รัตติกาลอันมืดมิดนี้ไร้ซึ่งจันทรา แสงมืดสลัว ไม่รู้ว่าเป็เพราะเข้าใจผิดไปหรือไม่ ถึงได้รู้สึกว่าค่ำคืนนี้มีกลิ่นอายอันตรายบางอย่างคืบคลานเข้ามา กดข่มจนทำให้ผู้คนรู้สึกหายใจไม่ออก
หลิงมู่เอ๋อร์เคาะประตูของห้องด้านข้าง เอ่ยกับคนที่อยู่ด้านในว่า “พี่ใหญ่ ข้าสามารถเข้าไปข้างในได้หรือไม่เ้าคะ?”
เอี๊ยด!ประตูบานใหญ่เปิดออก หนานกงอี้จือทำหน้าทะเล้นพลางเอ่ย “แม่นางมู่เอ๋อร์ พวกข้ากำลังรอเ้าอยู่เลย!”
หลิงมู่เอ๋อร์เดินผ่านข้างกายของเขาและเดินไปยังทิศทางของบุรุษผู้ที่อยู่ด้านใน คนผู้นั้นกำลังเช็ดดาบเล่มหนึ่งอยู่ ดาบเล่มนั้นแหลมคมเป็อย่างยิ่ง ขนาดอยู่ในระยะไกลยังรู้สึกถึงไอสังหารของมันได้
ซั่งกวนเซ่าเฉินเห็นนางเดินเข้ามาจึงเก็บดาบเล่มนั้นลง กล่าวกับนางอย่างราบเรียบว่า “ถ้าหากว่ามีคนสอบถามถึงข้า ไม่ว่าอย่างไรก็ตามให้เ้ากล่าวว่าไม่รู้ก็พอ อยู่ที่นี่ข้าได้ปกปิดสถานะของตนเองและยังลบร่องรอยทั้งหมดแล้ว คนธรรมดาไม่อาจหาพบได้ ถึงแม้ว่าจะมีคนมาบีบบังคับเ้า แต่ก็ไม่อาจเผยความลับให้เล็ดลอดออกมาได้ ด้วยความเฉลียวฉลาดของเ้าแล้ว คิดว่าเื่นี้คงไม่น่าจะเป็เื่ยาก”
หลิงมู่เอ๋อร์พยักหน้าเบาๆ นำห่อของที่อยู่ในมือยื่นให้กับบุรุษที่อยู่ตรงข้าม
ซั่งกวนเซ่าเฉินคิดที่จะรับมา แต่หนานกงอี้จือที่อยู่ด้านข้างรับไปก่อน เปิดห่อของไปพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มตาหยีไปพลาง “เป็สิ่งใดกันแน่?ทำเป็ลึกลับไปได้”
หลิงมู่เอ๋อร์มองหนานกงอี้จืออย่างไม่พอใจ หันไปด้านข้างเอ่ยกับซั่งกวนเซ่าเฉินว่า “ท่านจะพาเขาไปด้วยจริงๆ หรือเ้าคะ?หากอันตรายมากๆ ก็โยนคนผู้นี้ทิ้งไปเสียเถิดเ้าค่ะ!”
สีหน้าของหนานกงอี้จือผงะไปครู่หนึ่ง ถลึงตาจ้องไปที่หลิงมู่เอ๋อร์อย่างไม่พอใจ “เ้าเด็กสาวผู้นี้ช่างไร้เหตุผลเสียจริง เหตุใดถึงได้ยุยงให้ความสัมพันธ์ของพวกข้าพี่น้องแตกหักได้ล่ะ?”
“ข้าเพียงแค่ให้คำแนะนำที่สมเหตุสมผลกับพี่ใหญ่เท่านั้น ด้วยนิสัยที่ไม่หนักแน่นสุขุมอย่างเ้า ไม่แน่ว่าอาจจะไปเป็ภาระให้พี่ใหญ่ของข้าก็เป็ได้” หลิงมู่เอ๋อร์เบะปากพลางกล่าว
หนานกงอี้จือหัวเราะแห้งๆ หยิบขวดในห่อออกมา พลางเอ่ยด้วยความสงสัยว่า “สิ่งของเหล่านี้คืออันใดหรือ?”
