“บัดนี้ซือคงเสวียนและเย่เฟิงต่างก็เก็บคะแนนได้ 3 แต้ม และไม่พ่ายแพ้เลยสักครั้ง ดังนั้นทั้งสองคนจะต้องตัดสินในศึกตัดสินสุดท้าย แต่ศึกตัดสินจะดำเนินต่อในวันพรุ่งนี้เวลาเที่ยง เชิญทุกท่านแยกย้ายกลับไปพักผ่อนได้!”
บนอัฒจันทร์หลัก ขุนนางผู้ดำเนินการลุกขึ้นจากที่นั่ง ก่อนจะประกาศเช่นนั้นให้ผู้คนด้านล่างทราบ ทำให้ผู้คนนิ่งงันไปชั่วขณะ จากนั้นผู้คนที่อยู่ในสนามฝึกเริ่มแยกย้ายกันไป และรอมาเป็ประจักษ์พยานในศึกตัดสินสุดท้ายที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้เวลาเที่ยง
เนื่องจากมีผู้ฝึกยุทธ์เข้าร่วมการประลองยุทธ์เลือกคู่ในครั้งนี้จำนวนมาก ทางราชวงศ์จ้าวจึงตระเตรียมสถานที่พักผ่อนชั่วคราวให้ทุกคนโดยเฉพาะ
ระยะเวลาหนึ่งคืน เย่เฟิงไม่ได้กลับไปยังสำนักยุทธ์เทียนเสวียน แต่พักในสถานที่ที่ทางราชวงศ์เสนอให้ ซึ่งตอนที่เย่เฟิงจะเข้าสู่การบำเพ็ญตบะ กลับถูกองค์าาจ้าวเรียกเข้าพบเสียก่อน
ภายในตำหนักใหญ่อันโอ่อ่าแห่งหนึ่ง องค์าาจ้าวนั่งอยู่บนบัลลังก์ั เมื่อเขาเห็นเย่เฟิงมาถึง จากดวงตาที่ปิดลงเล็กน้อยก็ลืมขึ้นอย่างฉับพลัน
“มาแล้วหรือ!” องค์าากล่าว
“พ่ะย่ะค่ะ!” เย่เฟิงตอบรับก่อนจะเอ่ยถามว่า “องค์าาเรียกข้ามามีเื่อันใดหรือ?”
“ความสามารถของเ้าทำให้ข้าใมาก สำหรับศึกตัดสินในวันพรุ่งนี้ เ้ามีความมั่นใจสักเท่าไร?” องค์าาเดินลงมาจากบัลลังก์ั ก่อนจะเอ่ยถามเย่เฟิงเช่นนั้น
“สิบส่วน!” เย่เฟิงตอบกลับอย่างไม่ลังเลใด ๆ
“สิบส่วน?”
องค์าาได้ยินคำตอบของเย่เฟิงก็อึ้งนิ่งไป “ซือคงเสวียนจะเปรียบเทียบกับคนอื่นไม่ได้ เขาคืออัจฉริยะจากสำนักชิงอวิ๋น อีกอย่างตบะของเขาก็สูงกว่าเ้าตั้งหกขั้น หรือเ้าเชื่อมั่นในฝีมือของตนเอง?”
“หากคนคนหนึ่งไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง เช่นนั้นคนคนนั้นก็ย่อมไม่มีทางประสบความสำเร็จ” เย่เฟิงกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉยพร้อมดวงตาเผยประกายแสงแห่งความเชื่อมั่น
“พูดได้ดี!”
