ในหมู่บ้านอึกทึกครึกโครม ‘หลังหวาดกลัวเื่ผี’ กันอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเข้าสู่่ฤดูใบไม้ร่วงใกล้หน้าเก็บเกี่ยวแล้ว ความสนใจของทุกคนจึงเปลี่ยนเป็ห่วงผลผลิตปีนี้กันว่าจะได้ส่วนแบ่งเสบียงเติมท้องมากขึ้นเท่าไร จึงไม่มีใครพูดถึง หรือกลัวเื่ผีสาวหาเ้าบ่าวนี้อีก คนในอำเภอเองก็มาตรวจสอบไปกลับอยู่หลายครั้ง ทว่าไม่พบสิ่งใด จับกระทั่งผู้ต้องสงสัยไม่ได้ แถมยังไม่เกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกันขึ้นอีก เลยมีคนสันนิษฐานว่าการเคลื่อนไหวเอิกเกริกของคนในอำเภอเป็การแหวกหญ้าให้งูตื่นจนสายลับคนนั้นแอบหนีไปแล้ว ดังนั้น คนในอำเภอจึงไม่สนใจเื่นี้อีก
เื่ของเจิ้งเทียนหู่เลยจบลงไปอย่างเงียบเชียบเช่นนี้เอง
เจิ้งเทียนหู่หายเงียบกริบไปนานหลังร่างกายดีขึ้น ไม่รู้เป็เพราะกลัวผีสาวมาเกาะแกะอีก หรือกลัวที่ต้องเผชิญหน้ากับสายตาของชาวบ้านกันแน่ แต่อย่างไรเสีย เขาก็ไม่ออกจากบ้านมาเอ้อระเหยลอยชายนานแล้ว
เมื่อไม่มีเจิ้งเทียนหู่ที่ขวางหูขวางตาโผล่มา เฝิงิเยว่ก็ไม่ต้องออกจากบ้านโดยหายใจไม่ทั่วท้องแบบนั้นอีก นอกจากห่วงเื่น้องสามีปลอมเป็ผีโดนแฉออกมา ชีวิตของเธอก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ความสงบ
เฉินชุ่ยอวิ๋นนอนโรงพยาบาลตลอด ฉะนั้นเลยไม่รู้ว่าลูกสาวตนเองกับลูกสะใภ้ก่อเื่ราวใหญ่โตขึ้น ถึงแม้จะเป็เช่นนั้น แต่ก็ทำให้โรคหัวใจฟื้นตัวดีอย่างยิ่ง เพราะหากเธอรู้เื่ขึ้นมาละก็ คงไม่พ้นกำเริบอีกเป็แน่ ซึ่งคุณหมอบอกเพียงว่าให้ใส่ใจบำรุงสุขภาพ อย่าตื่นใมากเกินไป อาการก็จะไม่กำเริบง่ายๆ อีก และตราบใดที่โรคกำเริบน้อยลง จะอยู่ถึงอายุแปดสิบปีก็ไม่ใช่ปัญหา ดังนั้นเธอเลยใกล้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว
หลังจากรับเฉินชุ่ยอวิ๋นกลับบ้าน เจิ้งหยวนก็เริ่มสรรหาวิธีทำอาหารอร่อยๆ ให้เฉินชุ่ยอวิ๋นทาน ในมิตินอกจากสูตรอาหารลับของพ่อครัวแล้วยังมีหนังสือตำราอาหารพื้นบ้านหลายเล่ม เธอเลยลองเอามาศึกษาดู ฝีมือทำครัวจึงดีวันดีคืน ต่อให้เครื่องปรุงไม่ครบ วัตถุดิบธรรมดาสามัญ เธอก็สามารถดัดแปลงเป็กับข้าวเอร็ดอร่อยเต็มโต๊ะได้ มันยอดเยี่ยมเสียจนเฉินชุ่ยอวิ๋นอดคิดว่าด้วยรสมือของลูกสาวเธอ ต่อให้อารมณ์ร้าย นิสัยแย่แค่ไหน ลูกเขยคงเต็มใจจะทน
เฝิงเจี้ยนเหวินผู้อยู่ไกลถึงกองทัพไม่ทราบความละอายใจเป็ล้นพ้นที่พ่อตากับแม่ยายมีต่อเขา หลังเขาได้รับจดหมายตอบกลับของเจิ้งหยวนรวมถึงเสื้อขนแกะ ความรู้สึกชอบพอในตัวเจิ้งหยวนก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละนิด ทั้งยังคิดว่าคู่หมั้นเขาช่างอ่อนโยนและเอาใจใส่จริงๆ
