สวีอี่ซินเอ่ย “กลัวอะไรกัน? พี่ฉินคือเทพคุ้มครองของข้านี่นา”
เจียงเฉิงเยว่ “...”
สวีอี่ซิน “พี่ฉิน เช่นนั้นท่าน...เป็เทพเซียนใช่หรือไม่? หรือว่า...”
เจียงเฉิงเยว่ครุ่นคิดเป็เวลานานจึงตัดสินใจบอกความจริง “ข้าเป็ผี”
เด็กหญิงที่กำลังบอกว่าไม่กลัวยังคงหดคอโดยไม่รู้ตัว นางนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง จากนั้นเงยหน้าขึ้น รวบรวมความกล้ามองเจียงเฉิงเยว่อีกครั้ง “เช่นนั้นทำไมพี่ฉิน...ต้องปกป้องข้า?”
เจียงเฉิงเยว่ตอบกลับ “อดีตชาติของเ้ามีวาสนากับข้า นับว่าข้ามาตอบแทนบุญคุณแล้วกัน”
สวีอี่ซินเบิกตากว้างด้วยตื่นเต้น “จริงหรือ? เช่นนั้นพี่ฉิน...ท่านจะปกป้องข้าตลอดไปหรือ?”
เจียงเฉิงเยว่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
สวีอี่ซินถาม “พี่ฉิน ชาติที่แล้วข้าเป็คนเช่นไร?”
“เป็หญิงสาวผู้หนึ่งที่อ่อนโยนและใจดี”
สวีอี่ซินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “งดงามหรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพยักหน้าอย่างขบขัน “อืม”
ดวงตาทั้งสองของสวีอี่ซินเป็ประกาย “จริงหรือ? เช่นนั้น...เมื่อก่อนหรือตอนนี้งดงาม?”
เจียงเฉิงเยว่วางมือบนศีรษะของนาง เอ่ยอย่างแปลกใจเล็กน้อย “สมองเล็กๆ ของเ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
สวีอี่ซินบอกด้วยรอยยิ้มเขินอาย “พี่ฉิน เช่นนั้นหลังจากนี้ท่าน...มาเจอข้าทุกๆ สองสามเดือนได้หรือไม่?”
เจียงเฉิงเยว่กลัวว่านางจะล้อเล่นกับเขาด้วยการจงใจตกอยู่ในอันตรายเพื่อบังคับให้ตนเองออกมาอีก จึงทำได้เพียงพยักหน้าแล้วบอก “ตกลง”
.............................
ห้าปีต่อมา ฤดูหนาวในรัชศกจิ้นตี้ ปีที่สิบสี่ของซีเฉียน
ห้องใต้หลังคาในลานด้านในของจวนสกุลสวีแห่งฮุยโจวจิวฉือ สวีอี่ซินกำลังนั่งแต่งหน้าแต่เช้าตรู่ตรงหน้ากระจก ห้องอุ่นขนาดเล็กเผาด้วยถ่านกระดูกสีขาวเงิน ความอบอุ่นนั้นกลมกลืนกัน แม้แต่เกล็ดหิมะที่นอกหน้าต่างแล้วลอยเข้ามาก็ถูกละลายด้วยความอบอุ่นในทันที จึงไม่มีความหนาวเย็นแม้แต่น้อย
