หนีจวิ้นหว่านและหลิวอวี้กลับมาในยามเย็น
ผู้เป็นายนั่งอยู่บนเก้าอี้ ใช้นิ้วเคาะโต๊ะ จนบรรยากาศโดยรอบเริ่มตึงเครียดอย่างไม่รู้ตัว “ผงพิษสีน้ำตาลจำเป็ต้องสูดดม ส่วนยาพิษสีขาวใช้ผสมอาหาร ถ้าผสมพิษทั้งสองเข้าด้วยกัน มันก็จะร้ายแรงยิ่งขึ้น ดังนั้นต้องคิดให้ดีว่าจะใช้อย่างไร”
สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้าง หลุบตาลง มือชื้นเหงื่อ หลังครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ก็รู้ว่าตนคงไม่อาจทำอะไรได้ แต่หากไม่ตอบ เกรงว่าคุณหนูจะบันดาลโทสะและลงโทษนาง จึงเอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม “คุณหนูเ้าคะ ข้าคิดอะไรไม่ออกเลยเ้าค่ะ แล้วแต่คุณหนูเถิด”
หนีจวิ้นหว่านตบโต๊ะดังปัง พลางกล่าวเสียงเกรี้ยว “ท่านแม่ของข้ายังโดนกักบริเวณอยู่ นอกจากเ้าแล้ว จะมีใครออกหน้าอีก หรือจะให้ข้ากรอกยาพิษเ้าแทน”
หลิวอวี้ตัวสั่นสะท้าน หวาดกลัวจนหลังเปียกชุ่ม ใจเต้นรัว แต่ก็ยังพูดขึ้นว่า “คุณหนู มิใช่ว่าคุณชายสวีคิดจะมอบภาพวาดให้เป็ของขวัญวันเกิดเว่ยอี๋เหนียงหรอกหรือเ้าคะ? เช่นนั้น แทนที่จะใส่ยาพิษลงในอาหาร เราใส่ผงพิษสีน้ำตาลลงไปในหมึกวาดภาพของคุณชายสวี ดีหรือไม่เ้าคะ?”
หลังจากใคร่ครวญอยู่สักพัก หนีจวิ้นหว่านรู้สึกว่าวิธีนี้ค่อนข้างใช้ได้ “เป็ความคิดที่ดี ข้าจะตกรางวัลให้เ้า”
“ขอบพระคุณเ้าค่ะ” หลิวอวี้โค้งคำนับ ปิดประตู เช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก และผละจากไปอย่างรวดเร็ว
...
ในเช้าวันถัดมา
หนีจวิ้นหว่านซ่อนยาพิษไว้ในแขนเสื้อ และเดินทางไปที่จวนเสนาบดีสวี โดยใช้ข้ออ้างว่าเป็ตัวแทนบิดา มาขอบคุณท่านลุงท่านป้าที่มอบของขวัญให้
หลังจากสนทนากับนายท่านและนายหญิงสกุลสวี หญิงสาวจึงไปพบสวีอี๋เหนียง มารดาผู้ให้กำเนิดสวีเพ่ยหราน แค่พูดประจบไม่กี่คำ อีกฝ่ายก็เสนอตัวช่วยสร้างโอกาส เพื่อให้นางกับสวีเพ่ยหรานได้อยู่ตามลำพัง
หนีจวิ้นหว่านทำทีเป็เอียงอาย คล้องแขนสวีอี๋เหนียงไปพบชายหนุ่ม ที่ยังคงหมกมุ่นอยู่กับการวาดภาพไม่ห่างหาย
ใบหน้าของสวีอี๋เหนียงเต็มไปด้วยความเมตตา “พวกเ้าทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน ย่อมจะรู้จักกันดี อย่าให้ความเข้าใจผิด มาทำให้ความสัมพันธ์ต้องสั่นคลอน อย่าได้โทษว่าเป็ความผิดของหว่านเอ๋อร์เลยนะ”
กล่าวจบ นางก็ขยิบตาให้หนีจวิ้นเอ๋อร์ ก่อนลูบหน้าผาก แสร้งทำทีเป็ไม่สบาย “โอ้... ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายนัก ขอตัวไปพักสักหน่อย”