เขาคลี่เสื้อขนแกะออก เสื้อขนแกะสีเทาเย็บตะเข็บอย่างละเอียดประณีต ลูบแล้วแม้ผ้าไม่หนา หากแต่อ่อนนุ่ม ให้ััที่ดีและอบอุ่นสุดๆ
ขณะที่เขากำลังชื่นชมของขวัญที่ถูกส่งมาอยู่ ข้างนอกก็มีคนเคาะประตู เมื่อหันไปมองก็พบว่าผู้พันหลิวก้าวเข้ามาแล้ว
“โอ้โฮ นี่อะไรน่ะ!” พอผู้พันหลิวได้ยินว่าเ้าเด็กเฝิงเจี้ยนเหวินได้รับพัสดุจากคู่หมั้นก็รีบสาวเท้ามาหาทันที
เขาคิดไว้แล้ว เฝิงเจี้ยนเหวินส่งของให้คู่หมั้นเยอะแยะปานนั้น คู่หมั้นเขาต้องส่งของบางอย่างกลับมาแน่นอน ไม่มีของมีค่า ก็ต้องมีของพื้นเมืองสักหน่อยแหละมั้ง? มีคำพูดที่ว่าคนเห็นมักจะได้ส่วนแบ่ง เขาเลยเสนอหน้ามาดูด้วย นึกไม่ถึง... นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าคู่หมั้นของเฝิงเจี้ยนเหวินจะส่งเสื้อขนแกะให้เขา!
ผู้พันหลิวถือวิสาสะเอื้อมมือไปแตะ “นี่มันเสื้อขนแกะใช่ไหม? ฉันเคยเห็นผู้การใส่!”
เฝิงเจี้ยนเหวินทำหน้าภาคภูมิใจ เอ่ยอย่างปลาบปลื้ม “ใช่ครับ”
“สุดยอด มันแพงมากเลยนะ!” ผู้พันหลิวอิจฉามาก ใส่เ้าตัวนี้ไม่เพียงกันหนาวเท่านั้น ยังแสดงถึงฐานะด้วย คนธรรมดาย่อมไม่อาจเอื้อมถึงมันอยู่แล้ว “เหลือเชื่อเลยเจี้ยนเหวิน คู่หมั้นสาวที่ยังไม่แต่งเข้าบ้านนายดีกับนายจริงๆ”
เฝิงเจี้ยนเหวินรู้เช่นกันว่าเสื้อขนแกะหายากมากเพียงใด สินค้าประเภทนี้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ล้วนถูกส่งออก มีแค่จำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่เก็บไว้ในประเทศ แล้วยังต้องซื้อด้วยคูปองเงินตราต่างประเทศจาก Friendship mall [1] หรือโรงแรมรับรองชาวต่างชาติบริเวณสถานทูตเท่านั้น เฝิงเจี้ยนเหวินคิด เจิ้งหยวนหามันมาได้ไม่รู้ต้องจ่ายเงินเท่าไร ใช้ความพยายามมากขนาดไหน คงไม่ได้ใช้เงินที่เขาส่งไปทั้งหมดจนเกลี้ยงแล้วหรอกนะ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ใจเขาทั้งหวานซาบซ่าน แต่ก็กังวลเล็กน้อย ว่าที่ภรรยาคนนี้ซื่อตรงเกินไปแล้ว เขาให้เงินเธอไปซื้อของให้ตัวเอง ทำไมเธอยังซื้อเสื้อแพงขนาดนี้ให้เขาอีก? ต้องควักเงินเก็บส่วนตัวไปไม่น้อยแน่?
ไม่ได้ เขาต้องส่งให้เธอเพิ่ม
ในขณะที่เฝิงเจี้ยนเหวินตกอยู่ในห้วงความคิดตัวเอง ผู้พันหลิวพลันโพล่งขึ้นก่อน “นายถืออยู่ทำไม รีบใส่ดูสิ ลองเร็วเข้า”
อากาศตอนนี้ยังร้อนอยู่ ตัวเฝิงเจี้ยนเหวินก็มีเหงื่อซึม เขาเลยใส่ไม่ค่อยลง กลัวใส่แล้วจะทำมันเลอะ แต่เมื่อถูกผู้พันหลิวคะยั้นคะยอ ใจเขาพลันฮึกเหิมขึ้นมาเล็กน้อย จึงสวมมันทับเสื้อเชิ้ตตัวเอง
เสื้อขนแกะเป็ทรงรัดรูป โชคดีที่มีมันยืดหยุ่นได้ตามขนาดตัว ถึงเฝิงเจี้ยนเหวินใส่แล้วจะรู้สึกรัดไปหน่อย แต่ผู้พันหลิวกลับเอ่ยว่า “ไม่เลวๆ พอดีเป๊ะเลย!”
