เมื่อส่งครอบครัวของหลิวเหรินกุ้ยและหลิววั่งกุ้ย หลิวจื้อเซิ่งมองดูเกวียนวัวที่ไกลออกไป แววตานั้นยากจะคาดเดาความคิด ทั้งซับซ้อนและเยือกเย็น เพียงแต่ตอนนั้นไม่มีใครสังเกตเห็น รวมถึงน้องสาวแท้ๆ ที่เขาเอ็นดูตามใจอยู่ตลอดอย่างหลิวเฉี่ยวเอ๋อร์
รั้วไม้ไผ่กั้นลานบ้าน ดอกเก๊กฮวยหอมหวน ผืนนาฤดูใบไม้ร่วง ปรากฏน้ำค้างยามค่ำคืน
เงินทองเห็นมามากแล้ว สภาพจิตใจของหลิวเต้าเซียงก็เริ่มนิ่ง
คราวนี้นางยังคงยกแม่ไก่สามร้อยตัวให้สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดจัดการดูแล
เขตเพาะเลี้ยงสามไร่นั้นได้ผลผลิตที่แตกต่างจากเดิม เมื่อขายไข่ไก่ไป นางก็ได้เงินมาอีกสามสิบเก้าตำลึง
รวมกับแต่เดิมที่มีอยู่ในมือหนึ่งร้อยกับอีกสองตำลึง ตอนนี้นางมีเงินเก็บทั้งหมดหนึ่งร้อยสี่สิบเอ็ดตำลึงกับสิบหกเฉียน
“เซียงเซียง พยายามเข้านะครับ สู้เขา คุณเริ่มเข้าใกล้กับความฝันที่จะเป็เ้าของที่ดินอีกนิดแล้วนะครับ”
เสียงที่นุ่มนวลของสัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดดังเข้ามาในใจของนาง
หลิวเต้าเซียงเอามือชันคางครุ่นคิด และนั่งเหม่อลอยอยู่บนบันไดหินตรงห้องปีกตะวันตก
หมู่มวลวิหคกลับแดนใต้ ฤดูใบไม้ร่วงนำพาความหนาวเย็น!
พระอาทิตย์ตกราวกับหญิงรูปงามสวมอาภรณ์โปร่งโยกย้ายดุจเมฆ ช่างน่าชื่นชม! ควันสีเทาลอยคลุ้งปนเปรวมกับหมอกยามเย็น ควันและเงาสีเขียวขจีจางๆ กับแสงของดวงอาทิตย์ที่อ่อนลง พริบตาเดียวก็ทำให้หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ที่ล่องลอยดั่งไม่มีตัวตนได้ฟื้นคืนชีวิตกลับมา
ห่านตัวใหญ่ส่งเสียงขับขาน ทำเอาหลิวเต้าเซียงที่นั่งอยู่ในภวังค์แห่งความคิดสะดุ้งตื่น
เมื่อมีเงินมากขึ้น นางก็มีความคิดมากมาย ตอนนี้การซื้อที่ดินในหมู่บ้านสามสิบลี้ยังไม่อาจทำได้ ลำพังเื่ที่ยังไม่ได้แยกบ้าน นางจึงไม่ยินดีที่จะล้วงเงินออกมา เพราะนี่เป็การบอกกล่าวกับคนตระกูลหลิวว่าครอบครัวฝั่งพวกนางมีเงินมากมาย ต่อไปหากต้องแยกบ้าน คนเ่าั้ต้องละโมบเป็แน่ คงจัดการเอาที่ดินของนางไปแบ่งจนไม่เหลือ
ตำบลเหลียนซานไม่ได้ใหญ่นัก แต่มีตำแหน่งภูมิศาสตร์ที่ดี ด้วยเหตุนี้คนที่ยินดีจะขายบ้านในมือนั้นจึงยิ่งมีน้อย
โอกาสนั้นพบเจอได้ยาก
ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่า ในวันนั้นที่เกาจิ่วให้นางซื้อบ้านหลังนั้นไว้นับว่าเป็โชคมหาศาลของตนเองจริงๆ ถึงได้เจอโอกาสดีๆ เช่นนี้ หลายวันมานี้นางเอาแต่คอยสังเกตและแอบสืบถาม แต่กลับพบว่าความฝันที่จะซื้อบ้านอีกหลังนั้นยากที่จะทำได้ ดุจดั่งการขึ้น์!
