"องค์ชาย หวงกุ้ยเฟยรับสั่งให้สองพี่น้องซ่งจิ่งซีเข้าวังพ่ะย่ะค่ะ" เสียงของเหลยลี่ดังขึ้นในภายในที่ทำการของหน่วยองครักษ์
เหลียนเซวียนยืนเอามือไพล่หลังหันหน้าออกไปทางหน้าต่างมองดูลานกว้างเบื้องหน้า
นี่คือภายในที่ทำการซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง เหลียนเซวียนรับหน้าที่เป็ผู้ดูแลหน่วยองครักษ์พิทักษ์นคร มาตรวจสอบสะสางงานย่อมต้องเป็ที่นี่
ค่ายของหน่วยองครักษ์พื้นที่เป็บริเวณกว้าง ในสวนมีต้นไม้ดอกไม้ไม่เยอะ พื้นดินส่วนใหญ่ล้วนปูด้วยแผ่นศิลา
สองด้านของลานสวนกว้างตั้งเวทีฝึกยุทธ์ ้าเต็มไปด้วยอาวุธทั้งดาบ หอก กระบี่ ทวนวงเดือน และกระบองตุ้มเหล็ก
"เมื่อวันก่อนหวงกุ้ยเฟยเรียกชายาองค์ชายหกไปตำหนักถิงหวา" เหลยลี่รายงานต่อ "หลายวันมานี้ เหล่าพระสนมแต่ละตำหนักในวังหลังล้วนไม่นิ่งเฉย"
เหลียนเซวียนเหยียดยิ้มมุมปาก อู่เซวียนตี้เพียงแค่พักผ่อนไม่ต้อนรับแขก แต่ละคนก็เริ่มพะว้าพะวังกันแล้ว
"่นี้ซ่งจิ่งซีทำอะไรบ้าง"
"ทูลองค์ชาย ั้แ่คนผู้นั้นพบกับคุณหนูเซวียที่หน้าสำนักศึกษาทิงเทา ก็ให้คนสอบถามเบาะแสของคุณหนูเซวียไปทั่ว ่นี้เขาค่อนข้างใกล้ชิดกับองค์ชายหก มักพาซ่งหนิงซีไปเป็แขกที่จวนองค์ชายหกอยู่เสมอ ยังไปขี่ม้าแถบชานเมืองกับองค์ชายเก้าอีกด้วย เรียกได้ว่ากระตือรือร้นอย่างยิ่งในเมืองหลวง"
ดวงตาสีดำดุจน้ำหมึกของเหลียนเซวียนหรี่แคบ อันหย่วนโหวคิดอะไรอยู่กันแน่ ถึงให้พวกเขารั้งอยู่ในจิงเฉิงนานขนาดนี้
"หวงกุ้ยเฟยกับอันหย่วนโหวเริ่มติดต่อกันั้แ่เมื่อไร"
"เื่นี้... ยังตรวจสอบไม่พบ แต่ก่อนหน้าที่ซีฉีจะถูกโค่นล้ม อันหย่วนโหวก็สวามิภักดิ์กับฮ่องเต้ซีฉีองค์ปัจจุบัน ตอนนี้พวกเราก็มีการติดต่อกันแล้ว" เหลยลี่ตอบอย่างระมัดระวัง
นั่นก็เป็เวลาอย่างน้อยห้าหกปีแล้ว
ดวงตาสีนิลของเหลียนเซวียนมีแววเยียบเย็นวาบผ่าน พิษสลายเอ็นกร่อนกระดูกของสำนักอิ่นเหมินคงเป็ของที่อันหย่วนโหวมองให้นาง ตนเองปราบปรามสามทัพของซีฉีจนแพ้พ่ายกลับมาราชสำนักไม่นาน ก็ถูกพวกเขาวางแผนสังหาร
ประเสริฐ ตอนนี้เขาไม่อาจแตะต้องสตรีผู้นั้น แต่ซ่งจิ่งซีพาตนเองมาถึงประตู ก็อย่าหาว่าเขาไม่เกรงใจ
ยามนี้ในตำหนักจิ่งหวากำลังครึกครื้นไม่เบา
หวังฮองเฮามองเหล่าโฉมสะคราญนั่งเรียงรายอยู่ในตำหนักก็ปวดพระเศียรอยู่บ้าง
ปรกติพวกนางไม่เห็นกระตือรือร้นมากันขนาดนี้ แต่หลังจากตำหนักยงหนิงมีพระบัญชามาว่าฮ่องเต้ทรงพักผ่อนรักษาพระวรกายไม่รับแขก ก็พากันมาหานางไม่เว้นแต่ละวัน
"พระนาง นี่มันกี่วันเข้าไปแล้ว เหตุใดจึงยังไม่มีข่าวคราวของฝ่าาอีกเล่า" เต๋อเฟยแต่งหน้าประณีต โบกพัดกลมงามวิจิตรเบาๆ
"จริงด้วยเพคะ พระนาง เห็นบอกว่าพระพลานามัยของฝ่าาดีขึ้นแล้วมิใช่หรือ เหตุใดจึงไม่ให้พวกเราเข้าเยี่ยมเล่า?"
