พลังสะท้านกลับของอัสนีบาตย่ำแปดทิศขั้นที่ห้านี้สามารถทำให้มู่เฟิงาเ็ภายในได้เลยทีเดียว เพราะถึงอย่างไรพลังที่เพิ่มพูนขึ้นมาก็ไม่ใช่พลังที่แท้จริงของเขา ดังนั้นมันจึงมีราคาที่ต้องจ่าย
มู่เฟิงไม่ได้ใส่ใจในเื่นี้มากนัก หากไม่ได้เผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งจนเกินตัวมากเกินไป เขาย่อมไม่มีทางใช้วิชาลับนี้ออกมาจัดการศัตรูและทำร้ายตัวเขาเองอย่างแน่นอน
กระนั้นความสามารถในการฟื้นฟูของมู่เฟิงก็เหนือกว่าคนทั่วไปมาก ดังนั้นหากเทียบกันแล้ว ผลของพลังที่สะท้อนกลับมาย่อมต้องส่งผลกระทบต่อเขาน้อยกว่าคนอื่น
หลังจากดูดซับพลังสายฟ้าจากกลุ่มเมฆนี้แล้ว มู่เฟิงก็บินกลับไปบนหลังของเสี่ยวเทียนอีกครั้ง ปีกสีแดงโลหิตของเขาหดกลับคืนมา ทันใดนั้นท้องฟ้าก็เริ่มมีฝนตกลงมาอย่างหนัก
มู่เฟิงปล่อยพลังกังชี่ออกมา ทำให้เม็ดฝนที่โปรยปรายลงมาในรัศมีสามฟุตไม่อาจเข้าใกล้เด็กหนุ่มได้ ก่อนที่เขาก็นำแผนที่ออกมาเปิดเพื่อดูทิศทาง
ตำแหน่งของมู่เฟิงในตอนนี้อยู่ห่างจากป่าเหลยหลินเกือบพันลี้ และสำนักเหลยอวี่ก็ตั้งอยู่บนูเาลูกหนึ่งในอาณาเขตของป่าเหลยหลิน
หลังจากระบุตำแหน่งเป้าหมายได้ มู่เฟิงก็เก็บแผนที่ก่อนจะให้เสี่ยวเทียนมุ่งหน้าไปยังเหลยหลินต่อทันที
เวลาพลบค่ำ ในที่สุดเสี่ยวเทียนก็ร่อนตัวลงยังพื้นที่นอกเมืองใหญ่แห่งหนึ่ง จากนั้นมันก็หดตัวเล็กลงและกลับเข้าหไปอยู่ในอ้อมแขนของมู่เฟิงเหมือนเดิม มู่เฟิงเดินเข้าเมืองพร้อมกับสะพายดาบเล่มใหญ่ไว้กลางหลัง
ทิวทัศน์ที่ฉายอยู่บนพื้นหลังของเมืองแห่งนี้ก็คือผืนป่าขนาดใหญ่ โดยบนท้องฟ้าเหนือป่าใหญ่นั้นกำลังมีเมฆฝนปกคลุมอย่างหนาแน่นและมีฟ้าผ่าลงมาเป็ครั้งคราว
เมืองเหลยหลินคือชื่อของเมืองแห่งนี้
แม้จะมีฝนตกหนัก แต่บนท้องถนนก็ยังคงพลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่เดินกางร่มสัญจรไปมา
นอกจากนี้ยังมีชายฉกรรจ์ที่เปลือยกายท่อนบนเดินไปมาอยู่ในตรอก
มู่เฟิงเดินไปตามท้องถนนโดยไม่ได้กางร่ม แต่ในรัศมีสามฟุตเม็ดฝนที่โปรยลงมาไม่อาจเข้าใกล้เด็กหนุ่มได้เลย นี่คือวิธีการรับมือกับสายฝนของผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่ ฉะนั้นสิ่งนี้จึงไม่ใช่เื่แปลกอะไร