ดังนั้นนางจึงพักความคิดนี้ไว้ก่อน ถึงอย่างไรการขายไข่ก็สร้างกำไรได้ไม่น้อย
“เ้าสัตว์ปีศาจตัวน้อย ฉันขอเอาไข่แลกเงิน นายแลกได้หรือไม่?”
หลิวเต้าเซียงกังวลเล็กน้อย ตำบลเหลียนซานมีอาณาเขตเพียงแค่นี้ นางต้องอาศัยบุญของเกาจิ่วจึงจะหาทางจำหน่ายไข่สองหมื่นกว่าใบออกจากมือไปได้ หากว่าไข่มีจำนวนมากกว่านี้ เกรงว่าคงหาบ้านที่จะกินไข่ได้มากเช่นนี้ยากนัก
“เซียงเซียง ต้องขอโทษด้วยครับ อำนาจของผมยังไม่เพียงพอ ต้องพยายามเลื่อนขั้น ต่อไปถึงจะสามารถแลกเปลี่ยนเป็เงินได้โดยตรง”
“เช่นนั้นก็ไม่อาจปล่อยให้มันเน่าคามือฉันหรอกนะ” หลิวเต้าเซียงรับรู้ถึงความน่าปวดหัวของการเป็เ้าของไร่เพาะเลี้ยง ของเหล่านี้เลี้ยงน้อยไปก็ไม่ได้กำไร เลี้ยงมากไปก็เป็ปัญหากับช่องทางการจำหน่ายเช่นกัน
โชคดีที่ห้วงมิติของนางแม้ว่าจะช่วยได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่อาศัยความขยันหมั่นเพียรของนางเพื่อความร่ำรวย มันก็ไม่ได้เป็ปัญหานัก
“หมดหนทางชั่วคราวครับ หรือไม่ คุณเอาไข่ส่งไปที่อำเภอดูไหมครับ?” สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดคิดทางออกที่ดีกว่านี้ไม่ได้
“นายรู้ไหมว่าเหตุใดหมู่บ้านเราจึงชื่อว่าหมู่บ้านสามสิบลี้?” หลิวเต้าเซียงถามเขาด้วยความระอา
“ทำไมหรือครับ?” สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดไม่เคยสังเกตเื่ในแง่มุมนี้ หน้าที่รับผิดชอบของมันคือเป็ผู้ช่วยเพาะเลี้ยง เื่อื่นนอกเหนือจากนั้นก็รู้ไม่มากนัก
“เพราะว่าที่แห่งนี้อยู่ห่างจากอำเภอสามสิบลี้”
หากว่าไม่ได้แยกบ้าน เหตุใดนางจะต้องกังวลอยู่อีก?
เอาเงินซื้อเกวียนวัว ซื้อบ้าน ซื้อที่ดินให้หมด ในพริบตาเดียวครอบครัวของตนก็กลายเป็เ้าของที่ดินได้
น่าเสียดายที่การแยกบ้านมาขวางทางอยู่
หลิวเต้าเซียงไม่้าให้หลิวซานกุ้ยเป็คนกระตุ้นเื่นี้ บางทีเขายังต้องเดินหน้าสู่เส้นทางการเป็ข้าราชการในอนาคต การจะเดินสู่เส้นทางขุนนางต้องระวังเื่ชื่อเสียง ห้ามเสื่อมเสียเด็ดขาด สำหรับเื่นี้พ่อผู้แสนดีของนาง หลิวเต้าเซียงเองก็อยากช่วยรักษาให้ดีที่สุด
“เ้าสัตว์ปีศาจน้อย นายว่าจะมีหนทางทำให้ลุงใหญ่ ลุงรองขอแยกบ้านได้หรือไม่?”
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดโดยธรรมชาติแล้วไม่มีความสามารถในการวางแผนต่อสู้ หลิวเต้าเซียงก็เพียงแค่คิดในใจเฉยๆ ถึงอย่างไรเื่นี้ต้องพึ่งพาตัวเองเท่านั้น
ขณะเดียวกัน นางก็คิดถึงข้อดีของซูจื่อเยี่ยขึ้นมา
หากเ้านั่นอยู่ที่นี่ เกรงว่าคงบอกเื่ ‘หูผ่านลม’ ของเขาที่ได้ยินมาทั้งหมด
ั้แ่เขาจากไป หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าการรับรู้เื่ราวในบ้านนั้นไม่ค่อยราบรื่นเท่าไร
…..
