่งเขากลับไม่มีอะไรขยับเขยื้อนเลย มันใช้ไม่ได้ เื่ที่บริษัทเสื้อผ้าให้ความสำคัญนี้ ทำให้ฮือฮาไปทั่วทั้งเมือง ชาวเมืองค่อนข้างมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการล้มละลายของรัฐวิสาหกิจ จำเป็ต้องทำให้เื่การเช่า่นี้เป็รูปธรรมโดยเร็ว ก็เพื่อจะให้ประชาชนรู้ว่า รัฐบาลมีวิธีที่จะรักษาสมดุลทางเศรษฐกิจได้
ดังนั้น เื่นี้อนุญาตให้สำเร็จได้อย่างเดียว ห้ามล้มเหลว ตอนที่ยังไม่มีหมี่หลันเยว่เข้ามาเกี่ยวข้อง หวังเ้าชิ่งก็คิดอยู่จริงๆ ว่าจะปล่อยเช่าแค่ครึ่งเดียวแล้วเปิดแค่ครึ่งเดียว ส่วนครึ่งหลังก็จะปิดไว้ก่อน ปล่อยเช่าไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่ที่ปล่อยเช่าได้หมดแล้ว ค่อยเปิดครึ่งหลัง
แต่ตอนนี้ความจริงมันชัดแล้วว่า หมี่หลันเยว่ช่วยเขาได้ เพียงแค่คิดหาวิธีปล่อยเช่าห้องแถวที่เหลืออีกสิบกว่าห้อง งานของเขาก็จะสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และสามารถรายงานต่อเบื้องบนได้อย่างสมเหตุสมผล การรวมร้านค้าครึ่งหนึ่งกับการปล่อยเช่าทั้งหมด ผลลัพธ์ที่ได้นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
"คงเป็เพราะผู้เช่าร้านค้าเห็นว่าถึงแม้ครึ่งหนึ่งนี้จะถูกกั้นไว้ แต่คนที่เริ่มลงมือกลับมีแค่ห้าห้องแถวของหนู พวกเขาคงจะเดาออกถึงวิธีการที่เราใช้แล้ว เื่นี้ค่อนข้างจะจัดการยากจริงๆ ค่ะ"
หมี่หลันเยว่ พูดด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่ใส่ใจ ทั้งๆ ที่เป็เื่ที่น่าร้อนใจ
"ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่เวลามันกระชั้นชิดมาก แต่สำนักงานของเราก็รอไม่ได้แล้ว สหายหลันเยว่ ลองดูสิว่ามีวิธีอะไรที่จะทำให้การเช่าราบรื่นกว่านี้"
หวังเ้าชิ่ง ไม่ได้ปิดบังความร้อนใจของตนเอง เขารู้ว่าถึงแม้ หมี่หลันเยว่อายุยังน้อย แต่ก็มีความคิดที่เป็ผู้ใหญ่ การพูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา ย่อมดีกว่าการมาเล่นลิ้นไร้สาระกับเธอ
"ในเมื่อลุงหวังเชื่อใจหนูขนาดนี้ งั้นหนูจะช่วยลุงหวังอีกแรงค่ะ แต่การช่วยครั้งนี้ไม่ใช่เื่ง่าย หนูอาจจะต้องลงทุนลงแรงมากกว่าเดิมหน่อย ในฐานะนักธุรกิจ ลุงหวังต้องอำนวยความสะดวกให้หนูอย่างเพียงพอนะคะ หนูยินดีที่จะทำเพื่อคุณลุงและสำนักงานอีกหลายๆ เื่เลยค่ะ"
