หลังจากที่ซื่อจื่อน้อยโอวหยางหงโดนเด็กหญิงตัวน้อยวิ่งชนนิดหน่อยก็ไม่พูดพล่ามลากมือหวานหว่านไป จากนั้นก็ตบลงไปบนใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างรุนแรง “นังชั้นต่ำที่มาจากหานโจวหรือเหตุใดถึงได้กล้าชนเปิ่นซื่อจื่อ”
ซื่อจื่อของจวนองค์ชายห้ามีอายุมากกว่าหวานหว่านสองสามเดือน อีกทั้ง เขายังกินมากรูปร่างจึงได้อ้วนมาก ทันทีที่ฝ่ามือปะทะใบหน้าน้อย พวงแก้มขาวกระจ่างใสของเด็กหญิงก็ปรากฏเป็รอยนิ้วมือ
อวี้เฟยที่เห็นเช่นนั้น ในใจก็วิตกเป็อย่างมาก ยามนี้นางไม่มีแม้เวลาจะมาสนใจฮ่องเต้อีกแล้วนางก้าวฉับๆ ไปทางหวานหว่านอย่างรวดเร็ว และในตอนที่โอวหยางหงยังคิดจะตบตีต่อไปนั่นเองอวี้เฟยก็เป็คนดึงร่างหวานหว่านเข้ามาไว้ในอ้อมแขนตน สีหน้าอ่อนโยนพลันแปรเปลี่ยนไปในทันทีนางมองโอวหยางหงด้วยสายตาเ็า “ซื่อจื่อน้อยหวานหว่านเป็ญาติผู้น้องฝั่งบิดาของเ้า นางก็แค่ไม่ระวังจนไปโดนเ้าเล็กน้อยก็เท่านั้นตัวเ้าจำเป็ต้องถึงขั้นลงมือทุบตีนางเช่นนี้เลยหรือ? ”
เมื่อใจที่รับรู้ได้ว่าเด็กน้อยที่ถูกตีผู้นั้นถึงกับร้องไห้ไม่ออกอวี้เฟยก็สงสารยิ่งแล้ว นางลูบหลังหวานหว่านแ่เบา พูดเสียงเบา“หวานหว่านไม่ต้องกลัว ย่าอวี้อยู่นี่แล้ว”
โอวหยางหงที่เห็นเช่นนั้น แค่นเสียงเ็าแล้วพูดว่า “ก็แค่บุตรสาวที่นังชั้นต่ำเป็ผู้ให้กำเนิดทั้งยังถ่อมาจากดินแดนห่างไกลที่รกร้างดังเช่นหานโจวนั่นอีก ต่อให้ข้าจะตีนางจนตายก็ไม่นับเป็อันใดเหตุใดเสด็จย่าอวี้จึงต้องปกป้องนางด้วย”
ในฐานะที่โอวหยางหงเป็ถึงพระนัดดาองค์โตของฮ่องเต้ คนจึงถูกเลี้ยงดูประคบประหงมด้วยความรักใคร่มาแต่เด็กดังนั้น คนเช่นเขาจะไปเห็นค่าของหวานหว่านที่มาจากสถานที่เช่นหานโจวได้เยี่ยงไร สำหรับเขาแล้วใครก็ตามที่มาจากสถานที่ที่น่าเอนจอนาถเยี่ยงนั้นก็นับว่าเป็คนชนชั้นล่างที่ไม่คู่ควรจะไปมาหาสู่ด้วย
“หุบปากของเ้าเดี๋ยวนี้” เดิมทีฮ่องเต้เห็นว่าอวี้เฟยเข้าไปปกป้องหวานหว่านแล้วจึงตั้งใจจะยืนมองอยู่เื้ัเงียบๆ แต่ใครเล่าจะไปรู้ว่า ครานี้ตนจะได้เห็นพระนัดดาองค์โตเป็คนเช่นนี้คนถึงขนาดไม่เห็นญาติผู้น้องของตนอยู่ในสายตา? ทั้งยังคิดจะรังแก?
เมื่อโอวหยางหงเห็นว่าเ้าของสุรเสียงทรงอำนาจเป็ฮ่องเต้ ชั่วขณะนั้นเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกทั้งยังใยิ่งเสียจนต้องรีบคุกเข่าลง โดยลืมแม้กระทั่งการถวายบังคมตามธรรมเนียมปฏิบัติด้วยซ้ำแย่แล้ว แย่แล้ว เสด็จปู่มาอยู่ที่นี่ั้แ่เมื่อใด?