“ของเหล่านี้ล้วนเป็ยารักษาาแ นี่เป็สิ่งที่ข้าจัดเตรียมให้พี่ใหญ่โดยเฉพาะ พี่ใหญ่ ท่านต้องเก็บเอาไว้อย่างดีนะเ้าคะ ต่อไปจะต้องได้ใช้อย่างแน่นอน ยาเหล่านี้ไม่เหมือนกับยาที่ใช้รักษาาแทั่วไป” นั่นเป็ยาที่ทำด้วยสมุนไพรในมิติของนาง ย่อมแตกต่างจากผู้อื่นแน่นอน
หนานกงอี้จือเปิดขวดยาหนึ่งขวดออกมาวางไว้บริเวณจมูกแล้วลองดมกลิ่น “ยาดี เื่อื่นข้าอาจจะไม่เชี่ยวชาญ แต่เื่ยาพวกนี้… ที่เรือนของข้ามีห้องโอสถมากมาย แม้แต่ยาใดเป็ยาดีหรือไม่ดีข้ายังดูไม่ออก เช่นนั้นหลายปีที่ผ่านมานี้ข้าก็อยู่อย่างไร้ประโยชน์แล้ว แม่นางมู่เอ๋อร์ ยานี่เ้าเป็คนทำเองหรือ?ไม่อาจไม่บอกได้ว่า สิ่งนี้เป็ยาชั้นยอดจริงๆ”
หลิงมู่เอ๋อร์หันมายิ้มให้หนานกงอี้จือเล็กน้อย จากนั้นจึงหันกลับไปมองซั่งกวนเซ่าเฉินแล้วกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ไม่รู้ว่าพวกเราจะได้พบกันอีกเมื่อใด ่เวลาที่ผ่านมานี้ต้องขอบคุณท่านมากจริงๆ เ้าค่ะ หากไม่ใช่เพราะท่าน ข้าก็คงตัวแข็งตายหรือหิวตายไปในหิมะนั้นตั้งนานแล้ว หลังจากนี้หากมีวาสนาต่อกัน พวกเราคงได้พบกันอีกกระมังเ้าคะ?”
ครั้นนึกถึงว่าซั่งกวนเซ่าเฉินจะต้องจากไป ในใจของหลิงมู่เอ๋อร์ก็รู้สึกเ็ปขึ้นมา มีบางอย่างผิดปกติ
ซั่งกวนเซ่าเฉินเอื้อมมือออกไปััที่เส้นผมของหลิงมู่เอ๋อร์อย่างอ่อนโยน พลางกล่าวเสียงเบาว่า “ย่อมเป็เช่นนั้น พวกเราจะต้องได้พบกันอีกแน่นอน”
หลิงมู่เอ๋อร์ยิ้มบางๆ “เช่นนั้นข้าก็จะไม่ส่งพวกท่านแล้ว พวกท่านโปรดรักษาตัวด้วย ภายในห่อนั้นยังมีเนื้อแห้ง เก็บไว้ทานในระหว่างทาง ข้าไม่ได้บอกแก่ท่านพ่อท่านแม่ รอให้พวกท่านไปกันแล้วค่อยบอกพวกเขาอีกที ท่านก็รู้ว่าพวกท่านเป็คนซื่อตรง โกหกไม่เก่งเป็ที่สุด เพราะฉะนั้น ถึงตอนนั้นข้าก็จะบอกว่าพวกท่านไปอาศัยอยู่กับญาติพี่น้องเ้าค่ะ”
“อืม เด็กน้อย…” ปลายนิ้วของซั่งกวนเซ่าเฉินเลื่อนลงมาจากเส้นผมของนาง หยุดอยู่ที่พวงแก้มของนาง “เ้าไปที่เมืองหลวงเถิด เพียงแค่เ้าไปเมืองหลวง พวกเราก็จะได้พบกัน การจากลาอย่างในวันนี้ ก็เพื่อที่จะได้พบเจอกันในวันข้างหน้า”
ครั้นคิดว่าจะไม่ได้เจอสาวน้อยผู้นี้แล้ว ในใจของซั่งกวนเซ่าเฉินก็เกิดความรู้สึกซับซ้อนบางอย่าง เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มานาน ไม่เคยมีความรู้สึกซับซ้อนเช่นนี้มาก่อน
หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะออกมา “วางใจเถิดเ้าค่ะ ข้าจะไปเมืองหลวงอย่างแน่นอน เมืองหลวงเป็เมืองหลักของแว่นแคว้น ถ้าขนาดเมืองหลวงยังไม่ไป เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ก็ไร้ความหมายแล้ว”
