“องค์หญิงเชียนเชียนมาถึงแล้ว!”
จู้เชียนเชียนเดินมาด้วยกิริยาที่สง่างาม อ่อนโยนนุ่มนวล มีเสน่ห์ดั่งใบหลิว เค้าหน้ามีแววป่วยโรค ทว่าในแววตากลับทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกทะนุถนอมรักใคร่ชนิดหนึ่ง ถึงแม้ในใจจะหม่นหมองหดหู่ แต่กลับยากจะปิดบังความสง่างามของนาง
องค์หญิงเชียนเชียนขมวดคิ้วและเผยรอยยิ้มแต่ละครั้ง ล้วนทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนได้ััสายลมละมุนแห่งฤดูใบไม้ผลิ เนตรนามสอดส่ายเมียงมอง แฝงความทุกข์โศกวิตกกังวล แต่ทุกคนในสถานที่นี้กลับล้วนรู้สึกว่า องค์หญิงเชียนเชียนกำลังชำเลืองมาทางตนพร้อมกับเผยรอยยิ้มน้อยๆ
“เชียนเชียน…”
“เชียนเชียน เ้าไม่อาจแต่งงานกับเขา…”
“เชียนเชียน ข้ารักเ้า…”
“เชียนเชียน เ้ามิอาจทอดทิ้งพวกเรา…”
ทันใดนั้น ในห้องโถงใหญ่เกิดความวุ่นวายจนโกลาหล เสียงโห่ร้องล้วนดังมาจากลูกศิษย์ของแต่ละสำนักนิกายต่างๆ ยังมีบางคนมิอาจควบคุมอารมณ์จนหลั่งน้ำตานองหน้า ้าถลันลุกออกจากที่นั่ง หากมิใช่ถูกบรรพบุรุษผู้เฒ่าของสำนักนิกายพันธนาการไว้ด้วยเขตแดน เกรงว่าในห้องโถงคงจะมีเงาร่างผู้คนบินว่อนเนิ่นนานแล้ว
ดวงตาของจู้เชียนชิวเบิกกว้างจนกลมโตแล้ว นี่คือเื่อันใดกัน ครู่เดียวก็ทำให้เขารู้สึกสับสนวุ่นวายใจ
หญิงสาวที่แม้แต่พลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ก็ฝึกไม่ได้ผู้หนึ่ง กลับสามารถทำให้บรรดาศิษย์อัจฉริยะของสำนักต่างๆ สูญเสียการควบคุมถึงเพียงนี้ เขาพบว่าดูเหมือนตนเองจะประเมินอิทธิพลของผู้เยาว์ในตระกูลคนนี้ต่ำไปเสียแล้ว
บรรดาตัวประหลาดเฒ่าของแต่ละสำนักนิกายก็เคอะเขินเช่นกัน นี่มันเกิดอะไรขึ้น บุตรหลานผู้เยาว์ของตนเอง มีส่วนหนึ่งยังเป็ลูกศิษย์คนโปรดอีกด้วย กลับสูญเสียการควบคุมมากขนาดนี้เพียงเพราะหญิงสาวผู้หนึ่ง
การปรากฏตัวของจู้เชียนเชียน ทำให้บรรพบุรุษผู้เฒ่ารู้สึกสว่างไสววูบขึ้นตรงหน้า แต่เหล่าบรรดาบรรพบุรุษผู้เฒ่าล้วนมีสายตาเฉียบแหลม สามารถมองออกทันทีว่าพลังชีวิตของจู้เชียนเชียนมีข้อบกพร่อง ร่างกายมีอาการป่วยหนัก
หญิงสาวที่ร่างกายป่วยหนักผู้หนึ่ง กลับมีรูปโฉมสง่างามมากถึงขนาดนี้ กิริยามารยาทที่งดงามมากถึงเพียงนี้ ช่างน่าชมเชยยกย่องจริงๆ มิเสียทีที่เป็ธิดาของเ้าเมืองวันสิ้นโลก และเค้าหน้าสะสวยงดงามของนาง เป็ความงามเพียงพอจะล่มเมือง ทลายกำแพงสิ้นชาติได้จริงๆ ความเจ็บป่วยมิเพียงแต่ไม่ลดทอนความงามของนาง กลับเพิ่มความงามอันเศร้าโศกตราตรึงให้นางชนิดหนึ่งด้วยซ้ำ ทำให้ผู้คนรู้สึกรักใคร่เอ็นดูและเสียดายยิ่งขึ้นมิน้อย
“ล่มสลายสรรพชีวิตได้จริงๆ!” มีตัวประหลาดเฒ่าของสำนักรู้สึกทอดถอนสะท้อนใจ
สีหน้าคนตระกูลโหยวดูยากจริงๆ แรกเริ่มก็ไม่สมควรให้ศิษย์สำนักนิกายเหล่านี้เข้ามา ตอนนี้กลับะโโวยวายเช่นนี้ คนตระกูลจู้กระอักกระอ่วนยิ่งนักและสีหน้าคนตระกูลโหยวเขียวคล้ำ
ตามที่พวกเขาพูดมา เป็การสื่อว่าบุตรชายในตระกูลของตนมิคู่ควรกับจู้เชียนเชียนเสียแล้ว สิ่งที่ยิ่งเลยเถิดมากขึ้นก็คือ หลายคนเ่าั้กลับะโต่อหน้าผู้คนจำนวนมากว่ารักจู้เชียนเชียน นี่คือการมาแสดงความยินดีกับผู้เยาว์ของตนที่ได้หมั้นหมายกับองค์หญิงแห่งเมืองวันสิ้นโลกหรือว่าก่อกวนสร้างปัญหากันแน่?