ขณะที่หวานหว่านเมื่อได้ยินคำของเสด็จปู่ก็รีบโผเข้ากอดขาอีกฝ่ายแทบจะในทันทีจากนั้นก็ร้องไห้เสียงดัง “เสด็จปู่ หวานหว่านกลัวเพคะ หลังจากนี้หวานหว่านจะไม่ไปเข้าเฝ้าเสด็จย่าอีกแล้วเจ็บมากเลยเพคะ”
หวานหว่านในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็การพูดจาหรือจิตใจก็ล้วนคล้ายกับเด็กหกขวบ ซึ่งแตกต่างราวกับเป็คนละคนกับยามปกติที่เ้าเล่ห์ยิ่งนางคลับคล้ายกับเป็เด็กน้อยที่ได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจมามากมาย และกำลังเฝ้ารอให้คนมาปลอบโยน
เสี้ยวเหวินตี้ไม่รอช้ารีบอุ้มร่างหลานสาวขึ้นมาด้วยความสงสาร จากนั้นก็พูดว่า“หวาหยางไม่ต้องร้อง หวาหยางเป็หลานสาวที่น่ารักที่สุดของปู่” หวาหยาง [1] เป็ราชทินนามของหวานหว่าน ในสายตาของฮ่องเต้ยามที่หลานสาวคนนี้ยิ้มออกมาก็ราวกับพระอาทิตย์ที่ส่องแสงสะดุดตาอยู่บนฟากฟ้าก็ไม่ปานทั้งยังทำให้คนรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
ด้วยเหตุนี้ ในตอนนั้นเขาจึงได้มอบอำเภอทั้งสามแห่งหวาหยางให้เป็เขตแดนพระราชทานแก่เด็กน้อยผู้นี้ด้วยหวังเพียงว่าเมื่อนางเติบโตขึ้น คนก็จะยังคงเป็จวิ้นจู่น้อยที่สดใสร่าเริง มิคาดหลานสาวที่ตนฝากฝังความหวังไว้ผู้นี้ยามนี้กลับถูกกระทำจนมีสภาพที่น่าอนาถเพียงนี้ ยิ่งเห็นนางร้องไห้ ใจของฮ่องเต้ก็ยิ่งเ็ป
ในตอนที่ฮ่องเต้ปลอบโยนหวานหว่านเสร็จก็บังเอิญสังเกตเห็นรอยกรีดเป็ทางบนข้อมือของเด็กน้อยพอดีเขามอบเด็กให้อวี้เฟย จากนั้นก็มองพวกเด็กๆ ที่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยสายตาเ็าในบรรดาเด็กเหล่านี้มีทั้งองค์หญิงน้อยในวังตน และจวิ้นจู่น้อยจากจวนอ๋อง
ทว่า สายตาของเขากลับตกอยู่บนร่างของเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวในกลุ่มนี้ และเป็นานเขาถึงได้กล่าวกับขันทีข้างกาย “ไปตามองค์ชายห้าและชายาให้เข้าวังมาพบเจิ้นเดี๋ยวนี้และก็ไปเชิญหนิงชินอ๋องกับชายามาด้วย”
เมื่อพูดจบ เขาก็เดินไปนั่งลงในศาลาที่อยู่ไม่ไกล ส่วนเด็กๆที่คุกเข่าอยู่ด้านนอกก็ถูกปล่อยให้คุกเข่าอยู่เช่นนั้น พวกเขาล้วนเป็เด็กจากตระกูลโอวหยางทั้งสิ้นล้วนเป็หลานชายหลานสาวของเขา มิคาดคนอายุน้อยเพียงนี้จะสามารถพูดจาว่าร้ายออกมาได้ไม่รู้ว่าเมื่อโตขึ้นแล้วจะยิ่งร้ายกาจเพียงใดกัน
ส่วนอวี้เฟยที่เพิ่งเห็นรอยกรีดบนข้อมือของเด็กน้อย ก็ได้แต่พูดออกมาอย่างปลงๆ“ก็แค่เด็กน้อยคนหนึ่ง ต่อให้จะทำเื่ใดผิด หรือพูดอันใดผิดไปจริงๆ ก็ไม่ควรทำกับเด็กน้อยเช่นนี้”