“เหอะ!เ้าเด็กสาวผู้นี้ช่างคุยโวเสียจริง จะต้องรู้ว่ามีผู้คนมากมายที่ชั่วชีวิตนี้ไม่เคยก้าวออกจากเมืองนี้เลยด้วยซ้ำ ไม่แน่ว่าผ่านไปไม่กี่ปีเ้าก็อาจจะแต่งงานดูแลสามีเลี้ยงดูบุตรอยู่ในชนบทก็ได้ ถึงตอนนั้นจะมีโอกาสใดไปเมืองหลวงที่เป็เมืองหลักของแว่นแคว้นอีกหรือ?” หนานกงอี้จือจงใจพูดเร้าหลิงมู่เอ๋อร์
ซั่งกวนเซ่าเฉินขมวดคิ้ว มองไปที่หนานกงอี้จืออย่างไม่พอใจ “หุบปาก”
หนานกงอี้จือไม่ได้โกรธในท่าทีไม่ดีของซั่งกวนเซ่าเฉิน ในทางกลับกันเขากำลังแอบยิ้มกระหย่องอยู่ในใจ แผลการหยั่งเชิงอันแยบยลในครั้งนี้ ลูกผู้พี่ผู้ที่มีใบหน้าเ็าถูกทดสอบจนจับได้เสียแล้ว
“คนที่ข้าจะแต่งงานด้วยหากไม่ให้เกียรติข้า เช่นนั้นข้าก็จะไม่แต่งให้ หรือต่อให้แต่งงานไปแล้ว ข้าก็สามารถหย่ากับเขาได้” หลิงมู่เอ๋อร์หัวเราะเยาะ “ไม่มีชายใดมัดมือและเท้าของข้าได้ แม้ว่าเขาจะเป็เทพยดาลงมาจุติเป็มนุษย์ นั่นก็ไม่อาจรั้งข้าเอาไว้ได้”
หนานกงอี้จือมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างนิ่งอึ้ง ในใจตะลึงงันไม่กล้ากล่าวอันใดออกไป เด็กสาวผู้นี้ช่างคุยโวเสียจริง ไม่เกรงกลัวว่าฟ้าจะผ่าลงมาที่ลิ้นเอาเสียเลย [1] แม้ว่านางจะน่าสนใจกว่าหญิงสาวธรรมดาอยู่เล็กน้อย แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะถึงขั้นหลงระะเริงได้ขนาดนี้ ถ้าหากมีความคิดแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เกรงว่าเด็กสาวผู้นี้ก็อาจจะได้รับโทษไปบ้างแล้ว
ซั่งกวนเซ่าเฉินไม่ได้ตื่นใอันใด เขาทอดมองหลิงมู่เอ๋อร์อย่างอบอุ่น พยักหน้าพลางกล่าวว่า “กล่าวได้ถูกต้อง”
หนานกงอี้จือเบะปาก ส่ายศีรษะเบาๆ พลางบ่นอุบอยู่ในใจว่า ดูเหมือนว่าจะมีแต่คนโง่เขลาเท่านั้นที่จะพะเน้าพะนอนาง เช่นนั้นก็ต้องมาดูกันว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองคนจะมีวาสนาต่อกันจริงหรือไม่
ครึ่งชั่วยามต่อมา หนานกงอี้จือและซั่งกวนเซ่าเฉินก็ออกไปจากเหลาอาหารสกุลหลิง หลิงมู่เอ๋อร์ทอดมองเงาร่างของพวกเขาหายวับไปกับความมืดยามราตรี ในใจก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ต่อการจากไปนี้ไม่น้อย
“มู่เอ๋อร์…” หยางซื่อมองเห็นหลิงมู่เอ๋อร์ยืนอยู่ที่ในลานบ้าน ก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย “นี่เ้าเป็อันใดไป?”
หลิงมู่เอ๋อร์ยังไม่ได้นำเื่ที่พวกเขาจากไปบอกกล่าวกับคนในครอบครัว ในเมื่อหยางซื่อถามขึ้นมาแล้ว นางคิดว่าที่จะบอกกับพวกเขาตามที่ตั้งใจไว้ เพื่อเลี่ยงไม่ให้พวกเขาหลุดเปิดเผยสิ่งใดออกไปโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ
ภายในห้องของถังซื่อ หลิงมู่เอ๋อร์นำเื่ที่ซั่งกวนเซ่าเฉินพวกเขาสองพี่น้อง ‘ไปอาศัยอยู่กับญาติ’ บอกกล่าวแก่กับทุกคน
“เหตุใดกล่าวว่าจะไปก็ไปเลยกัน?” หยางซื่อบ่นออกสองสามประโยค “แม้ว่ารีบร้อนจะไปอาศัยอยู่กับญาติพี่น้องเพียงใด ก็ไม่ถึงกับต้องรีบขนาดนี้ก็ได้กระมัง?”