“อาณาจักรเหลยอวี่มีพายุฝนฟ้าคะนองตลอดเวลาสมชื่อจริงๆ"
มู่เฟิงทอดถอนใจขณะเดินไปตามถนน ั้แ่เข้ามายังเขตของอาณาจักรเหลยอวี่ เขายังไม่เคยเห็นสถานที่ไหนที่ไม่มีฝนตกลงมาเลย
หลังจากเดินทางมาทั้งวันมู่เฟิงก็รู้สึกหิวขึ้นมาเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงพาเสี่ยวเทียนเข้าไปในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ชั้นแรกของโรงเตี๊ยมเป็เหลาอาหาร ซึ่งเวลานี้ก็มีแขกเข้ามาดื่มกินเป็อยู่จำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีชาวยุทธ์เหมือนมู่เฟิงอยู่ไม่น้อย
“เสี่ยวเอ้อ นำเนื้อปรุงสุกมาให้ข้าสิบจิน พร้อมสุราซิ่งฮวาอีกหนึ่งไห”
มู่เฟิงะโสั่งอาหาร เสี่ยวเอ้อรีบตอบรับเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบนำไหสุราซิ่งฮวาออกมาวางไว้ตรงหน้ามู่เฟิง
“กล่าวกันว่าวันมะรืน หลิ่วฉิงเ้าสำนักคนใหม่ของสำนักเหลยอวี่จะจัดพิธีการครั้งใหญ่เพื่อเฉลิมฉลองการขึ้นครองตำแหน่งเ้าสำนัก”
“ไอหยา หลิ่วฉิงผู้นั้นช่างเป็คนที่มีพร์แห่งยุคเสียจริง เขายังอายุไม่ถึงห้าสิบปีด้วยซ้ำ แต่กลับสามารถบรรลุระดับหยวนตานขั้นแปดได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากเขาได้ขึ้นครองตำแหน่งเ้าสำนักเหลยอวี่อย่างสมบูรณ์ เขายิ่งจะมีทั้งอำนาจและความแข็งแกร่ง”
“แต่การจากไปอย่างกะทันหันของหลิ่วเชียนเย่เ้าสำนักคนเก่าก็ทำให้ผู้คนคาดไม่ถึงเช่นกัน น่าเสียดายที่อาณาจักรเหลยอวี่ของเราต้องสูญเสียปรมจารย์ผู้เก่งกาจไปท่านหนึ่ง ยังดีที่ยังเหลืออัจฉริยะอีกคนที่มีอนาคตไร้ขีดจำกัดผู้นี้อยู่”
มู่เฟิงที่นั่งอยู่ไม่ไกลลอบฟังบทสนทนาของอีกฝ่าย เขาหรี่ตาเล็กน้อยหลังจากได้ยินเื่นี้ ก่อนที่เขาจะยกจอกสุราขึ้นมากระดก
คาดไม่ถึงว่าหลิ่วฉิงผู้นั้นกำลังจะสืบทอดตำแหน่งเ้าสำนักเหลยอวี่แล้ว!
แต่เมื่อขบคิดเกี่ยวกับเื่นี้ให้ดี เดิมทีหลิ่วฉิงผู้นั้นก็ถือเป็ทายาทสายตรงของหลิ่วเชียนเย่ และเื่ที่หลิ่วเชียนเย่ถูกหลิ่วฉิงฉวยโอกาสลงมือสังหารในเทือกเขาอันหนานก็ผ่านมานานถึงสองปีแล้ว ดังนั้นตราบเท่าที่หลิ่วฉิงสามารถหาข้ออ้างในการเสียชีวิตของหลิ่วเชียนเย่ได้ เขาย่อมมีสิทธิ์สืบทอดตำแหน่งเ้าสำนักต่อจากอีกฝ่าย
“สำนักเหลยอวี่...”