"ว่ามาสิๆ"
หวังเ้าชิ่งเร่งให้หมี่หลันเยว่บอกความคิดของเธอออกมา ไม่ว่าหมี่หลันเยว่จะเสนอวิธีอะไร เขาก็จะหาทางให้ความร่วมมือ ตราบใดที่สามารถปล่อยเช่าร้านค้าได้ทั้งหมด นั่นก็ถือว่าประสบความสำเร็จมากกว่าการปล่อยให้ห้องว่างครึ่งหนึ่ง
"คืออย่างนี้ค่ะ ลุงหวัง ในเมื่อพวกเขาคิดว่าการที่ตรงนี้ยังปล่อยเช่าไม่ได้ เป็การหลอกลวงพวกเขา พวกเขาก็กำลังจับตาดูอยู่ ดังนั้น ก็แค่ทำให้พวกเขาเห็นว่าเราได้ปล่อยเช่าครึ่งนี้ไปแล้วจริงๆ เราไม่ได้หลอกพวกเขา อย่างนี้ก็ไม่ดีเหรอคะ"
หวังเ้าชิ่ง ก็เข้าใจความหมายของ หมี่หลันเยว่แล้ว เธอ้าที่จะลงมือปรับปรุงครึ่งหนึ่งที่เธอจองไว้ล่วงหน้าออกมา นี่เป็เื่ที่ดีอย่างแน่นอน แต่สำหรับหมี่หลันเยว่แล้ว มันคือการเสียเปรียบ
"เธอพูดแบบนี้ออกมาได้ ลุงดีใจมากแล้ว ลุงต้องขอบคุณเธอที่สนับสนุนการทำงานของเราก่อนนะ"
"ที่ไหนกันคะ ที่ไหนกัน ลุงอย่าพูดอย่างนั้นเลยค่ะ"
หมี่หลันเยว่โบกมือ แสดงความถ่อมตัวกับหวังเ้าชิ่ง เดิมทีเธอตั้งใจจะรอให้หวังเ้าชิ่งเสนอให้เธอเช่าร้านก่อน แล้วค่อยเจรจาต่อรองกับเขา แต่ต่อมาเธอเปลี่ยนใจ คิดว่าการที่เธอเสนอตัวออกไปก่อน จะทำให้เธอได้เปรียบมากกว่า
"ในเมื่อหนูจะปรับปรุงครึ่งนี้ออกมาแล้ว ก็ต้องไม่ปรับปรุงเสร็จแล้วไม่ใช้งานสิคะ เงินของหนูก็จะเท่ากับสูญเปล่า ดังนั้น ก็ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากลุงแล้วค่ะ ลองดูสิคะว่าจะให้สิทธิพิเศษอะไรกับพวกเราได้บ้าง ให้เราเปลี่ยนสัญญาจองเป็สัญญาเช่า แต่ลุงต้องให้ราคาดีๆ หน่อยนะคะ หนูไม่มีเงินในมือมากขนาดนั้นหรอกค่ะ"
"ลุงลองคิดดูสิคะ การตกแต่งร้านอาจจะไม่ต้องใช้เงินมากเท่าไหร่ แต่การลงสินค้าต้องใช้เงินทุนสนับสนุนจำนวนมหาศาลเลยค่ะ หนูจะปล่อยให้ร้านพวกนี้ว่างเปล่าหลังจากตกแต่งเสร็จแล้วไม่ได้เหมือนกัน มันจะแตกต่างอะไรกับการที่ลุงปล่อยให้ห้างสรรพสินค้าว่างเปล่าไปครึ่งหนึ่งล่ะคะ มันก็จะส่งผลกระทบต่อความนิยมของร้านค้าเหมือนกัน"
หวังเ้าชิ่งไม่คิดว่าเด็กสาวคนนี้จะเดาออกถึงความคิดที่ทางฝั่งเขาอยากจะปล่อยให้ห้างสรรพสินค้าว่างเปล่าไปครึ่งหนึ่งได้ ในตอนนี้ ตัวเขาเองก็ไม่มีไพ่ในมืออะไรเหลือแล้ว ถ้าให้หมี่หลันเยว่เช่าร้านไป อย่างน้อยก็จะได้เงินกลับมาบ้าง ไม่ว่าจะดูแลเธอมากแค่ไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีรายได้เลย