“พี่ใหญ่ผู้นี้กลัวในน้ำใจไมตรีของผู้อื่นเป็ที่สุด เขากังวลว่าหลังจากบอกกับพวกท่านไปแล้วจะทำให้พวกท่านเสียใจ” หลิงมู่เอ๋อร์จับมือของหยางซื่อพลางกล่าว “ภายหลังก็จะได้พบกันอีกเ้าค่ะ”
“ไม่ใช่เคยพูดว่าจะช่วยเ้าไปสักระยะหนึ่งหรือ?เหตุใดถึงพูดว่าจะไปอาศัยอยู่กับญาติพี่ก็ไปเสียแล้ว?นี่ช่างกะทันหันเกินไปกระมัง” หลิงต้าจื้อดื่มน้ำ พลางกล่าวเสียงเบา “พี่ใหญ่เ้าไปแล้ว กำลังคนของพวกเราก็ยิ่งไม่เพียงพอ เช่นนี้จะทำอย่างไรดี?”
“ข้าได้คิดไว้นานแล้วเ้าค่ะ ตอนนี้การค้ากำลังไปได้ดี ถ้าหากการค้าดีเช่นนี้ต่อไป คนในบ้านของพวกเราก็ต้องเหนื่อยจนแย่แน่ๆ” หลิงมู่เอ๋อร์กล่าว “ไม่สู้… ข้าไปซื้อสาวใช้มาเป็ลูกมือสักสองคน แล้วก็ซื้อพ่อครัวที่มีความรู้ทางการทำอาหารด้วยอีกสองคนเ้าค่ะ”
“พวกเราเพิ่งเริ่มทำการค้าได้เพียงสองวันก็จะซื้อสาวใช้แล้ว?ถ้าหากต่อไปการค้าไม่ดีเช่นนี้แล้วก็มิใช่ว่าจะขาดทุนมหาศาลเชียวหรือ?” หยางซื่อตกตะลึง “ไม่ได้ รอดูอีกสักหน่อยเถิด!”
“ท่านแม่ ข้าได้ตัดสินใจแล้ว ท่านแม่คงตัดใจให้บุตรสาวติดอยู่กับหม้อและกระทะทุกวันไม่ได้หรอกกระมังเ้าคะ?ระยะนี้บุตรสาวของท่านเหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยอย่างน้อยใจ
“ข้ารู้ว่าเ้าลําบากแล้ว” หยางซื่อเห็นท่าทางไม่ได้รับความเป็ธรรมของหลิงมู่เอ๋อร์ ก็ทำใจไม่ได้ “ไม่เช่นนั้น เ้าสอนแม่ แม่จะช่วยเ้าผัดอาหาร”
“ข้าก็ตัดใจที่ต้องทำให้ท่านแม่เหน็ดเหนื่อยไม่ได้เช่นกันเ้าค่ะ” หลิงมู่เอ๋อร์พิงตัวอยู่ในอ้อมกอดของหยางซื่อพลางกล่าวออดอ้อน “ท่านแม่ แม่เชื่อข้าเถิดเ้าค่ะ!”
“เอาล่ะ ฟังมู่เอ๋อร์เถิด!” หลิงต้าจื้อตัดสินใจเด็ดขาดในประโยคเดียว “เ้าเด็กผู้นี้มีความคิดและสมองก็ใช้การได้ดีกว่าพวกเรา เชื่อนางย่อมไม่มีปัญหา”
“พ่อของลูก ตอนนี้เ้าตามใจมู่เอ๋อร์มากเกินไปแล้ว” หยางซื่อเอ่ยอย่างเคืองๆ
“มู่เอ๋อร์…” ถังซื่อเอื้อมมือไปยังทิศทางของหลิงมู่เอ๋อร์ “ดวงตาของข้าเหมือนจะมองเห็นแสงได้แล้วเล็กน้อย ข้าใกล้จะหายดีแล้วใช่หรือไม่?”