บนฝ่ามือของมู่เฟิงพลันมีแสงเปล่งประกายออกมา แผ่นป้ายสีม่วงขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏขึ้นในมือของเขา โดยบนแผ่นป้ายนี้มีตราสัญลักษณ์ลายเส้นสายฟ้าสีม่วงอยู่ ซึ่งลายเส้นนี้ก็มีประกายสายฟ้าที่ดูไม่ธรรมดาเปล่งออกมา
ของสิ่งนี้คือประกาศิตสายฟ้า เป็สิ่งของแทนตัวเ้าสำนักเหลยอวี่ มันถูกเก็บเอาไว้ในแหวนเฉียนคุนของหลิ่วเชียนเย่
มู่เฟิงได้รับการถ่ายทอดอัสนีบาตย่ำแปดทิศมาจากอีกฝ่าย ทั้งยังได้รับตราสัญลักษณ์นี้ด้วย หากกล่าวกันตามหลักแล้ว ถือว่าเขาเป็ทายาทผู้สืบทอดของหลิ่วเชียนเย่ด้วยซ้ำ
แต่ลำพังแค่กำลังของเขาในตอนนี้ จะให้ออกตัวไปแย่งชิงตำแหน่งเ้าสำนักกับหลิ่วฉิงได้อย่างไร นั่นคงไม่ต่างอะไรจากการรนหาที่ตาย
“คุณชาย เนื้อของท่านมาแล้วขอรับ”
ทันใดนั้นเสี่ยวเอ้อก็เดินเข้ามาพร้อมกับเนื้อปรุงสุกจานใหญ่ มู่เฟิงจึงรีบเก็บแผ่นป้าย
มู่เฟิงหั่นเนื้อชิ้นโตให้กับเสี่ยวเทียน ก่อนจะเริ่มกินเนื้อในส่วนของเขา
เด็กหนุ่มจองห้องพักในโรงเตี๊ยมหนึ่งห้อง เพราะคืนนี้เขาไม่ได้รีบร้อนที่จะเดินทางเข้าไปยังเขตของป่าเหลยหลิน
หลังจากวรยุทธ์ของมู่เฟิงก้าวขึ้นสู่ระดับหนิงกัง เวลานี้เขาก็สามารถรับยาโลหิตขั้นสามได้ แน่นอนว่าพลังปราณที่บรรจุอยู่ในเม็ดยาโลหิตขั้นสามย่อมต้องเหนือกว่าขั้นสองอยู่แล้ว เมื่อกลืนตัวยาลงไป มู่เฟิงก็ทำการกลั่นเม็ดยาภายในร่างให้กลายเป็พลังปราณไปพร้อมกับทำการกลั่นพลังกังชี่ในเส้นโลหิตชูร่า โดยกระบวนการทั้งหมดนี้เป็เพียงขึ้นตอนการเริ่มการควบแน่นมวลคลื่นพลังลูกที่สองเท่านั้น
เช้าวันถัดมามู่เฟิงออกจากห้องพัก เขาเดินทางออกจากเมืองเหลยหลินเพื่อมุ่งหน้าไปยังป่าเหลยหลินซึ่งอยู่ห่างออกไปราวหนึ่งร้อยลี้
ภายในป่าเหลยหลินแห่งนี้มีต้นไม้พิเศษประเภทหนึ่งขึ้นอยู่เป็จำนวนมาก ซึ่งมันถูกเรียกกันว่าต้นจวี้เหลย
ต้นไม้ชนิดนี้มีความพิเศษคือต้นของมันเป็แหล่งรวมพลังฟ้าดินธาตุสายฟ้า ส่งผลให้ในรัศมีหนึ่งพันลี้จากตัวมันจะถูกปกคลุมด้วยพลังฟ้าดินธาตุสายฟ้าอันเข้มข้น และทำให้เกิดฟ้าผ่าอยู่บ่อยครั้ง
มู่เฟิงพาดดาบเล่มใหญ่ไว้บนหลังขณะมุ่งหน้าไปยังป่าเหลยหลิน การเคลื่อนไหวของเขาว่องไวราวกับวานร
เปรี้ยง!