ตระกูลโหยวบันดาลโทสะแต่มิกล้าอาละวาด คนที่ะโโวยวายเ่าั้ถึงแม้ฐานบ่มเพาะไม่สูงมาก แต่ว่าเื้ัแข็งแกร่งยิ่งนัก ไม่สามารถล่วงเกินได้เลยแม้แต่คนเดียว แต่เื่ราวที่เสียหน้าเช่นนี้ทำให้พวกเขาอับอายขายหน้าอย่างยิ่ง
“เ้าเด็กพวกนี้…ปกติฝึกฌานบ่มเพาะอย่างไรกัน จิตใจจึงไม่มั่นคงสงบนิ่งขนาดนี้ กลับไปต้องให้หันหน้าเข้าหากำแพงสำนึกตน!” เริ่มมีบรรพบุรุษผู้เฒ่าสั่งสอนตำหนิศิษย์เ่าั้ที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
นี่เป็เื่ราวที่ทำให้กระอักกระอ่วนเื่หนึ่งจริงๆ บรรพบุรุษผู้เฒ่าเหล่านี้อย่างน้อยก็มีชีวิตอยู่ร่วมหลายร้อยปีแล้ว ไม่เคยเห็นการสารภาพรักอย่างเปิดเผยเช่นนี้มาก่อนเช่นกัน อีกทั้งอยู่ในพิธีหมั้นหมายของผู้อื่นอีกด้วย บรรดาบรรพบุรุษผู้เฒ่าแต่ละสำนักนิกายลอบถอนใจ เป็โชคร้ายของสำนักนิกายจริงๆ! แต่ว่าลูกศิษย์เหล่านี้ในสำนักนิกายล้วนมีภูมิหลังทั้งสิ้น พวกเขาก็ไม่สามารถพูดอะไรมากเช่นกัน
“เชียนเชียนขอขอบคุณสหายแสนดีทุกท่านที่สามารถมาร่วมพิธีหมั้นของเชียนเชียน เชียนเชียนเป็เพียงหญิงสาวที่อ่อนแอผู้หนึ่ง ชะตาชีวิตได้แต่ให้ตระกูลเป็ผู้กำหนด จึงได้ผิดต่อความปรารถนาดีของทุกท่าน เชียนเชียนต้องขออภัยเป็อย่างยิ่ง…”
“ฮือฮา…” ภายในห้องโถงใหญ่วุ่นวายมากยิ่งขึ้นแล้ว
ในคำพูดของจู้เชียนเชียนบอกให้ทราบเป็นัยๆ ว่า เื่การหมั้นหมายของนางล้วนถูกตระกูลกำหนดลงมา มิใช่ความยินยอมของนางเอง พลันศิษย์สำนักนิกายต่างๆ เริ่มโวยวายก่นด่าขึ้นมา
“เชียนเชียน ไม่ต้องหวาดกลัว พวกเราสนับสนุนเ้า ขอเพียงเ้าไม่้าแต่งงาน พวกเราทั้งหมดล้วนจะปกป้องเ้า…อ๊า!” คุณชายที่กระตือรือร้นแสดงออกมากผู้หนึ่งยังพูดมิทันจบ ก็ถูกตบจนล้มลงบนที่นั่ง คนที่ตบเขาก็คือผู้าุโในตระกูลของเขานั่นเอง
“ต้องขออภัยจริงๆ ต้องขออภัยจริงๆ เด็กน้อยไม่ทราบเื่อันใด ไม่ทราบเื่อันใด…” ผู้าุโในตระกูลผู้นั้นรีบขออภัยต่อจู้เชียนชิวและบรรพบุรุษผู้เฒ่าตระกูลโหยว
ในใจรู้สึกเกลียดชังนัก ไอ้หนูน่าตายนี่ ไม่สำรวจดูว่าตัวเองมีน้ำหนักสักเท่าใดบ้าง ยังคิดว่าตระกูลตนเองเป็เหมือนกับสำนักกระบี่ิญญา สำนักิญญาเร้นลับ สำนักิญญา์เช่นนั้นหรือ ตระกูลตนเองยังอ่อนแอกว่าตระกูลโหยวอยู่บ้างด้วยซ้ำ หากว่าล่วงเกินผู้อื่นเข้าจะมีผลสรุปที่ดีอันใดกันเล่า?