องค์าาได้ยินเช่นนั้นก็อดชื่นชมเย่เฟิงไม่ได้ จากนั้นพูดต่อไปว่า “ข้าไม่อยากให้เ้าชะล่าใจ ยังไงซือคงเสวียนก็ไม่ใช่คนที่จะต่อกรได้ง่าย ๆ ข้าหวังว่าเ้าจะได้เป็คู่ชีวิตอีกครึ่งของซินอี๋”
“ไปเถิด ซินอี๋น่าจะรออยู่ที่นอกตำหนักแล้ว”
องค์าาพูดประโยคเ่าั้จบ เขาก็กล่าวเช่นนั้นพร้อมโบกมือไปมาให้เย่เฟิง พร้อมสีหน้าแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชม
“เช่นนั้นข้าขอตัวลาพ่ะย่ะค่ะ!” เย่เฟิงกล่าวพร้อมคำนับองค์าา ก่อนจะเดินออกไปจากตำหนัก
ท้องฟ้าในตอนนี้ใกล้จะมืดสนิท ดวงจันทร์ลอยขึ้นสูงพร้อมแสงจันทร์สีขาวนวลสาดส่องกระทบผืนน้ำทะเลสาบเขียวขจี เห็นชัดว่าเป็สถานที่สงบเงียบทั้งยังมีสะพานเล็กข้ามน้ำ ศาลาหลายหลังตั้งตระหง่านราวกับภาพวาดอย่างไรอย่างนั้น
บนสะพานเล็กไม่ไกลออกไป มีหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งอยู่บนนั้น ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา ทำให้หญิงสาวสวยงดงามยิ่งกว่าเดิมประหนึ่งเทพธิดาก็ไม่ปาน
ขณะที่เย่เฟิงมองเงาร่างอันงดงามของหญิงสาว ดวงตาของเขาก็เป็ประกายขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว จากนั้นเดินไปหญิงสาวพร้อมใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
“เ้ามาแล้ว”
เมื่อจ้าวซินอี๋เห็นเย่เฟิงมาถึงก็เงยหน้าขึ้นช้า ๆ พร้อมกับเผยรอยยิ้มอันงดงามดุจภาพวาด ดูไปแล้วก็ช่างสวยงามอย่างเป็ธรรมชาติและแฝงไปด้วยความสูงศักดิ์ แล้วขณะนั้นนางก็กำลังนั่งแช่เท้าอยู่ในน้ำ
“อืม” เย่เฟิงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเขาจับมืออีกฝ่าย เมื่อจ้าวซินอี๋เห็นการกระทำอันอาจหาญของเย่เฟิงก็ขัดขืนเล็กน้อย ทว่าเย่เฟิงกลับไม่ปล่อยไปง่าย ๆ เขายังคงจับมือนางไว้แน่น นางจึงปล่อยให้เย่เฟิงกุมมือไว้เช่นนั้น โดยที่ดวงตางดงามคู่นั้นมองไปยังเย่เฟิง
“เ้ารอข้าอยู่ที่นี่นานแล้วหรือ?” เย่เฟิงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ใช่” จ้าวซินอี๋ตอบกลับพร้อมหน้าแดงระเรื่อจาง ๆ และเม้มปากเบา ๆ ดูไปแล้วช่างยั่วยวนจนทำให้ใครที่เห็นก็อดใจไม่ไหว
“พรุ่งนี้เ้าต้องเอาชนะซือคงเสวียนให้ได้!”
ทั้งสองคนสบตากัน ผ่านมาสักพักจ้าวซินอี๋ก็เอ่ยออกมาเช่นนั้น พร้อมดวงตาเผยประกายความคาดหวัง
“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าเย่เฟิงต้องเป็ราชบุตรเขย แล้วแต่งงานกับเ้า” เย่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมลูบศีรษะจ้าวซินอี๋อย่างเบามือ
“ใครบอกว่าข้าจะแต่งกับเ้า?” จ้าวซินอี๋ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าแดงกว่าเดิมราวกับผลผิงกั๋ว[1]ที่สุกงอมก็ไม่ปาน
“ในเมื่อเ้าไม่อยากแต่งกับข้า งั้นข้าไปแล้วนะ” เย่เฟิงกล่าว พอพูดจบก็หันหลังจะเดินออกไป
“เ้า... หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
จ้าวซินอี๋เห็นเย่เฟิงทำท่าจะไปจริง ๆ ก็เกิดร้อนใจ ก่อนจะกระทืบเท้าด้วยความโมโห
“แต่งก็ไม่ได้แต่ง ทั้งยังไม่ให้ไปอีก เ้าอยากจะทำอะไรกันแน่?” เย่เฟิงหันหน้ากลับมาก่อนจะเอ่ยถามด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
“ตาบื้ออย่างเ้านี่ช่างร้ายจริงเชียว ข้าไม่สนใจเ้าแล้ว!”