กาน้ำเย็นภายใต้แสงจันทร์ฤดูใบไม้ร่วง ท่ามกลางการจราจรคับคั่ง
จวนอ๋องในค่ำคืนนี้ที่นั่งเต็มทุกที่ ว่ากันว่า ท่านอ๋องได้นำทัพไปปราบพวกหมานอี๋ [1] จนถอยทัพ ฮ่องเต้มีราชโองการตบรางวัลให้อย่างหนัก
ตรงมุมหนึ่งของสวนหย่อม มีเพียงตะเกียงไฟไม่กี่ดวง ดอกเก๊กฮวยบนกระถางแข่งขันกันสร้างสีสัน ณ สวนหย่อมที่วังเวงดุจสายน้ำ กลิ่นหอมของดอกเก๊กฮวยที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ดีเป็พิเศษ
“นายท่าน ไม่ไปจริงๆ หรือ?” จิ้นจงเติมสุราองุ่นให้กับซูจื่อเยี่ยอีกหนึ่งจอกเล็ก
เขาสวมเสื้อคลุมลายงูหลามและปักลวดลายเมฆ รัดหน้าท้องไว้ด้วยเข็มขัดทองประดับหยก ตรงหน้าผากรัดด้วยที่รัดศีรษะลวดลายัสองตัวกำลังเล่นไข่มุก ผมดำขลับปล่อยสยาย รองเท้าสีดำถูกเขาถอดไว้สะเปะสะปะตรงนั้น
แม้ว่ารองเท้าจะล้มไปคนละทาง แต่กลับดูมีพลัง!
ซูจื่อเยี่ยเอนตัวเบาๆ บนเก้าอี้เอน นิ้วมือดุจหยกกำจอกแสงจันทร์ที่มีมูลค่าหนึ่งใบ
“จิ้นจง ความรื่นเริงนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับข้าด้วย”
พระชายาในอ๋องชื่นชอบหน้าตา จึงชื่นชอบการจัดงานเลี้ยงเช่นนี้ อีกอย่าง มีบุตรชายแท้ๆ ของนางอยู่ด้วย ส่วนตนเองที่เป็เพียงบุตรแห่งสนมเหตุใดจึงไปรื่นเริงด้วยเล่า
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ความรื่นเริงของผู้อื่น” จิ้นจงตอบอย่างตรงไปตรงมา
เพียงแค่ครึ่งปี ผมของซูจื่อเยี่ยก็ยาวลงมาอย่างองอาจ ลมพัดปลิวสยาย ในจังหวะที่ไม่ทันได้ตั้งตัวนั้น เมื่อช้อนตาขึ้นก็มีความน่าเกรงขามจางๆ เผยออกมา แต่ก็ดูเหมือนว่าจะแผ่ออกมาจากตัวเขาที่ลึกลงไปถึงกระดูก
ไม่ว่าใครก็ยากที่จะสังเกตเห็นในจุดนี้ แม้กระทั่งคนที่อยู่กับเขามานาน
จิ้นจงนึกเปรียบเทียบในใจกับซื่อจื่อในท่านอ๋องที่สามารถปลุกความโลภในเงินตราของผู้คน ซึ่งมีภาพลักษณ์ที่ดึงดูดสายตาเพียงเท่านั้น หากเป็นายท่านของเขานั้นแข็งแกร่งแน่วแน่ดุจหยกที่มิอาจเทียบได้ ไม่มีผู้ใดสามารถเมินเฉยต่อกระบี่ในใจของเขาได้!
“ใช่แล้ว เื่ของผู้อื่นเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย สู้เ้าเล่าเื่ตลกให้ข้าฟังดีกว่า แล้วก็ ท่านแม่ข้าวันนี้ทานยาแล้วหรือยัง?”