เสียนเฟยสวมอาภรณ์ไหมเงินแบบชาววังสีฟ้าพรางหมอกหรูหรา คิ้วงามมุ่นขมวด เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
ก่อนที่เสียนเฟยจะเข้าวัง เคยได้ชื่อว่าเป็โฉมสะคราญอันดับหนึ่งแห่งเจียงหนาน ตอนนั้นนางอ่อนหวานมีเสน่ห์ เคยได้รับความโปรดปรานจากอู่เซวียนตี้อย่างล้ำลึก
จนกระทั่งหวงกุ้ยเฟยมาถึง ก็่ชิงความโปรดปรานจากอู่เซวียนตี้ไปเกือบหมด ่เวลาอันรุ่งโรจน์ของเสียนเฟยจึงค่อยๆ เสื่อมถอยลง
"เฮ่อ พวกเ้ามาถามฮองเฮาจะมีประโยชน์อันใด แม้แต่หวงกุ้ยเฟยฝ่าายังไม่พบ พวกเ้าอย่าเสียเวลาเปล่าเลย"
ซูเฟยหัวเราะเยาะ ดวงเนตรคมเข้มจมูกโด่งแฝงไปด้วยความงามที่ดูแปลกตา มีแววเหยียดหยันวาบผ่านดวงตา
ทันใดนั้นดวงตาซ่อนมีดของสตรีทั้งตำหนักต่างจดจ้องมาที่นาง
ซูเฟยหัวเราะอย่างเริงร่ายิ่งกว่าเดิม นางเป็คนเผ่าเิ อุปนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา เกลียดที่สุดคือพวกปากหวานก้นเปรี้ยวจิตใจร้อยเล่ห์พันเหลี่ยม
"ทุกท่านอย่าคาดเดาส่งเดชกันไปเลย ท่านหมอเทวดาผูหยางกล่าวไว้ว่า สาเหตุที่ฝ่าาทรงประชวรหนักกะทันหัน เพราะเสวยโอสถลูกกลอนเป็นิจ ไม่รู้วิธียับยั้งชั่งใจ ทำให้สูญเสียน้ำวิสุทธิ์มากเกินไป ดังนั้น... ดังนั้น.... แฮ่ม แม้จะหายประชวรแล้ว ก็ต้องบำเพ็ญตน ยับยั้งชั่งใจ ไม่หลงมัวเมาในตัณหาราคะ จึงจะมีพระชนม์ชีพยืนยาว พระพลานามัยแข็งแรง"
หวังฮองเฮาเล่าความจนจบด้วยสีพระพักตร์เคร่งขรึม
ทั้งตำหนักพลันเกิดเสียงอื้ออึง
หลี่ผินซึ่งนั่งอยู่ท้ายแถวหน้าซีดเผือด หลังมือที่กุมเก้าอี้ไว้แข็งเกร็งจนเห็นเส้นเืเขียว
นี่มิได้หมายความว่านับจากบัดนี้เป็ต้นไปสาวงามทั้งวังหลังก็จะกลายเป็ของประดับหรอกหรือ
นางเพิ่งเข้าวังมาได้แค่ปีกว่า ต่อจากนี้ต้องเฝ้าห้องหอว่างเปล่าอย่างเดียวดายชั่วชีวิต ไร้โอกาสได้รับความโปรดปรานอีกต่อไปเช่นนั้นหรือ
"พระนาง คำตรัสของพระนางหมายความว่าต่อจากนี้ไปฝ่าาจะไม่พลิกป้ายอีกแล้วหรือเพคะ"
เต๋อเฟยยกพัดกลมบดบังแววยิ้มเยาะบนมุมปาก
อย่างไรเสียตอนนี้วัยสาวของนางก็ล่วงผ่านไปแล้ว ฝ่าาไม่พลิกป้ายของนางมานานแล้ว ถ้าข่าวนี้เป็ความจริง นางมีแต่จะแอบหัวเราะเยาะในใจ ให้นังหญิงร่านที่หวังรับความโปรดปรานเ่าั้ร้องไห้โอดครวญไปเถอะ
"แฮ่ม ไม่ได้หมายความเช่นนี้ การบำเพ็ญตนคือไม่หลงระเริงในหญิงงาม รู้จักยับยั้งชั่งใจ จัดสรรเวลาอย่างเหมาะสม" หวังฮองเฮารีบอธิบาย