สวีอี่ซินนั่งตรงหน้ากระจกทองสำริด พลางอมยิ้มมองใบหน้าที่งามล้ำ นางปล่อยให้เหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังเยินยอขณะที่แต่งหน้าให้ อย่างไรก็ตาม ใบหน้าที่นุ่มนวลอ่อนเยาว์ราวกับแป้งของเด็กสาวกำลังอยู่ใน่เวลาที่สวยหยาดเยิ้มดึงดูดผู้คนมากที่สุด สาวใช้กำลังถือน้ำแป้งสีชาดที่ล้ำค่าและประณีต แต่กลับลำบากใจ ใช้เวลานานในการถือผงแป้งอย่างระมัดระวังแล้วตบแป้งบนใบหน้าของนางบางๆ ชั้นหนึ่ง กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยามนี้ทาสได้รู้ว่าความงามแบบใดที่ ‘จันทร์หลบโฉมสุดามวลผกาละอายนาง[1] ‘ น้ำแป้งสีชาดเมื่อเทียบกับคุณหนูแล้ว ล้วนแทบไร้ประโยชน์”
ห้องที่เต็มไปด้วยเด็กสาวต่างปิดปากระบายยิ้ม สวีอี่ซินมองนางราวกับเขินอาย
เหล่าสาวใช้จับผมสีดำขลับเรียบลื่นของนางแล้วหวีอย่างพิถีพิถัน ทันใดนั้นสาวใช้คนหนึ่งยกม่านเข้ามาจากนอกห้อง เดินไปยังข้างกายของสวีอี่ซิน จากนั้นคุกเข่าเล็กน้อยแล้วแจ้ง “คุณหนูรอง นายน้อยรองให้มาเชิญท่าน วันนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตามต้องไปที่ศาลาเจิงฟางให้ได้เพื่อเป็การให้เกียรติ...”
นางยังไม่ทันกล่าวจบ กลุ่มคนที่ยังคงยิ้มอยู่เมื่อครู่ต้องตกตะลึง ก่อนทยอยเก็บใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ใบหน้าที่งามล้ำของสวีอี่ซินยิ่งแดงก่ำ ดวงตาคู่งามที่ยังคงยิ้มเป็เสี้ยวอยู่เมื่อครู่พลันนิ่งค้าง คิ้วกิ่งหลิวกลับคว่ำแล้วเอ่ยอย่างเ็า “ไม่ไป!”
เห็นได้ชัดว่าสาวใช้ที่มาเชิญได้รับคำขาดว่าต้องรับเชิญให้จงได้ เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงคำนับลงบนพื้นเย็นเยียบอย่างตัวสั่นงันงก “คุณหนูรอง ท่านช่วยทาสรับใช้ด้วยเถิด นายน้อยรองกำชับว่าครั้งนี้ไม่อาจละเลยแขกผู้มีเกียรติท่านนี้ได้! คุณชายท่านนั้นเป็สหายของนายน้อยรองในโซ่วหลิง และเป็ผู้ดูแลม้าของนายน้อย แม้จะเรียกว่าเป็ ‘สหาย’ แต่นายน้อยรองกล่าวว่านายน้อยเคารพเขาเป็อย่างยิ่ง ในจดหมายที่นายน้อยรองเขียนด้วยตนเอง กล่าวอย่างชัดเจนครั้งแล้วครั้งเล่าว่าไม่อาจละเลย คนรับใช้และองครักษ์เ่าั้ที่ติดตามมาล้วนดูผิดปกติ นายน้อยรองคาดเดาว่าคนผู้นี้อาจเป็ลูกหลานขุนนางชั้นสูงในโซ่วหลิง เป็ไปได้ว่าอาจเป็ญาติขององค์จักรพรรดิ คุณชายท่านนั้นมาที่นี่เพราะเลื่อมใสในพร์ของคุณหนู คุณหนูหลีกเลี่ยงที่จะพบเช่นนี้…”
“พร์?!” สวีอี่ซินขัดจังหวะด้วยความโกรธ “เขามาที่นี่เพราะเลื่อมใสในพร์ แล้วข้าจำเป็ต้องไปพบเขาหรือ? เห็นข้าเป็อะไรกัน นางระบำในโรงมหรสพอย่างนั้นหรือ?!”