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ร้านค้าทุกร้านเต็มไปด้วยผู้คน กับการเช่าแค่ครึ่งเดียว อย่างไหนจะทำให้คึกคักกว่ากัน มันเป็สิ่งที่ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้น ไม่ว่ายังไงก็ต้องยอมลดราวาศอก เด็กสาวคนนี้กำลังอยากจะช่วยเขา เขาที่เป็ผู้ใหญ่ ก็อย่าทำอะไรที่มันเกินไปเลย
หวังเ้าชิ่ง ที่ก่อนหน้านี้ตั้งใจไว้ว่า ถ้าเจรจาไม่สำเร็จ ก็จะเช่าแค่ครึ่งเดียว ตอนนี้ได้รับการหยิบยื่นความหวังดีจากหมี่หลันเยว่ แน่นอนว่าจะไม่พลาดโอกาสนี้ไป รีบแสดงความจริงใจของตนเองออกมา
"หลันเยว่ ในเมื่อเธอช่วยขนาดนี้แล้ว ลุงจะทำให้เธอพอใจอย่างแน่นอน"
"อย่างนี้ดีไหม ร้านที่จองไว้ทั้งหมดมียี่สิบสี่ห้อง ด้านข้างสิบสองห้อง ด้านตรงข้ามห้าห้อง ส่วนตรงกลาง หลังจากเว้นทางเดินแล้ว จะเหลือห้องแถวอีกเจ็ดห้อง ลุงก็รู้ว่าห้องแถวพวกนี้มันเยอะเกินไปสำหรับเธอจริงๆ ไม่ใช่แค่สำหรับเธอ สำหรับใครก็เป็ภาระที่ใหญ่หลวง"
"ดังนั้น ลุงตัดสินใจว่าให้เช่าครึ่งหนึ่ง แถมครึ่งหนึ่งดีไหม เธอว่าอย่างนี้ตกลงไหม ลุงจะลดค่าเช่าให้เธอครึ่งหนึ่ง เธอจะได้เช่าร้านพวกนี้ไปให้หมด ภาระของเธอจะได้น้อยลง ลุงเองก็ถือว่าทำงานสำเร็จแล้ว เธอว่าไง"
ที่จริง หวังเ้าชิ่งก็ยังค่อนข้างกังวลอยู่ เพราะนี่มันคือห้องแถวยี่สิบสี่ห้อง แถมเมื่อรวมกับห้าห้องที่หมี่หลันเยว่ เคยวางมัดจำไว้ ก็เท่ากับครึ่งหนึ่งของห้างสรรพสินค้าของรัฐวิสาหกิจเดิม มันเป็การลงทุนที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ไม่รู้ว่าเด็กสาวคนนี้จะรับมือไหวหรือเปล่า
ที่เขาคิดอย่างนี้ก็มีเหตุผล เพราะหวังเ้าชิ่งรู้จักหมี่จิ้งเฉิงมาหลายปีแล้ว ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะไม่ได้ทำงานในหน่วยงานเดียวกัน แต่ก็ถือว่าคบหากันมานาน รู้จักกันพอสมควร หมี่จิ้งเฉิงและภรรยาต่างก็เป็ข้าราชการทั้งคู่ ตามมาตรฐานชีวิตของคนทั่วไปก็ถือว่าไม่เลว แต่ถ้าจะบอกว่าเปิดร้านใหญ่ขนาดนี้ เขาเป็ห่วงจริงๆ ว่าครอบครัวของพวกเขาจะไหวหรือเปล่า