“เชียนเชียน เ้ามีความลำบากใจอันใดหรือไม่ เ้าบอกกับพวกเรา พวกเราทั้งหมดจะสนับสนุนเ้า!” มีคนพูดขึ้นอีกแล้ว
คราวนี้ บรรพบุรุษผู้เฒ่าของพวกเขาไม่ได้พูดอะไร กลับยังให้การสนับสนุนอย่างเงียบๆ บรรพบุรุษผู้เฒ่าเหล่านี้รักใคร่เอ็นดูบุตรหลานตนเองมาก พวกเขาเห็นว่าจู้เชียนเชียนยังคงน่ารักถูกใจอย่างยิ่ง ได้ยินมาว่าหญิงสาวผู้นี้มีความสามารถพิเศษรอบรู้อย่างไร้ผู้ทัดเทียม ถึงแม้ร่างกายจะเจ็บป่วย ฝึกพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ไม่ได้ แต่นั่นจะนับเป็อะไรได้เล่า สำนักนิกายของตนแข็งแกร่งมากขนาดนี้ หรือว่ายังต้องให้หญิงสาวผู้หนึ่งออกไปต่อสู้ด้วย? ดังนั้นพวกเขาไม่ขัดข้องที่ผู้เยาว์รุ่นใหม่จะมีการติดต่อเกี่ยวข้องกับเมืองวันสิ้นโลก
“เชียนเชียน พวกเราเคารพการตัดสินใจของเ้าตลอดไป หากทั้งหมดนี้เป็ความสมัครใจของเ้า เช่นนั้นแล้วพวกเราได้แต่อวยพรให้เ้า ทว่าหากมีคนบีบบังคับเ้า ไม่ว่าเขาจะเป็ผู้ใด พวกเราล้วนไม่ปล่อยให้เขาได้ประสบความสำเร็จ!” มีคนร้องะโขึ้นอีกแล้ว
สีหน้าจู้เชียนชิวแปรเปลี่ยนแล้ว นี่คือการตบหน้าอย่างชัดเจน นี่คือการดูแคลนตระกูลจู้แห่งเมืองวันสิ้นโลก เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าผู้เยาว์รุ่นหลังที่เป็ภาระของตระกูลในสายตาของพวกเขาผู้นี้ กลับได้รับการต้อนรับจากศิษย์สำนักนิกายต่างๆ มากมายขนาดนี้ หากทราบเช่นนี้แต่แรก คงใช้จู้เชียนเชียนเป็สะพานเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างสำนักนิกายต่างๆ จะต้องสามารถได้รับประโยชน์ที่คาดคิดไม่ถึงอย่างแน่นอน
ผู้คนเหล่านี้ล้วนเป็อัจฉริยะชั้นยอดในสำนักนิกาย หลายคนที่มีภูมิหลังเป็บรรพบุรุษรุ่นที่สองและบรรพบุรุษรุ่นที่สามลึกซึ้งสูงส่งยิ่งนัก ในอนาคตแต่ละสำนักนิกายยังไม่ใช่อยู่ในการควบคุมของคนพวกนี้หรอกหรือ ถ้าหากสามารถมีความสัมพันธ์อันดีกับคนเหล่านี้ จะต้องมีประโยชน์ต่อเมืองวันสิ้นโลกอย่างมากมายมหาศาลแน่นอน
แต่ว่าเวลานี้ จู้เชียนชิวขุ่นข้องหงุดหงิดแล้ว เขาเลือกต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง กลับสูญเสียป่าไม้ทั้งผืนไปแล้วผืนหนึ่ง แล้วยังผลักดันตัวเองไปอยู่ตรงข้ามกับป่าผืนนั้นอีกด้วย กลายเป็คนเลวในสายตาของเหล่าบรรดาอัจฉริยะทุกคนของสำนักนิกายต่างๆ ไปแล้ว