หลังทุกคนได้ยินถ้อยคำที่ไม่เข้าท่านี้จึงรีบมาปลอบโยนนาง
สวีอี่ซินเฉลียวฉลาดมาั้แ่เด็ก เชี่ยวชาญในท่วงทำนองเป็อย่างยิ่ง เมื่อเยาว์วัยบิดามารดาเคยเชิญเหยียนจื่อชี ผู้มีชื่อเสียงของที่แห่งนี้ให้เป็อาจารย์ของนาง ร่ำเรียนอยู่หลายปี จนกระทั่งอาจารย์ของนางได้รับเชิญจากวังเมื่อไม่กี่ปีก่อน จึงลาจากที่นี่ไปยังโซ่วหลิง หากกล่าวถึงอาจารย์ผู้นี้ของนาง หลังจากมาถึงโซ่วหลิงยังได้รับคำสั่งให้สอนในราชสำนักกับขุนนางชั้นสูงไม่น้อย คนผู้นี้คืออัจฉริยะที่หยิ่งยโสเป็อย่างยิ่ง ไม่ต้องกล่าวถึงความเข้มงวดและความเื่มาก ปากนั้นไม่เคยเกรงกลัวว่าจะทำให้ผู้ใดขุ่นเคือง ไม่ว่าลูกศิษย์ที่สอนจะมียศถาบรรดาศักดิ์เช่นไร หากโง่เขลาอย่างจับใจความไม่ได้ล้วนเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกเขาด่าเปิดเปิง
วันหนึ่งที่งานเลี้ยงวันเกิดในวังตะวันออก มีการรวมตัวกันของผู้มีอำนาจสูงส่งในโซ่วหลิง อาจารย์ของนางได้รับเชิญเช่นกัน ทักษะการบรรเลงเพลงหนึ่งทำให้ตกตะลึงกันไปทั่วทั้งสารทิศ เมื่อบรรเลงจบจึงมีคนถามเขาด้วยรอยยิ้ม “ทักษะการเล่นพิณของผู้เฒ่าเหยียน เกรงว่าทั่วหล้าคงยากที่จะมีใครมาเทียบเคียงได้ ผู้เฒ่าเหยียนมีลูกท้อลูกพลัมเต็มสวน[2] ไม่ทราบว่าในบรรดาศิษย์ที่สอนทั้งหมดมีคนใดที่สามารถสืบทอดวิชาได้หรือไม่? “
ถูกต้อง แม้แต่วังตะวันออกซึ่งเป็ดาวเด่นของวันเกิดในวันนี้ก็รวมอยู่ใน ‘ลูกท้อลูกพลัมเต็มสวน’ ของชายชรา จุดประสงค์ของคนผู้นั้นคือชี้นำให้ชายชราเยินยอเพื่อเอาใจองค์รัชทายาท ผลลัพธ์คืออาจารย์ที่นางไม่เคยเห็นว่าชื่นชมผู้ใดกลับเล่นไพ่อย่างไม่เป็ไปตามเหตุผลทั่วไป หลังครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่เป็เวลานานจึงกล่าวต่อหน้าทุกคน “ในบรรดาศิษย์ที่ข้าสอนในปีแรกๆ คงเป็คุณหนูรองสกุลสวีแห่งฮุยโจวที่ยังเยาว์วัยในเวลานั้น สำหรับซีเฉียน ในแง่ของพร์นั้นไม่มีใครเทียบได้!”