พอส่งสวีซื่อแล้ว หญิงสาวก็ค่อยๆ เดินเข้าไปหาสวีเพ่ยหราน ราวกับเด็กน้อยที่โดนจับได้ว่ากระทำความผิด “ท่านพี่หราน ข้าขอโทษ”
ชายหนุ่มหันไปมองใบหน้าคลอน้ำตาของนาง ก่อนขมวดคิ้วมุ่น อดสงสารมิได้ “ช่างเถอะ มิใช่ความผิดของเ้า อย่าร้องไห้เลย”
“เช่นนั้น ท่านพี่หราน ข้าช่วยฝนหมึกให้ท่าน ดีหรือไม่?” หนีจวิ้นหว่านกล่าว พลางเม้มปากแน่น แล้วคว้าแท่งหมึกมาด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม ก่อนฝนหมึกอย่างเบามือ
พอเห็นสวีเพ่ยหรานกำลังจดจ่ออยู่กับการวาดภาพ หญิงสาวก็แอบโรยผงยาที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อลงไปในน้ำหมึก
…
อีกด้านหนึ่ง
โจวชิงหวาได้เชิญหนีเจียเอ๋อร์ ซึ่งมีความสามารถในด้านการเขียนอักษร มาช่วยเหลือตน
ขณะที่ทั้งสองเดินออกมาจากลานกว้าง หญิงสาวก็พูดกลั้วหัวเราะ “แม้แต่คุณชายโจว ผู้เก่งกาจไปเสียทุกอย่าง ก็ยังต้องมาขอความช่วยเหลือจากข้าหรือนี่?”
ชายหนุ่มปัดกิ่งไม้เหนือศีรษะหญิงสาว ดวงตาคมจับจ้องไปยังสตรีข้างกายไม่วางตา “เคยมีใครบางคนกล่าวเอาไว้ ว่าอย่าปฏิเสธความปรารถนาดีของผู้อื่น”
ไม่นานนัก รถม้าก็มาถึง “คุณหนูรอง เชิญขอรับ” เขากล่าว พลางยื่นมือออกไป หมายจะช่วยหญิงสาว
“ขอบคุณ คุณชายโจว” หนีเจียเอ๋อร์ยกยิ้มบางๆ ก่อนยกชายกระโปรง ก้าวขึ้นเก้าอี้เตี้ยไปยังรถม้า โดยไม่พึ่งพาความช่วยเหลือของอีกฝ่าย
ยังไม่ทันนั่ง บุรุษชุดดำก็ชิงเข้ามาแย่งพื้นที่ส่วนใหญ่ของเก้าอี้ไปเสียก่อน เขาตบที่ว่างแคบๆ ข้างตัว ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “มานั่งตรงนี้สิ”
หนีเจียเอ๋อร์กลอกตา พยายามผลักไสชายหนุ่มให้ออกไปจากรถม้าของตน
พลั่ก!
“ว้าย!”
รถม้าสั่นะเืเล็กน้อย หญิงสาวเสียหลักกำลังจะล้มลง โจวชิงหวาจึงอ้าแขนรับนางไว้ทันที
“เอ่อ...” หนีเจียเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่ม พยายามที่จะขืนตัวลุกขึ้น แต่รถม้าก็สั่นะเืจนนางไม่อาจทรงตัวได้
ใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำด้วยความขัดเขิน รีบลุกขึ้นนั่งตัวตรง พลางมองไปยังชายหนุ่มที่นั่งยิ้มแป้นอยู่ข้างๆ อย่างคาดโทษ “เห็นข้าเสียหลัก แทนที่จะช่วยพยุงขึ้น กลับปล่อยให้นอนเสียอย่างนั้น คิดจะทำอะไรกันแน่?”
กลิ่นกายสาวยังคงติดอยู่ที่ปลายจมูก โจวชิงหวาฉีกยิ้ม แล้วตอบว่า “เป็เ้าที่ฉวยโอกาสชัดๆ ไฉนจึงกลายเป็ความผิดของข้าไปได้?”
“ฮึ่ม... ไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับเ้าแล้ว!”