จ้าวซินอี๋เผชิญหน้ากับความสงสัยของเย่เฟิง ถึงกับทำให้นางไม่มีคำพูดใดจะกล่าว จึงหันหน้าหนีไปอีกทางโดยไม่สนใจเย่เฟิงแม้แต่น้อย
ขณะที่เย่เฟิงมองแผ่นหลังอันอ่อนช้อยงดงามของจ้าวซินอี๋ เขาก็ดึงเอวบางกิ่วนั้นมาโอบกอดทันที พลันััถึงความนุ่มนวลของผิวนาง ทั้งยังส่งกลิ่นอายอันหอมหวนที่ชวนให้คนหลงใหลลอยเข้ามาในจมูกของเย่เฟิง ทำให้รู้สึกสดชื่นเป็อย่างมาก ซึ่งเย่เฟิงรับรู้ได้ว่าร่างบางของจ้าวซินอี๋กำลังสั่นระริก และค่อนข้างเกร็งเล็กน้อย
นี่เป็ครั้งแรกของจ้าวซินอี๋ที่ถูกผู้ชายโอบกอดในระยะใกล้ชิดเช่นนี้ ทำให้หัวใจของนางต้องเต้นเร็วกว่าปกติอย่างไม่รู้ตัว ราวกับว่ามีกวางน้อยกำลังไล่ขวิดอยู่อย่างไรอย่างนั้น
เมื่อโอบกอดกันเช่นนั้น ทั้งสองจึงรับรู้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายของกันและกัน ชายหญิงอยู่ภายใต้แสงจันทร์ยามค่ำคืน ดูแล้วช่างงดงามเป็อย่างยิ่ง แต่หลังจากวันพรุ่งนี้ไป ความงดงามเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าจะยืดยาวต่อไปได้อีกหรือไม่
วันรุ่งขึ้น่เที่ยงวัน สนามฝึกราชวงศ์เนืองแน่นไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ซึ่งเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่มาจากกองกำลังต่าง ๆ ของแดนชิงอวิ๋นที่มารวมตัวกันที่นี่
หลังจากผ่านมาหนึ่งวัน เื่ที่เย่เฟิงเอาชนะคู่ต่อสู้ในการประลองยุทธ์เลือกคู่ก็แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว ทำให้เมืองหลวงอาณาจักรจ้าวต้องสั่นะเือีกครั้ง และมีหลายคนรู้สึกใกับข่าวนี้เป็อย่างมาก
แม้แต่ผู้คนจากกองกำลังใหญ่ ๆ ของเมืองหลวงต่างก็ให้ความสนใจกับเื่นี้ โดยเฉพาะกองกำลังเ่าั้ที่มีความแค้นกับเย่เฟิง เพราะว่าตอนนี้เย่เฟิงได้รับการแต่งตั้งเป็คังผิงโหวจากองค์าาจ้าว พร้อมมอบศักดินาที่ดินเก้าเขต จึงมีอำนาจเพิ่มขึ้นหลายเท่า หากเย่เฟิงชิงตำแหน่งราชบุตรเขยสำเร็จ เกรงว่าจะไม่เป็ผลดีกับพวกเขา ดังนั้นในศึกตัดสินวันนี้ทุกกองกำลังจึงส่งผู้ฝึกยุทธ์มาสังเกตการณ์
ในนั้นประกอบไปด้วยตระกูลตู๋กู ตระกูลเฉิน ตระกูลโจว ตระกูลหวัง และนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ เป็ต้น แต่นอกเหนือจากนี้แล้ว ตระกูลมู่ก็ยังส่งผู้ฝึกยุทธ์หลายคนมาสังเกตการณ์เช่นกัน ทั้งยังคิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่ามู่ก็มาที่นี่ด้วยตัวเองเช่นกัน