สายตาที่ไม่แยแสของซูจื่อเยี่ยเลื่อนลงมาที่พวกร้องรำทำเพลง และเสียงขับขานของดนตรีที่ไม่สิ้นสุด
“เรียนนายท่าน พระสนมทานยาและเข้านอนแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่เสียงดนตรีเกรงว่าคงจะรบกวนการนอนของพระนาง”
คำพูดของจิ้นจงทำให้ดวงตาของซูจื่อเยี่ยเ็าและมองไปที่แสงสีด้วยใบหน้าประชดประชัน
“พี่ชายของข้าไม่ใช่าาปีศาจที่ผจญภัยในโลก เขาเองก็มีความสามารถ ครั้งหน้าเ้าพูดจาระวังปากตนเองด้วย หากเกิดเขาได้ยิน เกรงว่าจะตัดลิ้นของเ้าขาดได้”
“กระหม่อมคือคนของนายท่าน” จิ้นจงเข้าใจดีว่าใครเป็เ้านายของเขา
ซูจื่อเยี่ยปรายตามองด้วยความเบื่อหน่าย มีเพียงคนที่สนิทสนมอยู่ใกล้ตัว เขาจึงจะเป็เช่นนี้บ้างบางครา การแสดงออกที่สมแก่วัยของเขาที่เป็เด็กหนุ่มอายุเพียงสิบสามสิบสี่
“อย่าพูดถึงเื่น่าเบื่อเหล่านี้เลย หลายวันมานี้ได้ข่าวแม่สาวน้อยบ้างหรือไม่ เกาจิ่วได้ส่งข่าวใหม่มาบ้างหรือเปล่า?”
ซูจื่อเยี่ยไม่เบื่อกับการฟังเื่เหล่านี้ เขาโบกมือ และดื่มสุราองุ่นในจอกแสงจันทร์หมดในอึกเดียว
จักจั่นฤดูใบไม้ร่วงร้องขับขาน สายลมฤดูใบไม้ผลิก็พัดโชย!
เสียงของจิ้นจงดังขึ้นในลานแห่งนี้ ทั้งนุ่มนวล มีความเคารพและเอาอกเอาใจเล็กน้อย
ใบหน้าของซูจื่อเยี่ยเผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นก็เริ่มหัวเราะร่า เสียงของจักจั่นฤดูใบไม้ร่วงไม่รู้ว่าหยุดไปั้แ่เมื่อใด เหมือนกับว่ามันหวงแหนความสุขที่ยากจะได้เห็นจากผู้เป็นายในสวนแห่งนี้
ใบหน้าของจิ้นจงที่ไม่ค่อยแสดงสีหน้า ก็หลุดอาการออกมาเล็กน้อย น่าหัวเราะเพียงนั้นเชียวหรือ?
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาเองก็นับถือสาวน้อยที่ชื่อว่าหลิวเต้าเซียงจริงๆ นิสัยสุขุม แน่วแน่ จุดนี้เหมือนกันกับนายท่านของเขา
“นายท่าน เหตุใดนางจึงไม่รับความหวังดีจากนายท่าน?”
รอยยิ้มของซูจื่อเยี่ยปรากฏอยู่บนใบหน้า แล้วตอบอย่างสบายใจ “หากนางรับของจากข้าง่ายๆ เช่นนั้นนางคงไม่ใช่หลิวเต้าเซียงแล้ว”
จิ้นจงไม่เข้าใจ เห็นได้ชัดว่ามีหนทางสู่ความยิ่งใหญ่ เหตุใดแม่สาวน้อยจึงไม่ยอมรับ
ซูจื่อเยี่ยเข้าใจ เพราะนางคล้ายกับเขาในเื่นี้!
“การเติบโตสําคัญกว่า! เช่นเดียวกับข้า เช่นเดียวกับที่เสด็จแม่สอนข้ามา”
ประสบการณ์ของหลิวเต้าเซียงในหมู่บ้านสามสิบลี้ หากนางย้อนกลับมาดูอาจพบว่านี่คือการขัดเกลา!
สุราดอกเหมยเริ่มเย็นจากความหนาวอันขมขื่น!
เขากล่าวเสริมว่า “เ้าเคยเห็นดอกไม้บนกระถางที่ละเอียดอ่อนแต่สามารถทนต่อน้ำค้างแข็งและลมฝนข้างนอกหรือ?”
บนตัวหลิวเต้าเซียง เขามองเห็นจุดที่เหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงเริ่มจับตาดูนางั้แ่แรก
เื่ช่วยชีวิตเป็เพียงสิ่งเสริม เขา้าดูว่าการเติบโตของนางต้องเผชิญกับอะไรบ้าง นี่คือสิ่งที่น่าดึงดูดใจมากกว่า
เทียบกับนิยายที่รู้ตอนจบ สิ่งนี้ทำให้เืในกายพลุ่งพล่านยิ่งนัก!