ครั้นได้ยินถังซื่อกล่าวเช่นนั้น ทุกคนที่อยู่ด้านข้างก็รีบร้อนล้อมรอบเข้ามา พวกเขาไถ่ถามถังซื่อด้วยความเป็ห่วงเป็ใย ตรวจดูอาการดวงตาของถังซื่อ
หลิงมู่เอ๋อร์จับชีพจรของถังซื่อ จากนั้นก็ตรวจดูดวงตาของถังซื่ออีกครั้ง นางพยักหน้าพลางกล่าวว่า “ดีขึ้นบางส่วนแล้วจริงๆ เ้าค่ะ แต่ว่ายังต้องใช้เวลาดูแลรักษาไปอีกสักระยะหนึ่ง”
“เช่นนั้นต้องรออีกนานเท่าใด?ข้ายังอยากจะช่วยพวกเ้าทำงาน!ตอนนี้ทั้งครอบครัวก็มีเพียงข้าที่ไร้ประโยชน์” ถังซื่อเอ่ยอย่างเศร้าโศก
“ท่านยาย ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนี้ ขอเพียงแค่ท่านอยู่กับพวกข้าอย่างดี นั่นก็เพียงพอแล้วขอรับ ท่านเป็กำลังใจที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกข้านะขอรับ” หลิงจื่อเซวียนกล่าวอย่างอบอุ่น “อีกอย่าง ท่านก็ไม่ได้ไม่ทำอันใด พวกเด็กๆ ยัง้าให้ท่านดูแล!หากไม่ใช่ว่ามีท่านคอยดูแล เสี่ยวหู่กับจืออวี้ก็ไม่รู้ว่าจะซุกซนจนเป็เช่นไรแล้ว?”
“เสี่ยวหู่เป็เด็กซน แต่ว่าจืออวี้เป็เด็กดี เ้าอย่าได้ว่าเขาเช่นนี้” ถังซื่อได้ยินก็รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาชั่วขณะ
“ท่านย่า ข้าก็เป็เด็กดีนะขอรับ” หยางเสี่ยวหู่มุ่ยปาก “ท่านย่าช่างลำเอียงเสียจริง”
“ฮ่า…” ถังซื่อกอดศีรษะของหยางเสี่ยวหู่ ดวงตาที่ขุ่นมัวคู่นั่นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เป็ความผิดของย่า ย่าพูดผิดไปเอง”
มีความน่ารักของหยางเสี่ยวหู่ขึ้นมาขัดจังหวะ ถังซื่อก็ไม่ได้เศร้าสลดใจอีกต่อไป คนสกุลหลิงกำลังคำนวณรายได้ของวันนี้ ถึงแม้ว่าไม่ได้หาได้เยอะเหมือนในวันแรก แต่ก็มากกว่าครึ่งหนึ่ง รายได้ที่ได้นี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของพวกเขา เกินการคาดการณ์ของพวกเขาเอาไว้มาก
ทุกคนหารือกันเล็กน้อย ตามรายได้ในปัจจุบัน ยังมีปัญหาเื่กำลังคนช่วยงานของครอบครัวพวกเขาอยู่ สุดท้ายจึงได้ตัดสินใจซื้อพ่อครัวสองคน เด็กรับใช้ชายไว้คอยยกอาหารอีกสองคน ยังมีบ่าวหญิงเฒ่าสองคนให้มาช่วยเื่ทั่วไปที่เรือนหลัง เหตุที่ล้มเลิกความคิดที่จะซื้อสาวใช้นั้น เป็เพราะว่าอาชีพที่พวกเขาทำนี้จะต้องพบเจอกับชายหนุ่มไม่น้อย มีสตรีบางคนไม่ซื่อสัตย์ ถ้าหากเจอลูกค้าที่ร่ำรวยก็ไม่รู้ว่าจะก่อเื่อันใดขึ้นมาหรือไม่ หลังจากคิดใคร่ครวญแล้ว การซื้อข้ารับชายค่อนข้างปลอดภัยและยังคุ้มค่ากว่า ใน่เวลาคับขันยังสามารถต่อสู้ได้อีกด้วย
แน่นอนว่า ในมือของนางมีสิ่งของที่ซั่งกวนเซ่าเฉินทิ้งไว้ให้ ถ้าเกิดพบเจออันตรายขึ้นมาจริงๆ ก็นำสิ่งของยืนยันที่เขาทิ้งไว้ให้ไปหาพวกพี่น้องเ่าั้ของเขาได้