ทุกที่นั่งเต็มไปด้วยความโกลาหล
ดังนั้น สวีอี่ซินจึงมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมา ผู้ที่เลื่อมใส้าขอพบมีมากมาย แต่ช่วยไม่ได้ที่สกุลสวีไม่ใช่สำนักหรือครอบครัวเล็กๆ ธรรมดา สวีอี่ซินยังคงอยู่ในห้องส่วนตัว มิเคยได้เผยโฉม มีผู้คนเท่าไรล้วนได้รับการปิดประตูไม่รับแขกใส่อย่างนุ่มนวลแล้วจากไป ทว่าผู้เลื่อมใสเหล่านี้กลับยังคงมากันไม่ขาดสาย...เื่นี้ทำให้สวีอี่ซินรู้สึกไม่พอใจต่อพวกเขาอย่างยิ่งในยามนี้
สาวใช้คนนั้นคุกเข่าคำนับอยู่บนพื้น ใบหน้าเล็กของสวีอี่ซินยังคงแดงก่ำด้วยความโกรธ คิ้วขมวดแน่นจนอย่างไรก็ไม่อาจคลายได้ เหล่าสาวใช้จึงรีบเกลี้ยกล่อม “คุณหนูอย่าโกรธเลย เพียงขอให้นายน้อยรองหาข้ออ้างเพื่อส่งเขาออกไปดีๆ ก็พอเ้าค่ะ”
สวีอี่ซินหันไปพูดกับสาวใช้คนนั้น “เ้ากลับไปหานายน้อยรอง บอกว่า่นี้ข้าไม่สบาย ไม่สะดวกที่จะออกไป”
เมื่อสาวรับใช้คนนั้นได้ยินถ้อยคำจึงไม่มีทางเลือกเช่นเดียวกัน นางทำได้เพียงกล่าวลาแล้วจากไป หลังจากรอให้สาวใช้คนนั้นจากไปแล้ว สาวใช้ทั้งหมดยังคงปรนนิบัติสวีอี่ซิน นางหงุดหงิดอยู่นานจึงค่อยสงบสติอารมณ์ ก่อนสั่งให้คนไปเอากล่องอัญมณีมาอีกครั้ง
สาวใช้สองคนตอบรับและไปนำมา เมื่อไปได้ครึ่งทางกลับพูดกับอีกคนหนึ่ง “คุณหนูไม่ได้จะออกไปข้างนอกไม่ใช่หรือ? ทำไมยังต้องเลือกอัญมณีด้วย?”
อีกคนหนึ่งหัวเราะ “เ้า...เพิ่งมาใหม่จึงไม่รู้สินะ เ้าไม่ได้ยินหรือว่าเมื่อวานคุณชายใหญ่มาคุยกับคุณหนูว่าคุณชายฉินแห่งกู่ชุนผู้นั้นกลับมาจากการท่องโลกแล้ว?”
สาวรับใช้ถามด้วยความสงสัย “คุณชายฉิน?”
อีกคนปิดปาก ยกยิ้มอย่างมีความหมายค่อนข้างลึกซึ้ง “ใช่แล้ว...คุณชายฉิน เ้าไม่เห็นหรือว่าคุณหนูของเราอารมณ์ดีเป็พิเศษั้แ่เมื่อวาน?”
ทั้งสองคนรับกล่องอัญมณีแล้วกลับไปยังห้องอุ่น สาวใช้คนอื่นหลายคนกำลังถือชุดเสื้อกันหนาวผ้าแพรต่วนพื้นสีแดงและดอกไม้กลมสีทอง ปกเสื้อและกระบอกแขนล้วนประดับด้วยขนจิ้งจอกสีขาวราวหิมะ ช่างหรูหราและงดงาม จากนั้นพูดด้วยรอยยิ้มให้แก่สวีอี่ซิน “คุณหนู...ใกล้จะสิ้นปีแล้ว คงไม่ดีหากวันนี้จะสวมเสื้อกันหนาวที่ตัดใหม่ คุณหนูมีผิวขาว การสวมอาภรณ์สีแดงเหมาะกับงานรื่นเริง...”