เื่ที่เย่เฟิงได้รับการแต่งตั้งเป็คังผิงโหวได้สร้างความใให้กับผู้เฒ่ามู่เป็อย่างมาก ก่อนหน้านี้เขาทราบว่าเย่เฟิงมีพร์ที่โดดเด่นกว่าผู้อื่น จึงทิ้งมู่เยี่ยนที่เป็หลานชายของเขาไว้ข้างหลัง แต่กลับไม่คิดว่าเย่เฟิงจะเดินมาถึงจุดนี้ ในระยะเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่เดือน ก็กลายเป็ผู้มีอำนาจล้นมือคนหนึ่ง
บัดนี้เย่เฟิงเอาชนะเว่ยเจิ้นเทียน หวงเหยียนิ เหลียงปู๋ผั่ว และผู้ฝึกยุทธ์ชั้นยอดแห่งแดนชิงอวิ๋น กระทั่งเข้าสู่รอบตัดสินของการประลองยุทธ์เลือกคู่
ทั้งหมดทั้งมวลล้วนอยู่เหนือความคาดหมายของผู้เฒ่ามู่ หากรู้ก่อนว่าหลานชายคนนี้ของเขาจะยอดเยี่ยมเช่นนี้ ตอนนั้นเขาก็คงปฏิบัติต่อเย่เฟิงเป็อย่างดีและไม่ทิ้งไว้ที่ตระกูลหนานกงนานถึงสิบปี เมื่อฉุกคิดได้เช่นนี้ ผู้เฒ่ามู่รู้สึกเสียใจเป็อย่างมาก ทั้งยังเกิดความคิดที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับเย่เฟิง
“เทียนหลง เทียนหู่” ผู้เฒ่ามู่เรียกมู่เทียนหลงและมู่เทียนหู่ที่อยู่ข้าง ๆ ก่อนจะพูดต่อไปว่า “ข้าคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเย่เฟิงจะก้าวหน้าได้ไวเช่นนี้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เย่เฟิงก็เป็ลูกชายของไฉ่อิง ต่อไปข้าไม่อนุญาตให้พวกเ้ารังแกเขาอย่างไม่มีสาเหตุอีก ได้ยินแล้วใช่ไหม”
“ขอรับ ท่านพ่อ!” มู่เทียนหลงและมู่เทียนหู่ตอบรับทันที แม้ไม่เห็นด้วยกับความคิดของผู้เฒ่ามู่ แต่ทั้งสองคนก็ไม่กล้าขัดคำพูดของผู้เฒ่ามู่
เมื่อสี่ผู้ทำพิธีแห่งวังเทพโอสถได้ยินข่าวที่ว่าเย่เฟิงฝ่าฟันอุปสรรคจนมาถึงรอบตัดสินของการประลองยุทธ์เลือกคู่ รวมถึงข่าวที่ถูกองค์าาจ้าวแต่งตั้งเป็คังผิงโหว พวกเขาก็ดีใจกับเย่เฟิงอย่างมาก สมกับเป็ผู้สืบทอดนวมรดกของวังเทพโอสถ ไม่ว่าไปที่ใดก็มักจะเป็ที่โดดเด่นอยู่เสมอ
ดังนั้นวันนี้ทางวังเทพโอสถจึงส่งผู้ฝึกยุทธ์กลุ่มใหญ่มายังสนามฝึก เพื่อเป็แรงหนุนให้กับประมุขของพวกเขา แม้เื่ที่เย่เฟิงรับตำแหน่งประมุขวังเทพโอสถไม่ได้เผยแพร่ให้คนนอกทราบ แต่ทุกคนภายในวังเทพโอสถต่างรู้ดีว่าฐานะของเย่เฟิงไม่ธรรมดา และให้ความสำคัญกับชายหนุ่มที่มีพร์อันโดดเด่นผู้นี้เป็อย่างมาก