วันต่อมา หลิงมู่เอ๋อร์มอบหมายหน้าที่ให้หลิงต้าจื้อ ถึงอย่างไรหลิงต้าจื้อก็เคยทำงานด้านนอกมาก่อน ย่อมรู้ว่าที่ใดมีนายหน้าที่สามารถเชื่อถือได้
เวลาประมาณเที่ยงวัน หลิงต้าจื้อพาคนกลับมาด้วยเจ็ดคน
ตอนนี้เป็่ที่กำลังยุ่งอยู่พอดี หลิงต้าจื้อให้คนหนุ่มสองคนเริ่มทำงานทันที ให้คอยช่วยหลิงมู่เอ๋อร์ยกน้ำชารินน้ำและคอยช่วยยกอาหารให้ลูกค้า แม่เฒ่าสองคนนั้นก็เข้าประจำหน้าที่ของตนเองทันทีเช่นกัน และสุดท้ายเหลือเพียงชายหนึ่งคนหญิงหนึ่งคนและเด็กชายอีกหนึ่งคน
เด็กคนนั้นอายุมากกว่าหลิงจื่ออวี้เพียงเล็กน้อย รูปร่างหน้าตาผอมแห้งและตัวดำคล้ำ ั์ตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ชายหญิงคู่นั้นรูปร่างหน้าตาธรรมดา มองไม่ออกว่ามีความสามารถพิเศษอันใด
หลิงต้าจื้อตั้งใจแนะนำสามคนนี้ให้หลิงมู่เอ๋อร์ “พวกเขาเป็สามีภรรยากัน นี่เป็บุตรชายของพวกเขา เดิมทีพวกเขาเป็ข้ารับใช้ที่เกิดในจวนของตระกูลสูงศักดิ์มาก่อน รับผิดชอบหน้าที่งานในครัว เพียงแต่ว่าคุณหนูนางหนึ่งของจวนหลังนั้นสิ้นใจ กล่าวว่าโดนวางยาพิษ จึงทำให้พวกเขาที่เป็ข้ารับใช้ในห้องครัวถูกส่งออกไปขายทั้งหมด”
หลิงมู่เอ๋อร์วางสิ่งของในมือลง พินิจมองทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้า
แววตาของสองสามีภรรยาคู่นั้นว่างเปล่า ท่าทางเหมือนกับยอมรับในชะตาชีวิตแล้ว เด็กชายคนนั้นถึงแม้จะหวาดกลัวคนแปลกหน้า แต่ว่าแววตาคู่นั้นก็มีความเฉลียวฉลาดเป็อย่างยิ่ง ทั้งยังมีความสงสัยใคร่รู้ต่อที่นี่อีกด้วย
“เด็กคนนี้อายุยังน้อยเกินไป ให้เขาไปเล่นเป็เพื่อนจืออวี้เถิดเ้าค่ะ!” หลิงมู่เอ๋อร์เอ่ยกับเด็กคนนั้น “ส่วนพวกเ้า ในเมื่อเคยทำงานในครัวมาก่อน ก็มายืนดูอยู่ด้านข้าง ข้าให้เวลาพวกเ้าเพียงแค่สามวันเท่านั้น พวกเ้าจะต้องทำอาหารที่อยู่บนรายการอาหารทั้งหมดออกมา หลังจากนี้พวกเ้าสองสามีภรรยาก็จะต้องรับหน้าที่งานในครัว ที่นี่ของข้าไม่เหมือนกับบ้านตระกูลสูงศักดิ์ ไม่ได้มีกฎเกณฑ์อันใดมากมาย แต่ว่าข้าก็มีหลักเกณฑ์ของข้าเช่นกัน ถ้าพวกเ้าแอบทำตัวเกียจคร้าน หรือว่าฉวยโอกาสในตอนที่ข้าไม่ได้สนใจลักขโมยสิ่งของหรือเงินทอง หรือยิ่งไปกว่านั้นคือมือเท้าไม่สะอาด ข้าก็จะให้พวกเ้าหายสาบสูญไปในที่สุด ในทางกลับกัน ถ้าพวกเ้าทำงานได้ดี ทำให้คนในสกุลหลิงพึงพอใจ ข้าก็จะให้ตกรางวัลให้กับพวกเ้าสองสามีภรรยา บุตรชายของพวกเ้าก็จะมีโอกาสเล่าเรียนหนังสือในสถานศึกษาด้วย”
เชิงอรรถ
[1] ไม่เกรงกลัวว่าฟ้าจะผ่าลงมาที่ลิ้น (不怕闪到了舌头) หมายถึง คนที่คุยโตโอ้อวด พูดเื่โกหกไม่เป็ความจริง หรือคำพูดเ่าั้ไม่เป็จริง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้