สวีอี่ซินไม่ตอบกลับ ใบหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย สาวใช้ผู้นั้นที่นำอัญมณีมารีบเดินไปแย่งเสื้อกันหนาวจากในมือของคนที่มีตาหามีแววไม่ผู้นั้นเมื่อเห็นว่านางเริ่มอารมณ์ไม่ดี แล้วส่งให้สาวน้อยที่อยู่ด้านหลังเพื่อเก็บไป ก่อนหันไปพูดกับสวีอี่ซิน “สู้คุณหนูสวมเสื้อคลุ่มพื้นสีขาวธรรมดาปักลายเมฆสีอ่อนตัวนั้นไม่ดีกว่าหรือ? ทั้งสะอาดตาและไม่จำเจ คุณชายฉินละทางโลกมาแต่ไหนแต่ไร ลักษณะนิสัยอิสระ ไม่สนใจเื่เหล่านี้ ไม่จำเป็ต้องประดับอย่างซับซ้อนจะดีกว่า ข้าคิดว่าเครื่องประดับขอเพียงเลือกปิ่นหรูอี้เกลียวบุปผาไพลินเท่านั้น คุณหนูมีรูปลักษณ์งดงาม จึงไม่จำเป็ต้องเผยความหรูหราแล้วเป็แขกที่แย่งบทบาทของเ้าภาพ”
สวีอี่ซินหน้าซีดลงเล็กน้อย มองนางอย่างชื่นชมแวบหนึ่ง สาวใช้คนนั้นรู้ว่านางเห็นด้วยแล้วจึงยื่นมือไปเปิดกล่องอัญมณีเพื่อหยิบปิ่นหรูอี้เกลียวบุปผาไพลิน ทันใดนั้นสวีอี่ซินกล่าว “ช้าก่อน...” สาวใช้คนนั้นหยุดมือแล้วหันมามองนาง สวีอี่ซินครุ่นคิดพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง “ดอกเหมยในสวนบานแล้วหรือ?”
เหล่าสาวใช้รีบตอบ “ใช่เ้าค่ะ”
สาวใช้คนก่อนหน้านี้มีไหวพริบ นางยิ้มแล้วพูด “ยังเป็คุณหนูที่มีความคิดเฉียบแหลม ทาสจะไปเด็ดมันมาเดี๋ยวนี้...”
ผมสีดำราวกับแพรต่วนสีหมึกปล่อยสยายลงมา ผูกมวยผมนกกระเรียนไว้บนศีรษะอย่างหลวมๆ ระหว่างมวยผมปักปิ่นด้วยดอกเหมยสีขาวแซมเกสรสีเหลืองที่มีกลิ่นหอมกิ่งหนึ่ง สวีอี่ซินสวมชุดเรียบง่ายเสื้อคลุมสีขาวราวหิมะ พลิ้วไหวคล้ายกับโบยบิน นางย่ำบนหิมะโดยยกมุมกระโปรง
ฉากหิมะสีขาวบริสุทธิ์ของโลก ใบหน้าที่งดงามและมีเืฝาดของเด็กสาวคือฉากที่งดงามอีกฉากหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย
ภายในศาลา คนกลุ่มหนึ่งที่กำลังชงเหล้าชื่นชมหิมะหันศีรษะไปมองและอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ยิ่งกว่านั้นถ้วยหยกขาวที่ถืออยู่ในมือของหยวนฝานเป้ยตกลงมาด้วยความใ ก้นถ้วยตกลงบนโต๊ะเล็กจนเกิดเสียง ‘ตุ้บ’ แล้วกลิ้งวนหนึ่งรอบ เหล้าร้อนในถ้วยเทรด
สวีอี่เจินหลับตาอย่างช่วยไม่ได้ด้วยความสิ้นหวัง จากนั้นถอนหายใจเล็กน้อยจากก้นบึ้งหัวใจ รู้สึกอับอายมากจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี หลังเงียบไปนาน เขาจำเป็ต้องมองไปที่คนตรงหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้มแหย “น้องสาวของข้าช่างเย่อหยิ่ง ถูกท่านพ่อท่านแม่ตามใจจนเคยตัวั้แ่ยังเด็ก ทำให้คุณชายหัวเราะเยาะแล้ว”