แต่เหตุผลที่หวังเ้าชิ่งมีความคิดนี้แล้วมาปรึกษากับหมี่หลันเยว่ ก็เพราะว่าเขาพบว่า หมี่จิ้งเฉิงไม่ได้เป็คนตัดสินใจเื่การเช่าร้านเลย การตัดสินใจทั้งหมดมาจากลูกสาวสุดที่รักของเขา นั่นหมายความว่าเงินทุนของ หมี่หลันเยว่ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับครอบครัวของพวกเขาเลยหรือเปล่า
ส่วนเื่ที่ว่าเงินทุนพวกนี้มาจากไหน หวังเ้าชิ่งก็ไม่ได้มีจิตใจอยากรู้อยากเห็นอะไรที่จะไปสืบเสาะ เพราะใครๆ ก็มีเื่ส่วนตัวทั้งนั้น เขาทำงานอยู่ในหน่วยงานของรัฐ รู้ดีที่สุดว่าเวลาไหนที่ไม่ควรพูด ก็ต้องปิดปากให้สนิท ตราบใดที่สามารถทำเื่ให้สำเร็จได้ เื่อื่นๆ มันสำคัญตรงไหน ยิ่งไปกว่านั้น เื่นี้มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตัวเขาเลย
"ลุงหวัง ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ ที่ลุงและสำนักงานให้สิทธิพิเศษกับหนูมากมายขนาดนี้ เื่ราคาหนูจะไม่ต่อรองอะไรกับลุงแล้ว สัญญาเช่าก็เหมือนกับห้าห้องนี้เลยค่ะ ต้องเซ็นสัญญาสามปีขึ้นไป เพราะ่เริ่มต้นมันยากลำบากกว่าหน่อย อดทนผ่าน่เริ่มต้นไปให้ได้ก็พอ ดังนั้น ถ้าเซ็นสัญญาระยะสั้น หนูจะไม่มีอะไรได้เปรียบเลยค่ะ"
หมี่หลันเยว่พูดอย่างตรงไปตรงมา และตัวเธอเองก็มีความมั่นใจว่าที่นี่จะเป็ที่นิยมแน่นอน แต่หวังเ้าชิ่งกลับรู้สึกกระวนกระวายใจ เพราะเขาไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วห้างสรรพสินค้าแห่งนี้จะทำได้หรือไม่ ต้องรู้ว่าเดิมทีที่นี่เป็ของรัฐ ผลสุดท้ายคือถูกยุบไปอย่างน่าอนาถ
ดังนั้น เขาอยากจะเซ็นสัญญาระยะยาวมากกว่า อย่างน้อยภายในสามปี เขาจะได้ไม่ต้องกังวลเื่ร้านค้าแห่งนี้ ส่วนหลังจากสามปีไปแล้ว ใครจะรู้ว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง ตอนนี้หนึ่งปีก็มีนโยบายหนึ่งนโยบายแล้วสามปีก็ไม่ใช่เวลาที่สั้นๆ อีกต่อไป ทุกอย่างค่อยว่ากันตอนนั้น
"ได้ ลุงตกลงกับเธอ เราจะเซ็นสัญญาสามปี"
หมี่หลันเยว่ ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว หวังเ้าชิ่งก็ไม่ได้ลังเล เพราะถ้าเด็กสาวคนนี้ยังต่อรองกับเขาอีก เขาก็คงต้องยอมอยู่ดี
"งั้นตกลงตามนี้นะคะ ลุงหวัง หนูจะไปเซ็นสัญญากับลุงเดี๋ยวนี้เลยค่ะ อ้อ เซ็นสัญญาก็ส่วนเซ็นสัญญา แต่เราต้องเพิ่มข้อความเข้าไปในสัญญาด้วยว่า หลังจากหมดสัญญาเช่าแล้ว ถ้าห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ยังคง้าปล่อยเช่า่ต่อ หนูมีสิทธิ์ในการเช่าก่อนคนอื่น ไม่อย่างนั้น ถ้าหนูต้องเคลียร์สินค้าจำนวนมากขนาดนี้ หนูคงรับไม่ไหวค่ะ"