นอกจากวังเทพโอสถแล้ว ทางสำนักยุทธ์เทียนเสวียนก็ส่งผู้ฝึกยุทธ์หลายสิบคนมาเช่นกัน ซึ่งคนเหล่านี้นำขบวนโดยหัวหน้าพรรคเทียนเสวียน พวกเขาเป็ผู้าุโของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน ตบะอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 9 ขึ้นไป ขบวนทัพก็ค่อนข้างทรงพลัง
บนอัฒจันทร์หลัก องค์าาจ้าว จ้าวซินอี๋ องค์ชายใหญ่จ้าวหยาง องค์ชายรองจ้าวเยี่ย และขุนนางทั้งบุ๋นบู๊ที่นำโดยเซิ่งอ๋องต่างก็ทยอยมาถึงสนามฝึกแล้ว พวกเขาต่างรอคอยผลการตัดสินสุดท้ายด้วยใจจดใจจ่อ
“การประลองยุทธ์เลือกคู่รอบตัดสินใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว ไม่รู้ว่าซือคงเสวียนและเย่เฟิงใครกันที่จะคว้าชัยชนะแล้วกลายเป็ราชบุตรเขยราชวงศ์จ้าว แต่งกับองค์หญิงซินอี๋” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวด้วยท่าทีตื่นเต้น ศึกตัดสินสุดยอดเช่นนี้เป็สิ่งที่พวกเขากระหายมานานแล้ว
“แน่นอนว่าต้องเป็ซือคงเสวียน ซือคงเสวียนเป็ถึงศิษย์สายตรงของรองเ้าสำนักชิงอวิ๋น ตบะบรรลุขั้นยุทธ์แท้สูงสุด ซึ่งสูงกว่าเย่เฟิงถึงหกขั้น ใครแพ้ชนะก็รู้ ๆ กันอยู่แล้ว” คนผู้หนึ่งตอบกลับด้วยเสียงเรียบเฉย ผู้คนรอบข้างก็พยักหน้าเห็นด้วย แม้เมื่อวานตอนที่เย่เฟิงต่อสู้กับเว่ยเจิ้นเทียน เขาได้แสดงฝีมือที่น่าทึ่งต่อหน้าสาธารณชน แต่เนื่องจากตบะของเขาต่ำต้อย ส่วนตบะของซือคงเสวียนสูงส่ง ผู้คนส่วนใหญ่จึงคิดว่าซือคงเสวียนจะเป็ผู้ชนะในศึกนี้
บนเวทีประลอง ซือคงเสวียนไขว้ขานั่งลงขัดสมาธิ หลับตาลง นิ่งไม่ไหวติง พร้อมกับมีแสงจาง ๆ ห่อหุ้มร่างเขา ดูเหมือนว่ากำลังฝึกตนราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง
“เวลาเที่ยงวันแล้ว แต่เหตุใดเย่เฟิงผู้นั้นจึงยังมาไม่ถึง?”
ขณะนั้นมีคนสังเกตเห็นเวลาว่าตอนนี้พ้นเวลาเที่ยงวันไปแล้ว จึงกล่าวเช่นนั้น
“คงไม่ใช่ว่าหวาดกลัวซือคงเสวียนหรอกนะ เขาก็เลยไม่กล้ามา!” อีกคนกล่าวอย่างคาดเดา
“ใช่ มีความเป็ไปได้มากทีเดียว ถึงอย่างไรซือคงเสวียนก็แข็งแกร่งเกินไป ไม่มีผู้ใดยินดีสู้กับเขาหรอก”
จู่ ๆ คนผู้หนึ่งกล่าวเสริมขึ้นมา แต่ตอนที่ผู้คนกำลังถกเถียงเื่เย่เฟิงที่มาสายกันอยู่นั้น พลันมีเงาร่างหนึ่งทะยานมาจากฟากฟ้า ก่อนจะร่อนลงเวทีประลองอย่างช้า ๆ
[1] ผลผิงกั๋ว หมายถึง แอปเปิล
