ตอนที่ 9
ง้อาา (ฉบับอาเจิน)
อดีต
‘ห้าโมงเย็นไปกินข้าวกัน’
อาเจินหลุบสายตาลงมองข้อความในโทรศัพท์ที่คนรักส่งมาั้แ่่กลางวัน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตึกสูงตรงหน้า ซึ่งเป็ที่รู้จักในชื่อของบริษัทอัครเหม เป็บริษัทในปกครองของตระกูลอัครเหมสกุล…เลขบนหน้าจอโทรศัพท์บ่งบอกเวลาสี่โมงห้าสิบนาที ร่างเล็กยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปด้านใน
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ามาติดต่อเื่อะไรคะ”
เมื่อก้าวเท้าเข้ามาถึงพื้นที่ภายในบริษัทก็ได้พบกับความใหญ่โอ่อ่าและการตกแต่งอย่างทันสมัย พร้อมกับเสียงเอ่ยทักของพนักงานต้อนรับซึ่งนั่งประจำที่อยู่ไม่ไกล
“สวัสดีครับ พอดีว่ามารอพบคุณาา…”
“คุณาาติดประชุมกับบอร์ดคณะผู้บริหารอยู่ รบกวนนั่งรอตรงนั้นก่อนนะคะ”
อาเจินมองไปตามทางที่หญิงสาวผายมือไปก่อนจะพยักหน้ารับแล้วเอ่ยขอบคุณเสียงเบา เท้ามุ่งตรงไปยังส่วนที่นั่งรับรองแล้วหย่อนกายลงนั่งบนโซฟา ริมฝีปากขบเม้มเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะหยิบกล่องเล็ก ๆ ที่ใส่ไว้ในกระเป๋าออกมาเปิดดู
“ไม่ได้ให้สักที…”
เอ่ยพึมพำกับตัวเองเสียงเบาทั้งดวงตาสีสวยที่เริ่มทอแสงอ่อนลง งานเลี้ยงในคืนนั้นตัวเขาตัดสินใจเดินออกมารอข้างนอกเมื่อคิดว่าพื้นที่ภายในไม่เหมาะกับตนสักเท่าไร เวลาสี่ทุ่มคือ่เวลานัดเพื่อไปฉลองวันครบรอบสี่ปีย้อนหลัง ทว่าในคืนนั้นกระทั่งเวลาล่วงเลยไปถึงห้าทุ่ม…อีกฝ่ายก็ยังไม่ออกมาหา จนอาเจินถอดใจตัดสินใจเดินทางกลับไปก่อน
ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มระหองระแหงนับแต่นั้น คนหนึ่งเริ่มน้อยใจและพูดคุยด้วยน้อยลง ในขณะที่าากำลังพยายามขอคืนดีด้วยในรูปแบบของตัวเอง แต่ด้วยงานที่รัดตัวและต้องออกไปพบเจอกับคนมีอำนาจทางสังคมมากหน้าหลายตาอยู่ตลอด กลับยิ่งทำให้อาเจินรู้สึกว่าตัวเองเริ่มมีความสำคัญน้อยลงไปทุกที
17.30 น.
“พอดีว่าการประชุมครั้งนี้ค่อนข้างกะทันหันแล้วก็มีความสำคัญมาก ก็เลยอาจจะล่าช้าสักหน่อยนะคะ”
พนักงานสาวเดินข้ามาหาพร้อมกับน้ำผลไม้หนึ่งแก้วพลางเอ่ยพูดปลอบใจ เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กที่นั่งอยู่บนโซฟาเริ่มมีสีหน้าหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด อาเจินรับแก้วน้ำมาถือไว้ในมือแล้วก้มหน้าลง ค่อย ๆ จมลงไปกับความคิดในแง่ลบของตัวเอง
ลำพังแค่ทำงานาาก็เหนื่อยอยู่แล้ว…ตัวเขาเป็คนรักจะทำตัวงี่เง่าให้อีกฝ่ายเหนื่อยเพิ่มอีกหรือยังไง
เอาน่า…รออีกสักชั่วโมงจะเป็อะไรไป
“ไม่เป็ไรครับ เจินรอได้”
คิดได้ดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปเอ่ยตอบกลับคู่สนทนาทั้งรอยยิ้มที่ดูฝืนเต็มทน แม้จะเกิดคำถามกับตัวเองว่าเขาอยู่กับคำว่ารอมานานแค่ไหนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังทำเป็เพิกเฉยต่อมัน ภายในดวงตาสะท้อนภาพของพนักงานที่เดินออกจากงานกันเป็คู่ ๆ บ้างก็มีคนรักมายืนรอรับที่หน้าประตู…ผิดกับตัวเขาที่ยังนั่งอยู่คนเดียว มองรอยยิ้มสุขสันต์ของคนอื่น ตัดสินใจหยิบหนังสือแถวนั้นมาอ่านเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง
18.30 น.
สุดท้ายก็ผิดสัญญาอยู่ดี...
ดวงตาฉายแววหม่นลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อไม่ว่าจะพยายามอดทนรอเท่าไร สุดท้ายก็ยังไม่มีวี่แววว่าคนผิดสัญญาจะเดินออกมาหากัน คล้ายกับเป็เหตุการณ์เดจาวูที่เขามานั่งรออีกฝ่ายด้วยความหวัง ทว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องมาจมอยู่กับความคิดของตัวเองว่าตอนนี้เขากำลังมีความสำคัญแค่ไหนกันแน่?