เด็กสาวคนนี้คิดรอบคอบดีจริงๆ แต่หวังเ้าชิ่งก็ไม่มีอะไรที่จะไม่ตกลง หมี่หลันเยว่ยื่นมือไปทางพี่ชายของเธอ ทำสัญลักษณ์โอเคเรียบร้อยแล้ว ทั้งๆ ที่คนที่อยู่ไกลๆ มองมา ไม่ได้เดินเข้ามาใกล้ สามคนนั้นก็เชื่อมั่นในความสามารถของหมี่หลันเยว่เป็อย่างมาก แต่ก็อดที่จะเป็ห่วงไม่ได้ จนกระทั่งเห็นสัญลักษณ์ที่เธอมอบให้ สามคนนั้นถึงได้แอบกำหมัดแน่น
"ลุงหวัง พูดตามตรงว่าพื้นที่ร้านค้าของหนูครึ่งหนึ่งนี้ มันใหญ่เกินไปจริงๆ หนูรู้สึกกดดันไม่น้อยเลยค่ะ"
หมี่หลันเยว่เดินตามหวังเ้าชิ่งออกจากร้านค้า แต่พอออกมาจากประตูร้านค้า เธอก็หยุดเท้า
"เื่นี้ลุงรู้ แต่ลุงจะพยายามให้ความคุ้มครองและสิทธิพิเศษกับเธอให้มากที่สุด เธอมั่นใจได้ ในสามปีนี้ ตราบใดที่มีนโยบายพิเศษ ลุงจะดูแลเธอเป็คนแรกอย่างแน่นอน"
หวังเ้าชิ่งนึกว่าเด็กสาวคนนี้จะกลับคำพูดเสียแล้ว เหงื่อเย็นๆ ก็ผุดขึ้นมาที่หลังของเขาทันที
"ลุงคะ ใต้ขอบหน้าต่างของชั้นสอง ต้องติดป้ายชื่อร้านค้าของเราใหม่แน่นอน งั้นสู้ให้ที่ว่างระหว่างชั้นสองและสามกับหนูเถอะค่ะ หนูจะติดป้ายยี่ห้อของหนูเอง มันจะได้ดูเด่นขึ้นมาหน่อย เผื่อจะช่วยเรียกความนิยมให้หนูได้บ้าง เฮ้อ ไม่รู้ว่าติดป้ายแบบนี้ มันจะช่วยอะไรได้หรือเปล่า"
หมี่หลันเยว่ พูดไปก็ถอนหายใจไป ราวกับว่าการติดป้ายหรือไม่ติดป้ายนั้น ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก แต่เธอก็ต้องพยายามทำให้ดีที่สุด อย่าให้ร้านของเธอมีมูลค่าสูงเกินจริง หวังเ้าชิ่ง มองการแสดงออกของเด็กสาวคนนี้ จะมีอะไรที่ไม่ตกลงได้ยังไง มันก็แค่กำแพงที่ว่างเปล่า ตอนที่รัฐบาลบริหาร มันก็ว่างเปล่า ไม่เห็นว่าจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อ หมี่หลันเยว่ อยากได้ ก็ให้เธอใช้ไปก็แล้วกัน
"ได้สิ ลุงไม่ได้บอกไปแล้วเหรอว่าจะให้การสนับสนุนและความช่วยเหลือเธออย่างเต็มที่ ดังนั้น ผนังตรงนั้นเธอเอาไปใช้ได้เลย แต่ต้องระมัดระวังเื่ความปลอดภัยด้วยนะ ต้องทำให้มั่นคง อย่าให้ใครได้รับาเ็"
หวังเ้าชิ่งจะรู้ได้ยังไงว่าป้ายโฆษณามีประโยชน์ ตอนนี้ยังไม่นิยมเื่นี้ ในใจหมี่หลันเยว่กลับเบิกบานเป็พิเศษ