เฝิงเจี้ยนเหวินก้มลงมอง ดึงเสื้อเชิ้ตข้างในให้เรียบแล้วเอ่ยว่า “ทำไมฉันรู้สึกว่ามันเล็กไปหน่อยล่ะ?”
ผู้พันหลิวส่ายศีรษะ “เล็กตรงไหน ไม่เล็ก! พอดีมากต่างหาก ใส่ไว้ข้างในแนบตัว่หน้าหนาวมันจะอุ่น แถมตัวนายสูงใหญ่เสียขนาดนี้ ซื้อเสื้อในตลาดได้ก็ไม่เลวแล้ว ฉันว่าคู่หมั้นนายคงซื้อไซซ์ใหญ่สุดแล้วละ”
“ก็จริงครับ” เฝิงเจี้ยนเหวินเอ่ยอย่างมีความสุข เขาตัวสูงตั้ง 188 เิเ แล้วยังฝึกฝนจนกล้ามเนื้อแข็งปึกไปทั้งตัว รูปร่างย่อมใหญ่กว่าคนทั่วไป หากเมื่อใดที่กองทัพแจกเสื้อผ้า เขาก็ต้องขอไซซ์ใหญ่สุดเสมอ
ในไม่ช้า เจิ้งหยวนก็ได้รับจดหมายฉบับที่สามจากเฝิงเจี้ยนเหวิน
ข้อความในจดหมายฉบับนี้สนิทสนมกว่าสองฉบับก่อนอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยก็ไม่ใช่คำสุภาพอย่าง ‘คุณ’ อีก ส่วนสำนวนมีความเป็ภาษาพูดมากขึ้น
ถึง สหายเจิ้งหยวน
สวัสดี
ดีใจอย่างยิ่งที่ได้รับเสื้อขนแกะจากเธอ เสื้อขนแกะดูดีและใส่พอดีตัวมาก เพียงแต่ของขวัญชิ้นนี้มีมูลค่าเกินไป ฉันดีใจและกังวลไปพร้อมๆ กันตอนลองใส่ เพราะรู้ว่าเธอต้องใช้เงินและความพยายามมากมายแค่ไหนถึงจะซื้อเสื้อตัวนี้ได้ พวกเราล้วนเกิดในครอบครัวยากจนธรรมดาๆ ไม่จำเป็ต้องแสดงน้ำใจด้วยของขวัญมีราคาหรอก ฉะนั้นคราวหน้าอย่าซื้อของแพงขนาดนี้ให้ฉันเลย
ฉันส่งเงินหนึ่งร้อยหยวน รวมทั้งคูปองผ้า คูปองอุตสาหกรรมและคูปองข้าวนิดหน่อยไปให้เธอ หากเธอมีของที่ชอบก็ซื้อมาใช้นะ ถ้าใช้หมดแล้วส่งจดหมายมาขอฉัน ฉันจะส่งไปให้อีก แม้พวกเราจะยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่ฉันยื่นขออนุญาตแต่งงานกับหัวหน้าไปแล้ว พอกลับบ้านปลายปี พวกเราจะได้ไปรับทะเบียนสมรสที่คอมมูนประชาชนเป็ครอบครัวเดียวกัน และเมื่อเป็ครอบครัวเดียวกัน ระหว่างเธอกับฉันก็ไม่ต้องเกรงใจอีกต่อไป ขาดเหลืออะไรสามารถบอกฉันได้เลย
อายุฉันมากกว่าเธอมากแล้วยังอยู่ในกองทัพหลายปี ไม่ค่อยได้ติดต่อกับเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเธอนัก เลยไม่รู้ว่าต้องเข้าหาเธอยังไง และไม่รู้จะเขียนสิ่งใดลงในจดหมาย หวังว่าเธอจะไม่ถือสาคนพูดน้อยแบบฉัน
สุดท้ายนี้ ฝากความคิดถึงไปให้พ่อตาแม่ยายแทนฉันด้วย ขอให้พวกท่านสุขภาพแข็งแรง และจะเฝ้ารอพบเธอ่ปลายปี
ลงนามท้ายจดหมาย เฝิงเจี้ยนเหวิน