จิ้นจงไม่รู้ว่าเ้านายของเขา้าทำอะไร แต่อย่างน้อยเขาก็เข้าใจเื่หนึ่ง นายท่านยังไม่ได้ละความสนใจต่อแม่สาวน้อยคนนั้น เช่นนั้นเขาก็รู้ดีว่าตนเองควรทำงานอย่างไรต่อไป
ตำแหน่งที่ใกล้กับทิศตะวันออก เสียงขับขานดังต่อเนื่อง เห็นทีคงดื่มด่ำสุรารสหอม เคล้าคลอกับเสียงดีดของพิณ
คิ้วของซูจื่อเยี่ยมีรอยย่นเล็กน้อย ก่อนจะสบถออกมาคำหนึ่งว่า “วุ่นวาย!”
จิ้นจงตั้งใจจะไปเตือน แต่ซูจื่อเยี่ยห้ามเขาไว้
“ช่างเถอะ อย่าหาเื่ให้แม่ข้า ท่านผู้นั้นนิสัยโหดร้าย เ้าไม่เข้าใจ”
จิ้นจงพยักหน้าและไม่ยืนกรานที่จะไปด้านหน้าอีก เขารู้สึกว่าท่านอ๋องกับนายท่านของตนเองปกป้องพระสนมได้ดียิ่งนัก
ในเวลานี้จิ้นเซี่ยวเข้ามา เขาถูกแสงจันทร์ที่เยือกเย็นปกคลุม
เขาไม่ได้ระมัดระวังเท่าจิ้นจง อีกทั้งยังถึงขั้นผลีผลาม จากท่าทางการเดินของเขาก็สามารถดูออกได้ เวลาจิ้นจงเดินจะก้าวอย่างสุขุมและมั่นคง ทุกย่างก้าวนั้นมีระยะห่างที่ราวกับใช้ไม้บรรทัดวัด ส่วนจิ้นเซี่ยวจะต่างออกไป เวลาเขาเดินนั้นราวกับว่าบนถนนมีลมพัดตลอด บางทีก็เหมือนมีฝนโปรยปราย
“นายท่าน ข้างหน้าคึกคักยิ่งนัก”
“รื่นเริงเสียจริง”
จิ้นเซี่ยวเอื้อมมือออกมาสะบัดศีรษะ แล้วตอบ “ดูแล้วเหมือนจะคึกคักพ่ะย่ะค่ะ”
เขาใช้คำว่า ‘เหมือนจะ’ มุมปากของซูจื่อเยี่ยก็เผยความเยือกเย็น
“เ้ารีบร้อนเข้ามา มีข่าวดีอันใดหรือ?”
“นายท่านหลักแหลมพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแค่เดินเร็วไปหน่อย นายท่านก็สามารถเดาได้ ทายสิว่าคราวนี้กระหม่อมมีข่าวดีอะไร?”
ซูจื่อเยี่ยไม่ได้เกริ่นถึงเื่ก่อนหน้า จิ้นเซี่ยวก็ไม่เอ่ยอีก
มันเป็กฎ!
นี่คือลักษณะที่บริวารพึงมี
มันคือความจงรักภักดี!
ซูจื่อเยี่ยเลิกหางตาที่คล้ายหงส์ และชำเลืองมองเขา จากนั้นยกจอกแสงจันทร์ขึ้นมาลิ้มรสสุราอยู่อย่างนั้น ความคิดของเขาล่องลอยไปไกล ไม่รู้ว่าแม่สาวน้อยที่อยู่แดนไกลเมื่อเห็นจอกแสงจันทร์จะเบิกตากลมโตดุจเม็ดอัลมอนด์ และอ้าปากเล็กมองดูจอกสุรานี้อย่างตกตะลึงหรือไม่ ในสายตาของนางต้องเปี่ยมไปด้วยความสงสัยเป็แน่
จิ้นเซี่ยวไม่ทราบว่าิญญาของเ้านายได้ท่องออกไปไกล เขาไม่ทันรอให้ซูจื่อเยี่ยได้ตอบ ก็เอ่ยขึ้นมาเอง
“นายท่าน มีข่าวส่งมาจากแดนใต้”
ซูจื่อเยี่ยเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างจริงจังและเป็ทางการมาก
-----
เชิงอรรถ
[1] พวกหมานอี๋ 蛮夷 คือพวกหมานกับพวกอี๋ ซึ่งถือเป็พวกป่าเถื่อนทางใต้