ตอนนั้นฮ่องเต้ได้ให้คนไปช่วยหวานหว่านจัดการทำแผลนั้น เพื่อให้นางรีบหายดีโดยไวจากนั้นจึงถามเด็กน้อยต่อว่า ก่อนหน้านี้นางได้พูดอันใดที่เป็การล่วงเกินเสด็จย่าจนเป็เหตุให้คนไม่พอใจหรือไม่
หวานหว่านส่ายหน้า “ไม่มีเพคะ หวานหว่านเพียงมาที่ตำหนักของเสด็จย่าตามรับสั่งจากนั้นพระนางก็ทรงถามหลานบางเื่ หลานก็ตอบไป แต่ใครจะรู้ว่า จู่ๆ เสด็จย่าจะทรงผลักหลานจนล้มลงไปบนพื้นเสด็จปู่ หวานหว่านเจ็บมากเลยเพคะ”
เพียงไม่นาน ข่าวนี้ก็ไปถึงจวนหนิงชินอ๋อง อวิ๋นซีคิดไม่ถึงว่า บุตรสาวตนที่เข้าวังไปได้ครู่เดียวจะถึงกับทำให้เกิดเื่ขึ้นมานางและจวินเหยียนรีบเร่งตามไปที่วังหลวง และเมื่อไปถึงสวนดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากตำหนักทรงพระอักษรพวกนางก็เห็นเด็กน้อยถูกฮ่องเต้อุ้มไว้ ส่วนที่พื้นด้านล่างก็มีเด็กสองสามคนกำลังคุกเข่าอยู่ทั้งยังมีเซียงเอ๋อร์และเหล่าสาวใช้กับหมัวมัวอีกกลุ่มใหญ่ยืนอยู่ในบริเวณนั้นด้วย
นางและจวินเหยียนรีบก้าวไปด้านหน้า ถวายบังคม จากนั้นก็เห็นองค์ชายห้าและชายาสองสามีภรรยาที่เพิ่งรีบร้อนมาถึงและตามมาด้วยรัชทายาท องค์ชายสามและชายา ในสถานที่แห่งนี้นอกจากโอวหยางเทียนหลานที่ยังไม่มีบุตรเหล่าลูกชายและลูกสะใภ้ทั้งหมดของเสี้ยวเหวินตี้ก็ล้วนมารวมตัวกันครบหมดแล้ว
ครั้งนี้นับเป็ครั้งแรกั้แ่กลับมาถึงเมืองหลวงที่อวิ๋นซีได้เจอกับ ‘พี่น้องที่แสนดี’ ที่ไม่ได้พบหน้ากันมาหลายปีอย่างลู่หลิงฉิงเมื่อเทียบกับห้าปีก่อน อีกฝ่ายดูจะมีความเป็ผู้ใหญ่และสุขุมสง่างามมากขึ้น ถึงกระนั้นนางก็ยังรู้ดีว่าภายใต้ความเป็ผู้ใหญ่และสุขุมสง่างามนี้ยังคงแอบซ่อนไว้ด้วยจิตใจที่ราวกับหมาป่าร้ายและจิ้งจอกที่แสนยั่วยวน
ลู่หลิงฉิงมักจะปฏิบัติต่อทุกคนที่ขวางทางนางอย่างโเี้ ขบคิดและกระทำทุกวิถีทางเพื่อยั่วยวนองค์รัชทายาทซึ่งเื่เหล่านี้ถูกคนเล่าลือไปถึงหานโจวนานแล้ว จึงไม่แปลกที่ผ่านมาหลายปีโอวหยางเทียนหัวจะยังรักใคร่ในสตรีนางนี้ถึงเพียงนี้ ดังนั้น เมื่อเทียบกับความสง่างามและแสนดีของเฉียวอวิ๋นซีเมื่อหลายปีก่อนสตรีที่ยามอยู่เป็บนเตียงรู้จักเข้าหาก่อนก็ดูจะเป็ที่ชอบใจของบุรุษมากกว่าจริงๆ