“อัจฉริยะโดดเด่นแต่ละสำนักนิกายทุกท่าน โปรดฟังเราผู้ชราสักคำ” จู้เชียนชิวรู้สึกว่าตนเองจะต้องกล่าววาจาแล้ว ขืนวุ่นวายเช่นนี้ต่อไป ไม่ทราบว่าจะก่อกวนจนเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง
จู้เชียนชิวเห็นโหยวจือเซวียนยืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ สีหน้าเขียวคล้ำจนแทบจะมีเืออกมาแล้ว ฝ่ามือเขากำเป็หมัดจนแน่น เล็บจิกเกือบจะแทงเข้าไปในเนื้อ ในเวลานี้ถ้าเขาไม่พูดอะไรอีก เกรงว่างานหมั้นครั้งนี้จะกลายเป็เื่ตลกเื่หนึ่งแทน
เสียงของจู้เชียนชิวถูกเปล่งออกมาด้วยพลังจิติญญาแห่งการต่อสู้ มีผลของการคุมจิตและสงบสมาธิ ห้องโถงใหญ่เงียบสงบลงทันใด กล่าวถึงที่สุดแล้วบรรพบุรุษผู้เฒ่าของสำนักนิกายไม่ก่อปัญหาสร้างความเดือดร้อนเหมือนผู้เยาว์ของพวกเขา ไม่ใช้สภาวะพลังมารบกวนแต่อย่างใด นี่คือเื่มงคลของเมืองวันสิ้นโลก พวกผู้เยาว์จะสร้างปัญหาบ้างก็แล้วกันไปเถิด แต่ถ้าพวกเขาก็สอดมือด้วยเช่นกันนั้นก็แตกต่างแล้ว
“วันนี้เป็งานมงคลของผู้เยาว์จู้เชียนเชียนแห่งตระกูลจู้และผู้เยาว์โหยวจือเซวียนแห่งตระกูลโหยว ทุกท่านล้วนเป็บุคคลดีเด่นของสำนักหนึ่ง สามารถปฏิบัติต่อเชียนเชียนด้วยความรักยิ่งเช่นนี้ เราผู้ชราในฐานะบรรพบุรุษผู้เฒ่าของนางรู้สึกเป็เกียรติอย่างสูง แต่เมืองวันสิ้นโลกมีกฎของเมืองวันสิ้นโลก งานในวันนี้ไม่เพียงแค่เป็งานมงคลเท่านั้น ขณะเดียวกันก็เป็หน้าเป็ตาของตระกูลเช่นกัน ดังนั้นความรักของทุกท่าน ข้าสามารถทำได้เพียงแค่แสดงความขอบคุณ กล่าวถึงที่สุดแล้วเชียนเชียนมีเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่สามารถแปลงกายเป็พันเป็หมื่น ในวันนี้ที่เป็วันมหามงคลเช่นนี้ ยังหวังว่าทุกท่านจะสามารถอวยพรให้นาง…”
“แต่ข้าเห็นว่าเชียนเชียนถูกบังคับโดยมิอาจต่อต้าน ต่อให้เป็เื่ของตระกูลพวกท่าน แต่เชียนเชียนก็เป็สหายของพวกเราเช่นกัน พวกเราไม่สามารถปล่อยให้สหายของพวกเราถูกผู้อื่นคุกคามและรังแก” มีคนะโเสียงดัง พวกเขานั่งอยู่ด้านหลังบรรพบุรุษผู้เฒ่า ไม่เกรงกลัวความกดดันของจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์เลยแม้แต่น้อยนิด
“ใช่แล้ว พวกเราจะไม่ปล่อยให้สหายของพวกเราถูกผู้อื่นคุกคามและรังแก” หนึ่งคนพูดนำขึ้นมา จากนั้นหลายคนก็พากันขานรับตาม