สายตาของเจิ้งหยวนหยุดนิ่งตรงประโยคสุดท้ายของจดหมาย เธอหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมรอยยิ้มที่ประดับในแววตา เธอนึกไม่ถึงเลยว่าเฝิงเจี้ยนเหวินจะเขียนทิ้งท้ายให้เธอเช่นนี้ เฝ้ารอพบเธอ่ปลายปี... เกือบจะเรียกว่าเป็ประโยคพลอดรักแล้ว
ผู้คนยุคสมัยนี้มักใช้คำสละสลวยเขียนจดหมาย มักจะไม่เขียนว่าชอบคุณ หรือรักคุณนะมาอย่างโจ่งแจ้ง ฉะนั้นผู้ชายหน้าเหม็นที่ฝังกายอยู่ในกองทัพแรมปีอย่างเฝิงเจี้ยนเหวิน แต่สามารถเขียนออกมาอ่อนหวานนุ่มนวลขนาดนี้ได้ จึงทำให้เจิ้งหยวนประหลาดใจมากจริงๆ ด้วยเหตุนี้ในหัวจึงอดจินตนาการภาพชายฉกรรจ์ที่ภายนอกแข็งกระด้าง แต่จิตใจกลับละเอียดอ่อนคนหนึ่งขึ้นมาไม่ได้ ซึ่งเอาจริงๆ มันก็ชวนให้หวั่นไหวประมาณหนึ่งเลยละ
มิหนำซ้ำผู้ชายคนนี้ยังส่งเงินร้อยหยวนมาให้เธออีก เธอหยิบมัดธนบัตรนับดูมีสิบใบไม่ขาดไม่เกินพอดี ก็ยิ่งปลื้มใจกว่าเดิม เฝิงเจี้ยนเหวินอย่างอื่นอย่าเพิ่งไปพูดถึง ทว่ากับภรรยา ไม่สิ กับว่าที่ภรรยาค่อนข้างใจกว้างเลยทีเดียว เขาไม่กลัวเธอชิ่งเงินเขาหนีสักนิด
ถึงกระนั้น แม้ชายที่เต็มใจให้เงินภรรยาจะไม่ตรงรสนิยม ‘หนุ่มดอกไม้’ ของเจิ้งหยวนสักเท่าไร เธอก็ยินดีจะรับไว้
เฉินชุ่ยอวิ๋นที่อุ้มหลานตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนเดินผ่านหน้าห้องของเธอ และเห็นมัดธนบัตรใหญ่ในมือเจิ้งหยวนอย่างพอดิบพอดี ฝีเท้าพลันฝืดเคืองทันทีแล้วเปลี่ยนทิศทางหมุนตัวเข้าไปในห้องแทน เธอเผยสีหน้ายากจะอธิบายออกมา “ทำไมเจี้ยนเหวินส่งเงินให้เธออีกแล้วล่ะ?”
เจิ้งหยวนสะบัดเงินในมือ พร้อมเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “สิบใบ ตั้งหนึ่งร้อยหยวนแน่ะค่ะ”
เฉินชุ่ยอวิ๋นหมดคำจะพูดกับบุตรสาวเธอเสียจริง
เชิงอรรถ
[1] Friendship mall หมายถึง แบรนด์ร้านค้าของรัฐในจีนแผ่นดินใหญ่ก่อตั้งเมื่อปี 1956 เนื่องจาก่แรกๆ ให้บริการเพียงแขกต่างชาติ นักการทูต และข้าราชการคนอื่นๆ เท่านั้น จึงจำหน่ายสินค้ายุโรปและอเมริกาคุณภาพสูงประเภทต่างๆ ที่จัดหามาอย่างพิเศษ และมักจะขาดตลาด ด้วยเหตุนี้ครั้งหนึ่งที่นี่เลยเคยเป็สัญลักษณ์ของ “ชนชั้นผู้มีเอกสิทธิ์” หลังจากปี 1990 เป็ต้นไป Friendship mall หลายแห่งได้เปลี่ยนรูปแบบเป็ห้างสรรพสินค้าทั่วไปและเปิดให้ประชาชนใช้บริการได้ ไม่ต่างจากห้างสรรพสินค้าระดับไฮเอนด์แบรนด์อื่น
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้