ยามที่อวิ๋นซีได้เจอลู่หลิงฉิง อีกฝ่ายก็เอาแต่จดจ้องนางเพราะลู่หลิงฉิงเองก็คงคุ้นเคยกับชื่อ ‘อวิ๋นซี’ นี้มาก เมื่อสองปีก่อน ยามที่ทางหานโจวยังไม่มีการตรวจสอบที่เข้มงวดเหมือนปัจจุบันลู่หลิงฉิงได้ให้คนไปตรวจสอบสตรีที่มีนามว่าอวิ๋นซี จึงได้ทราบว่าคนเป็แค่หมอหญิงคนหนึ่งแต่กลับสามารถทำหน้าที่ช่วยเหลือหานอ๋องได้เป็อย่างดีถึงขนาดที่อาจกล่าวได้ว่า คนเป็ใบเบิกทางที่ช่วยให้หานอ๋องได้กลับสู่เมืองหลวง
ั้แ่วันนั้นเป็ต้นมา อวิ๋นซีก็กลายมาเป็คนที่ลู่หลิงฉิงจักต้องกำจัด ไม่รู้เพราะเหตุใดนางถึงได้ไม่ชอบอีกฝ่ายเป็อย่างมากเมื่อก่อนอาจเรียกได้ว่าไม่ชอบ แต่ตอนนี้กลับยิ่งเกลียด ความรู้สึกที่ก่อตัวขึ้นในใจคลับคล้ายกับตอนนั้นที่เกลียดเฉียวอวิ๋นซีไม่มีผิดยิ่งกว่านั้น คนที่นางเกลียดทั้งคู่ล้วนมีนามว่าอวิ๋นซีทั้งสิ้น แค่ได้ยินชื่อก็รำคาญแทบตาย
ฮ่องเต้มองเหล่าลูกชายและลูกสะใภ้ของตน ก่อนจะหันมองฮองเฮาที่มาถึงช้ากว่าคนอื่นๆเขากวาดสายตาเ็าไปที่อีกฝ่ายทีหนึ่ง อย่างน้อยๆ เพราะสถานะฮองเฮา ทำให้เขายังต้องเหลือความเกรงใจไว้ให้นางอยู่สองสามส่วน
ทว่า ฮองเฮากลับทำทีราวกับมองไม่เห็นสิ่งใด เมื่อถวายบังคมเสร็จก็มาหยุดยืนอย่างสง่าข้างกายฮ่องเต้นางยิ้มถาม “ฝ่าา วันนี้พระองค์ทรงเรียกให้พระโอรสทั้งหลายเข้าวังมา มีเื่ดีเกิดขึ้นหรือเพคะ”
เสี้ยวเหวินตี้มองภรรยาผูกผม [2] ของตน จากนั้นจึงพูดเสียงขรึม“วันนี้เ้าให้คนไปรับหวาหยางเข้าวังมาหรือ? ”
เมื่อฮองเฮาได้ยินแล้วก็ไม่คิดปฏิเสธ พยักหน้าตอบทันที “เพคะ หม่อมฉันเพียงคิดถึงหลานสาวจึงได้ให้คนไปพาตัวนางมา เพื่อจะได้เห็นหน้าค่าตาเสียหน่อยเพคะ” บนใบหน้านางยังคงประดับรอยยิ้มเรียบๆเอาไว้ “ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในตำหนักเฟิ่งอี้ หวานหว่านถูกแมวข่วนจนได้รับาเ็ตอนนี้เ้าเป็อย่างไรบ้าง? ให้หมอหลวงใส่ยาให้หรือยัง”
ฮ่องเต้ได้ฟังคำกล่าวนั้นก็หันมองไปยังฮองเฮา “เป็แมวจริงหรือ? ”
ฮองเฮามองสามีตนอย่างไม่อยากจะเชื่อ สีหน้าราวกับเป็ผู้บริสุทธิ์ที่กำลังเศร้าเสียใจ“เหตุใดฝ่าาจึงตรัสเช่นนี้เล่าเพคะ หรือพระองค์จะทรงคิดว่า เป็หม่อมฉันที่ทำร้ายเด็กน้อยจนาเ็?นางเป็หลานสาวของหม่อมฉันนะเพคะ ไม่ว่าอย่างไรหม่อมฉันย่อมต้องรักใคร่นางจะไปทำร้ายนางได้อย่างไรกัน”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] หวาหยาง(华阳)หวา(华)ในที่นี้มีความหมายว่างดงาม, เปล่งประกาย ส่วนหยาง(阳)แปลว่าพระอาทิตย์
[2] ภรรยาผูกผม(发妻)สมัยก่อนในพิธีแต่งงานจะมีการตัดผมของสามีภรรยามามัดรวมกันภรรยาผูกผมจึงหมายถึงภรรยาเอก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้