“พวกเรา้าพบท่านเ้าเมือง ไฉนวันหมั้นขององค์หญิงเชียนเชียนกลับไม่เห็นท่านเ้าเมืองจู้ ข้าได้ยินว่าท่านเ้าเมืองจู้รักใคร่เอ็นดูองค์หญิงเชียนเชียนมากที่สุด ข้า้าฟังเขาพูดจา…” มีคนะโเสียงดังขึ้นอีกแล้ว
เมื่อวาจาของคนผู้นี้ถูกกล่าวออกมา พลันเกิดความโกลาหลขึ้นมาทันใด เวลานี้ทุกคนจึงได้พบว่าจู้ชิงขวง เ้าเมืองวันสิ้นโลกกลับไม่ได้ปรากฏตัวตลอดมา ในฐานะบิดาขององค์หญิงเชียนเชียน ธิดาของตนเองหมั้นหมายกับผู้อื่นกลับไม่ได้ออกหน้าด้วย จะต้องมีความลับที่มิอาจบอกผู้อื่นอย่างแน่นอน
สีหน้าของจู้เชียนชิวยิ่งดูยากขึ้นแล้ว หันศีรษะมองไปทางมุมห้องโถง เห็นสีหน้าผู้าุโอื่นๆ หลายคนของตระกูลก็ดูหม่นคล้ำเช่นกัน พากันส่ายหน้าให้กับจู้เชียนชิวแต่ไกล
“ขออภัยอย่างยิ่ง ไม่กี่วันก่อนท่านเ้าเมืองกระตือรือร้นฝึกวิชา เกิดธาตุไฟแทรก ร่างกายาเ็สาหัส ถึงแม้จะช่วยเหลือรักษาชีวิตไว้ได้ กลับไม่สามารถขยับตัวได้ ดังนั้นงานมงคลในวันนี้ได้แต่ให้เราผู้ชรามาดำเนินการ…”
“โกหก! เ้าพูดโกหก…”
“พวกเรา้าเห็นท่านเ้าเมือง เื่สำคัญชั่วชีวิตขององค์หญิงเชียนเชียน ไฉนจะไม่ฟังคำสั่งของบุพการีและคำพูดของแม่สื่อ หรือว่าเมืองวันสิ้นโลกจะไม่ทราบขนบธรรมเนียมมากถึงเพียงนี้?”
คำพูดของจู้เชียนชิวกระตุ้นปฏิกิริยารุนแรงของทุกๆ คน คำพูดเช่นนี้ทำให้ผู้อื่นเชื่อถือได้ยาก ด้วยฐานบ่มเพาะจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์ของท่านเ้าเมืองจู้ชิงขวง กลับเกิดธาตุไฟแทรกในเวลาที่ธิดาจะตกแต่งออกเรือน เ้าไฉนไม่บอกว่าขณะจู้ชิงขวงดื่มน้ำกลับสำลักน้ำ ทำให้เสียชีวิตไปเลยเล่า
ไม่เพียงแต่ศิษย์สำนักนิกายไม่เชื่อ กลุ่มอำนาจอื่นๆ ของเมืองวันสิ้นโลกก็ไม่เชื่อเช่นกัน ท่านเ้าเมืองวันสิ้นโลกเกิดธาตุไฟแทรกเป็เื่ใหญ่ขนาดไหน พวกเขาไม่ได้ยินข่าวคราวเลยแม้แต่น้อย เป็ไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด ได้แต่ต้องพูดให้ชัดเจนว่าตระกูลจู้เกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่ ถึงกับทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้นภายในตระกูล สิ่งที่ทำให้ผู้คนไม่เข้าใจก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดเหล่านี้สร้างขึ้นเพื่อสิ่งใด?