หลังจากนั้น หยวนฝานเป้ยกลับมามีสติอีกครั้ง เขารีบกล่าว “ไม่เป็ไร ไม่เป็ไร เดิมทีเป็ข้าที่ล้ำเส้นจึงจะถูก”
สวีอี่เจินถอนหายใจเล็กด้วยความโล่งอก เขาไม่มีทางเลือกอื่น จึงเอ่ยเรียกสวีอี่ซินที่เดินเพียงลำพังอยู่ไม่ไกล “ซินเอ๋อร์”
สวีอี่ซินตะลึง จากนั้นหยุดเดินแล้วหันศีรษะไปมอง นางเห็นพี่รองของตนเองอยู่ในศาลากับกลุ่มคนแปลกหน้าอย่างที่คาดไว้ อดไม่ได้ที่จะก่นด่าลับๆ พลางคิดในใจว่า วันหิมะตกหนักอยู่ที่ใดไม่อยู่กลับวิ่งออกมาข้างนอกเพื่อโดนแช่แข็งหรือ? หลังคำโกหกของตนเองถูกเปิดโปง นางรู้สึกอับอายเล็กน้อย แต่เมื่อคิดอีกทีไม่ต้องไปสนใจเขาดีกว่า! เดิมทีก็เป็พวกเขาที่ไร้มารยาท ยามคิดถึงตรงนี้นางไม่บิดพลิ้วอีกต่อไป จากนั้นยืดตัวเดินไปที่ศาลา ทักทายพี่รองของตนเองอย่างเป็ธรรมชาติ หลังจากได้ยินการแนะนำของพี่รองอีกครั้งจึงทักทายคุณชายแปลกหน้าคนนี้ที่มาจากโซ่วหลิง
ั้แ่วินาทีที่เงาร่างของนางปรากฏตัว แววตาของหยวนฝานเป้ยราวกับติดอยู่บนร่างของเด็กสาว ไม่ใช่ว่าเขา้าทำตัวไม่ได้เื่เช่นนี้ หลายปีนี้ที่เขาใช้ชีวิต รอบข้างรายล้อมไปด้วยสาวงามอวบอ้วนและผอมเพรียวราวกับก้อนเมฆ ทว่า ณ ตอนนี้ ในที่สุดก็รู้ว่าอะไรคือการ ‘ตกตะลึงในความงาม’
สวีอี่เจินกล่าว “ไม่ใช่ว่าไม่สบายหรอกหรือ ทำไมยังออกมาอีก?”
สวีอี่ซินกลอกตามองพี่รองของตนอย่างไม่เกรงใจ “จู่ๆ นึกขึ้นได้ว่ามีนัดกับพี่ใหญ่เมื่อวานนี้ จึงฝืนลุกขึ้นมาก็เท่านั้น”
สวีอี่เจินรู้ความหมายโดยนัย เอ่ยอย่างตกตะลึง “พี่ฉินกลับมาแล้วหรือ?”
สวีอี่ซิน “ถูกต้อง”
สวีอี่เจินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สิ้นปีแล้วควรต้องกลับแล้วจริงๆ แต่ว่าซินเอ๋อร์ ทำไมยามพี่ฉินของเ้ากลับมา เ้าป่วยเช่นนี้ยังลุกขึ้นมาได้ ทำให้พี่รองไม่มีหน้ามีตาแล้ว” เขายังคงส่ายศีรษะและหัวเราะเยาะตนเอง “ช่างแตกต่างกันจริงเชียว”
สวีอี่ซินบอกด้วยรอยยิ้มเ็า “อย่าพูดอะไรอีก แค่พูดว่าพี่ฉินช่วยชีวิตข้าไว้หลายครั้ง ตอนนี้เขากลับบ้านเกิดจากการไปท่องโลก ซินเอ๋อร์จะเลี่ยงไม่พบได้อย่างไร?” ขณะที่บอกนางจงใจเหลือบมองหยวนฝานเป้ยอย่างเหยียดหยาม จากนั้นพยักหน้า “ซินเอ๋อร์ขอตัวลาไปก่อน คุณชายนั่งตามสบาย” พูดจบก็ไม่มองผู้ใดแล้วหมุนตัวจากไป
เื้ัได้ยินเสียงที่มีความสงสัยของคุณชายแปลกหน้าผู้นั้นดังแว่วมา “คุณชายฉิน?”