วาจามิอาจแพร่งพรายส่งเดช หากล่วงรู้ไปถึงพระกรรณอู่เซวียนตี้ ความหมายก็อาจเปลี่ยนไป
เื่นี้เกี่ยวพันถึงศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย ไม่มีบุรุษคนไหนมิใส่ใจ นับประสาอันใดกับอู่เซวียนตี้ผู้รักเกียรติและศักดิ์ศรียิ่งชีวิต
คำอธิบายของฮองเฮาทำให้สีหน้าของพระสนมเ่าั้ค่อยดีขึ้นมาบ้าง
แท้จริงแล้วความโปรดปรานส่วนใหญ่ของในวังหลังล้วนแต่อยู่ที่ตำหนักถิงหวา ต่อไปหากจะต้องลดละ ก็คือลดทอนส่วนของที่นั่นมากหน่อย
ชั่วขณะนั้น ทุกคนในตำหนักต่างมีความคิดแตกต่างกันไป
ในตำหนักถิงหวา ต้วนเฟยเหยียนไม่ไปร่วมครึกครื้นที่ตำหนักจิ่งหวา สตรีเ่าั้ไม่ชอบนาง นางเองก็ไม่อยากไปคบค้าสมาคมด้วย ไยต้องไปให้เสียอารมณ์
นางกำลังสนทนากับซ่งจิ่งซีและซ่งหนิงซี
"จิ่งซี วันที่ยี่สิบเป็วันเกิดของท่านหญิงหย่งเจีย เ้ากับหนิงซีไปร่วมงานด้วยกันเถอะ"
"แต่พระนาง พวกเรามิได้รับเทียบเชิญพ่ะย่ะค่ะ" ซ่งจิ่งซีก็อยากไป แต่เสียดายท่านหญิงหย่งเจียไม่ได้ส่งเทียบเชิญพวกเขา
เบื้องลึกดวงตาของต้วนเฟยเหยียนมีแววขุ่นเคืองวาบผ่าน
องค์หญิงใหญ่คังเต๋อรู้ว่านางให้ความสำคัญกับสองพี่น้องสกุลซ่ง วันเกิดท่านหญิงหย่งเจียกลับไม่ส่งเทียบมาเชิญพวกเขา
พออู่เซวียนตี้ประชวร ก็ไม่เห็นนางอยู่ในสายตาแล้วหรือ?
ฮึ ความชิงชังในแววตาของต้วนเฟยเหยียนเข้มขึ้น "พวกเ้าไปเถอะ ติดตามชายาองค์ชายหกเข้าไป ไม่มีใครขวางพวกเ้าแน่"
ซ่งจิ่งซีรับคำด้วยความเคารพ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นดวงตาคู่งามของต้วนเฟยเหยียนเต็มไปด้วยความเยียบเย็นน่ากลัว ก็รีบหลุบตาลง
บิดาเขาผูกพันล้ำลึกกับสตรีผู้นี้มาครึ่งชีวิต นอกจากดวงหน้างามเพริศพริ้งดวงนี้ เขาก็ไม่เห็นว่านางจะมีดีตรงไหน ที่จะทำให้บิดาปฏิบัติต่อมารดาผู้งดงามของพวกเขาอย่างเ็าไร้หัวใจเช่นนี้
"จิ่งซีเอ๋ย แม้ว่าท่านหญิงหย่งเจียจะโตกว่าเ้า แต่รูปโฉมก็คู่ควรเหมาะสมกับเ้าทุกประการ เ้าควรจะใกล้ชิดนางให้มากเข้าไว้"
ต้วนเฟยเหยียนมองรูปโฉมคล้ายคลึงบิดาของบุรุษตรงหน้า สายตาก็อ่อนโยนลงโดยไม่รู้ตัว
ซ่งจิ่งซีเข้าใจความหมายของต้วนเฟยเหยียน เพียงแต่ "พระนาง ได้ยินว่าท่านหญิงหย่งเจียมีใจให้หมอเทวดาผูหยาง?"
เื่นี้รู้กันทั่วเมืองหลวง ไม่นับว่าเป็ความลับ
"ไม่มีปัญหา รู้หรือไม่เพราะเหตุใดผูหยางชิงหลันถึงไม่ยอมแต่งงานกับท่านหญิงหย่งเจียเสียที?" ต้วนเฟยเหยียนยิ้มมุมปากฉายแววเหยียดหยัน