คนที่มาในวันนี้ มีหลายคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจู้ชิงขวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีหลายคนเป็เพื่อนที่ดีที่สุดอีกด้วย ยามนี้ได้ยินคำพูดของจู้เชียนชิว ก็ไม่ยอมรับขึ้นมาแล้ว
“บรรพบุรุษผู้เฒ่าเชียนชิว พี่ชิงขวงกับพวกข้าคบหากันเหมือนพี่น้อง ร่างกายเขามีปัญหา พวกข้าสมควรต้องไปเยี่ยมเยียน ยังหวังว่าบรรพบุรุษผู้เฒ่าเชียนชิวให้พวกข้ากับพี่ชิงขวงได้พบหน้ากันสักครั้ง บางทีพวกข้าอาจสามารถช่วยอะไรได้บ้าง” มีคนลุกขึ้นยืนพูดขึ้นมาทันใด
จู้เชียนชิวราวกับศีรษะและคิ้วไหม้เกรียม[1] เื่ราวดำเนินมาไกลมากเกินความคาดหมายของเขา จนสถานการณ์อยู่นอกเหนือการควบคุมแล้ว
“ทุกท่าน ฤกษ์งามยามดีใกล้ถึงแล้ว มิอาจรอคอยต่อไปได้อีก หากมีข้อสงสัยเื่เกี่ยวกับชิงขวง อีกสักครู่หลังจากพิธีหมั้นหมายเสร็จสิ้นแล้ว เราผู้เฒ่าสามารถพาทุกท่านไปได้” จู้ว่านเหนียน พี่ชายจู้เชียนชิวปรากฏตัวออกมาแล้ว
“พี่ว่านเหนียน เมื่อครู่นี้หลานชายข้าได้พูดออกไปแล้ว หากเื่นี้เดิมก็ไม่ใช่ความปรารถนาของคุณหนูเชียนเชียนอยู่แล้ว เขาหวังว่าตระกูลจู้จะสามารถไตร่ตรองขบคิดดูใหม่อีกสักครั้ง หลานชายข้าผู้นี้ก็นับได้ว่าเป็ผู้มีพร์คนหนึ่ง กับคุณหนูเชียนเชียนก็นับได้ว่าเป็บุรุษมากความสามารถกับสตรีงดงามโดดเด่น…” บรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดของสำนักกระบี่ิญญาพูดขึ้นมาทันใด สีหน้าจู้ว่านเหนียนคล้ำจนใกล้จะดำเหมือนก้นหม้อแล้ว คำพูดของบรรพบุรุษผู้เฒ่าสูงสุดทำให้เขาลำบากใจอย่างยิ่ง สายตาอดหันไปทางจู้เชียนเชียนไม่ได้ กล่าวอย่างเฉยชาว่า “เชียนเชียน เ้าบอกเขา เ้าใช่ยินยอมเองหรือไม่?”
สีหน้าจู้เชียนเชียนแปรเปลี่ยน ในสายตามีประกายความเกลียดชังขึ้นวูบหนึ่ง ทำท่าอ้าปากขึ้น เนิ่นนานมิได้กล่าววาจาใดออกมา
“เชียนเชียน รีบบอกทุกคน…”
“บอกกับทุกคนเื่อันใดเล่า? บอกกับทุกคนว่าเหล่าบรรดาตัวประหลาดเฒ่าของตระกูลจู้พวกเ้าช่างไร้ยางอาย ต่ำช้าน่ารังเกียจขนาดไหนหรือ?” เสียงเ็าแฝงความเกียจคร้านเสียงหนึ่งดังจากนอกห้องโถงมาแต่ไกล
“ผู้ใด! ไสหัวออกมา…” จู้ว่านเหนียนโกรธจัดขึ้นมาทันใด
ถึงแม้จะมีจักรพรรดิาศักดิ์สิทธิ์มากมายในห้องโถงใหญ่ แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าอวดดีถึงขนาดนี้ เอ่ยนามระบุแซ่ ก่นด่าและประณามตระกูลจู้อย่างเหยียดหยาม เสียงจากประตูนี้กลับเหมารวมพวกเขาทั้งหมดเข้าไปแล้ว
“เป็จ้านอู๋มิ่ง ท่านปู่ใหญ่ของเ้าอย่างไรเล่า ไอ้เฒ่าอย่างเ้านี่ อย่าได้คิดว่าเสียงดังก็จะสามารถข่มขู่ให้คนใได้ ข้าปู่ใหญ่ไม่ได้เติบโตมาเพราะถูกข่มขู่หรอกนะ” พูดจบ เงาร่างสูงเพรียวสายหนึ่งก็เดินก้าวใหญ่อย่างองอาจและสง่าผ่าเผยเข้ามา ท่วงท่าดูสบายอกสบายใจ ในปากยังคาบหญ้าจิติญญาเก้าปล้องเอาไว้ สีหน้าเหยียดหยาม ไม่อินังขังขอบต่อสรรพสิ่ง
“จ้านอู๋มิ่ง!” มีคนอุทานโพล่งขึ้น
[1] สำนวนถึงไฟลนก้น, กำลังอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่อย่างมาก