สายฟ้าเส้นหนึ่งพลันฟาดลงมายังต้นไม้สีม่วงซึ่งอยู่ห่างออกไปราวเจ็ดถึงแปดเมตรตรงหน้ามู่เฟิง แต่หลังจากต้นไม้ต้นนั้นถูกฟ้าผ่าลงมา มันกลับไม่ได้หักโค่นลงหรือถูกเผาเป็เถ้าถ่าน และต้นไม้ต้นนั้นก็คือต้นจวี้เหลย
เมื่อมู่เฟิงเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่าลำต้นของมันมีความหนาเท่ากับเอวของมนุษย์ เขาส่งพลังิญญาเข้าไปตรวจสอบทันที ภายในต้นจวี้เหลยมีกลุ่มก้อนพลังงานสายฟ้าสีขาวกระจุกรวมกันขนาดเท่ากำปั้นของมนุษย์ ดูน่าอัศจรรย์เป็อย่างยิ่ง
มู่เฟิงก็ดึงพลังิญญากลับคืนมา ก่อนจะถอนหายใจ คุณภาพพลังของสายฟ้ากลุ่มนี้ยังไม่ถึงระดับต่ำด้วยซ้ำ เป็แค่พลังอันน้อยนิดที่ไม่มีใคร้าเท่านั้น
ภายในป่าเหลยหลินแห่งนี้ถูกปกคลุมไว้ด้วยพลังสายฟ้าตลอดทั้งปี ดังนั้นต้นจวี้เหลยบางต้นที่ดำรงอยู่มานานนับพันปีจะสามารถดูดซับสายฟ้าเข้าไปได้เป็จำนวนมาก และมีความเป็ไปได้ว่าในป่าแห่งนี้อาจจะมีต้นจวี้เหลยที่บรรจุพลังสายฟ้าระดับสูงเอาไว้ เพียงแต่พลังสายฟ้าระดับสูงนั้นเป็สิ่งที่หาได้ยากและล้ำค่าเป็อย่างมากอีกด้วย
มู่เฟิงยังคงค้นหาต้นจวี้เหลยในป่าเหลยหลินต่อไป เป้าหมายในใจของเขาก็คือการค้นหาพลังสายฟ้าที่เหนือกว่าระดับกลางขึ้นไป ไม่อย่างนั้นหากว่าอานุภาพพลังของมันเทียบกับพลังกังชี่โลหิตชูร่าในร่างของเขาไม่ได้ เช่นนั้นการได้มันมาจะไปมีประโยชน์อันใด?
พรึ่บ!
ทันใดนั้นกลับมีสายฟ้าสีน้ำเงินสายหนึ่งฟาดมาทางมู่เฟิงอย่างกะทันหัน
สีหน้าของมู่เฟิงพลันเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เขากระโจนร่างถอยห่างออกไปราวสิบเมตรทันที
เปรี้ยง…!
สายฟ้าฟาดลงมายังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ส่งผลให้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นะเิออกจนกลายเป็เศษซากในพริบตา แสดงให้เห็นว่าสายฟ้าสีน้ำเงินนั้นทรงพลังมากเพียงได้
“นั่นใคร?”
มู่เฟิงตะเบ็งเสียงพร้อมดึงดาบออกมาจากด้านหลัง เขามองไปยังทิศทางที่มีเสียงของสายฟ้าอย่างระมัดระวัง
“โฮก…!”
เสียงคำรามดังก้องไปทั่วป่า ทันใดนั้นเงาร่างของสัตว์อสูรที่มีความสูงสองเมตร ลำตัวยาวห้าถึงหกเมตรก็เดินออกมา ั์ตาสีน้ำเงินเย็นะเืคู่นั้นของมันกำลังจ้องมองมาทางมู่เฟิง
“เสือดาวอัสนี”
มู่เฟิงมองไปยังสัตว์อสูรตัวนั้นด้วยความประหลาดใจ
มันคือเสือดาวร่างั์ที่มีขนสีขาวปกคลุมทั่วตัว นอกจากนี้บนหัวของมันยังมีเขาสีน้ำเงินงอกออกมา และเขานั้นก็ถูกห่อหุ้มด้วยสายฟ้าสีน้ำเงิน
มู่เฟิงจ้องมองเสือดาวอัสนีตัวนั้นไม่วางตา หลังจากใช้พลังิญญาตรวจสอบเขาก็พบว่าอสูรร้ายตัวนี้มีพลังอยู่ในระดับหนิงกังขั้นสอง เป็อสูรธาตุสายฟ้าที่พบเห็นได้บ่อยในเขตเหลยหลิน
เมื่อเห็นเสือดาวอัสนีปรากฏตัวขึ้น มู่เฟิงก็เผยรอยยิ้มออกมาทันที