พี่รองของนางรีบอธิบาย “ฮ่าๆ ที่พูดมาก็ไม่ใช่บ่นหรอกนะ พี่ฉินท่านนี้เคยช่วยชีวิตน้องสาวของข้าเมื่อนางยังเด็กมาก และหลายปีนี้...”
สวีอี่ซินคร้านที่จะสนใจพวกเขาอีก รีบเลี้ยวผ่านทางเดินยาวไปยังสถานที่ที่นัดกับพี่ใหญ่เอาไว้ เป็ดังที่คาด มีคนสองคนนั่งอยู่ในโถงรับรองแขกที่อบอุ่นจนหลอมละลายซึ่งเผาด้วยถ่านไฟ ซึ่งก็คือสวีอี่ชิง พี่ใหญ่ของนางกับฉินจินฮุยที่กำลังคุยกันอย่างมีชีวิตชีวา
พี่ใหญ่ของนางพูดด้วยรอยยิ้ม “หากข้ารู้นานแล้วคงเป็เหมือนกับน้องสาวคนรอง อยากจะกราบพี่ฉินเป็อาจารย์ั้แ่เนิ่นๆ เรียนรู้การบ่มเพาะทางเต๋ากับพี่ฉิน หากเอ่ยขึ้นมาก็รู้จักพี่ฉินมากว่าสิบปีแล้ว แต่รูปลักษณ์ของพี่ฉินกลับเหมือนอดีตไม่เปลี่ยนเลยสักส่วน กลับเป็ข้าที่มองแล้วดูแก่กว่านัก...”
เจียงเฉิงเยว่ที่นั่งตรงข้ามกับสวีอี่ชิงสวมเสื้อคลุมสีเขียวหยก คอเสื้อหางจิ้งจอกสีขาวราวกับหิมะฟูฟ่องทำให้ใบหน้านั้นงดงาม แต่กลับมีความสง่างามแข็งกร้าวอย่างล่วงเกินไม่ได้กว่าปกติอยู่หลายส่วน เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มน้อย “พี่อี่ชิงพูดอะไรกัน ข้าอายุเท่าพี่อี่ชิง แล้วที่พี่อี่ชิงบอกว่าตนเองแก่ หรือว่าแม้แต่ข้าเองก็แก่ด้วยหรือ? ถึงอย่างไรเพียงจากอายุสิบห้าไปอายุยี่สิบห้าเท่านั้น ข้ายังไม่ยินยอมที่จะแก่หรอกนะ”
คนทั้งสองตกตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นสบตากันแล้วหัวเราะเสียงดังขึ้นมา
สวีอี่ชิงยกถ้วยชาขึ้น “พี่ฉินพูดได้มีเหตุผล ข้ากับพี่ฉินต่างก็อยู่ใน่อายุที่สำคัญที่สุด ฮ่าๆๆ “
สวีอี่ซินเดินเข้าไป จากนั้นย่อตัวทำความเคารพด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่ พี่ฉิน”
ทั้งสองคนหันกลับมามองนาง สวีอี่ชิงกล่าว “น้องสาวคนรองมาแล้วหรือ?”
สวีอี่ซินตอบ “เ้าค่ะ”
------------------------
[1] จันทร์หลบโฉมสุดามวลผกาละอายนาง หมายถึง ฉายาของ 2 ใน 4 สาวงามแห่งประวัติศาสตร์จีน
[2] มีลูกท้อลูกพลัมเต็มสวน เป็การอุปมา หมายถึง อาจารย์มีศิษย์มากมาย