กล่าวจบ หนีเจียเอ๋อร์ก็สะบัดหน้าหนี แสร้งทำเป็หลับตาพักผ่อน สักพัก ก็รู้สึกคันที่ปลายจมูก เมื่อลืมตาขึ้นมา ก็พบว่าโจวชิงหวากำลังใช้เส้นผมปัดปลายจมูกของนาง “ไม่แกล้งสักวัน จะตายหรือไร?”
ชาติที่แล้ว เมื่อรู้ว่านางจะแต่งงานกับสวีเพ่ยหราน คนผู้นี้ก็ไม่มาให้เห็นหน้าอีกเลย และนี่ก็ถือเป็ครั้งแรก ที่หญิงสาวมาเยือนจวนของเขา
พบว่ามีอาณาบริเวณไม่เล็กไปกว่าจวนของตนเลย ทั้งยังตกแต่งอย่างประณีตเป็ทางการ ต่างจากนิสัยโจวชิงหวา ที่ออกจะติดไปทางขี้เล่นโดยสิ้นเชิง
เช่นเดียวกับยามที่วาดภาพเขียนอักษร ท่าทีของเขาช่างดูสุขุม สง่างามสมชาย ข้อมือตวัดพู่กันพลิ้วไหวดั่งสายน้ำ ไม่นาน บนหน้ากระดาษก็ปรากฏภาพดอกท้อซึ่งเหมือนจริงยิ่งนัก
“สวยหรือไม่?” ชายหนุ่มถาม
“สวย” หนีเจียเอ๋อร์พยักหน้า ชื่นชมอย่างจริงใจ
ฝีมือการวาดภาพของเขา หาได้ด้อยไปกว่าสวีเพ่ยหราน ผู้เป็ที่ยอมรับ ในฐานะอัจฉริยบุคคลแห่งแคว้นฉีหลาน
แน่นอนว่าเื่นี้ ย่อมเป็ที่ประจักษ์ของทุกคนอยู่แล้ว
โจวชิงหวาหยุดพู่กันในมือ ก่อนเอนกายลงมาพิงหนีเจียเอ๋อร์ “ข้าอยากจะให้ดูดีที่สุด ในสายตาเ้า”
คำพูดนี้หมายถึงตัวเขา มิใช่ภาพวาด
“เช่นนั้นก็ทำแบบนี้ เ้าจะดูดีเหนือผู้ใด” นางว่า พลางใช้ปลายพู่กันจิ้มลงไปบนปลายจมูกของชายหนุ่ม แล้ววิ่งหนี
“จะหนีไปไหน?” โจวชิงหวาไล่ตามไปทันที
ทั้งสองวิ่งไล่จับกันไปทั่วจวน จนกระทั่งหนีเจียเอ๋อร์ต้องยกมือขึ้นยอมแพ้ “ยอมแล้ว ข้ายอมแล้ว” นางพูด พลางหอบหายใจ
ชายหนุ่มรีบกระโจนเข้าใส่ทันที “คิดว่าข้าจะปล่อยไปง่ายๆ หรือ? เ้าหนีไม่รอดหรอก!”
โจวชิงหวาคว้าตัวหญิงสาวไว้ บังคับให้นั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนละเลงพู่กันลงบนใบหน้าของนาง
ผ่านไปพักใหญ่ บ่าวรับใช้ก็เดินเข้ามาพร้อมอ่างล้างหน้า หนีเจียเอ๋อร์มองสภาพตัวเอง แล้วจ้องชายหนุ่มอย่างคาดโทษ “เ้าเป็ชายชาติทหาร แต่กลับกล้ารังแกสตรีบอบบางเช่นข้า นิสัยไม่ดี!”
แต่โจวชิงหวากลับเอ่ยเสียงยียวน “หากเ้าไม่รังแกข้าก่อน ข้าหรือจะรังแกเ้า?”
และแล้ว การโต้เถียงก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง...
หลังจากเก็บของ ล้างหน้าล้างตาเสร็จ โจวชิงหวาก็พาหญิงสาวมารับประทานอาหารที่ร้านในละแวกนั้น ก่อนส่งอีกฝ่ายกลับจวนไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้