ความรู้สึกน้อยอกน้อยใจเริ่มถูกสะสมไว้มากขึ้น เช่นเดียวกันกับความเชื่อใจที่เริ่มถูกทำลายไปทีละนิดตามกาลเวลา
ร่างเล็กลุกขึ้นจากโซฟาเตรียมจะเดินออกไปเมื่อพนักงานทุกคนกลับบ้านไปหมดแล้ว ถอนหายใจออกมาเสียงหนักแล้วเก็บกล่องของขวัญที่เตรียมมาเข้ากระเป๋าก่อนจะเดินคอตกไปยังประตูทางออก ทว่ากลับต้องหยุดชะงักนิ่งไปอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกของคนที่เขารอมาตลอดเกือบสามชั่วโมง
“หมวย”
“…”
เมื่อหันหลังกลับไปจึงมองเห็นร่างสูงของาาในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว ถอดสูทออกลวก ๆ แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหา เสียงลมหายใจหอบถี่กระชั้นอย่างเหนื่อยอ่อนส่งผลให้อาเจินรู้สึกสงสัยขึ้นมา คล้ายกับเ้าตัววิ่งมาหาอย่างไรอย่างนั้น ทว่าด้วยความรู้สึกน้อยใจที่มีอยู่จึงไม่เอ่ยพูดอะไรออกไป กระเป๋าผ้าถูกคนอายุมากกว่าหยิบไปถือให้
“ไปกินข้าวกัน”
“มันเลยเวลาที่เฮียจองไปแล้วนี่…”
เพราะร้านอาหารที่จะไปด้วยกันในวันนี้ต้องจองคิวล่วงหน้าและไปให้ทันเวลา ทุกอย่างที่วางแผนไว้ในวันนี้คงจะต้องถูกยกเลิกไปจนหมด าานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยพูดออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลลง
“ไปกินก๋วยเตี๋ยวด้วยกันก็ได้”
สถานที่ฉลองครบรอบสี่ปีย้อนหลังในวันนี้คือร้านก๋วยเตี๋ยวเ้าดังที่ตั้งอยู่ในแถบเยาวราช ร่างเล็กนั่งลงบนเก้าอี้พลางมองแผ่นหลังกว้างของคนรักที่ยืนสั่งเมนูแล้วหยิบแก้วน้ำมาวางให้ แม้จะรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มจะห่างกันไปมากทุกที แต่ถึงอย่างนั้นก็พยายามส่งรอยยิ้มให้อีกฝ่ายให้มากที่สุด
…เขาไม่อยากทำตัวเป็ภาระ ไม่อยากเป็อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้าาเหนื่อยมากกว่าเดิม
“…”
คนอายุมากกว่าในวันนี้ดูเคร่งเครียดมากกว่าปกติ คล้ายกับว่าอารมณ์เสียมาั้แ่ที่ประชุม บรรยากาศในการกินอาหารในวันนี้จึงดูน่าอึดอัดไม่สมกับเป็การฉลองวันครบรอบด้วยกันเลยสักนิด ในขณะที่อาเจินพยายามเฟ้นหาหัวข้อเพื่อการสนทนาอยู่ในหัว าาก็ยังคงหลุบสายตาลงมองโทรศัพท์ในมือ คล้ายกับกำลังส่งข้อความคุยกับนักธุรกิจด้วยกันจนแทบจะเงยหน้าขึ้นมามองกันนับครั้งได้
“วันนี้ทำงานเป็ยังไงบ้าง---”
RRRRRRRRRRRRRRR
น้ำเสียงถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่อเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะ อาเจินกัดปากเบา ๆ แล้วหยิบแก้วน้ำมาจะดื่มแก้เก้อ แต่ก็เป็อันต้องชะงักไปเมื่อในแก้วมีน้ำแข็งอยู่หลายก้อนทั้ง ๆ ที่ตัวเขาไม่ชอบดื่มน้ำเย็นมากนัก ชามก๋วยเตี๋ยวถูกยกมาเสิร์ฟให้ในเวลาเดียวกัน…พลันใบหน้าหวานเริ่มฉายแววหม่นลงอีกครั้ง
(ขอบคุณสำหรับของขวัญมาก ๆ เลยนะคะ)
“คุณมัดชอบอะไรผมจะลืมได้ยังไง จะได้ร่วมงานกันอีกนาน ๆ ไงครับ”
เสียงจากปลายสายดังเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน พอได้ยินประโยคแสนเอาใจจากาาก็ยิ่งหัวเราะอย่างอารมณ์ดี อาเจินที่มัวแต่ก้มหน้าลงจึงไม่ได้สังเกตว่าคนรักของตนไม้ได้รู้สึกสนุกกับการพูดคุยอย่างเสแสร้งเพื่อธุรกิจอย่างนี้เลยสักนิด…กระทั่งสายถูกตัดออกไป เป็จังหวะเดียวกันที่อาเจินคีบถั่วงอกในชามของตัวเองใส่ชามของอีกฝ่ายทั้งใบหน้าที่ไม่ได้พยายามยิ้มแย้มเหมือนเก่า
อาเจินไม่ชอบกินถั่วงอก ไม่ชอบดื่มน้ำเย็น มันเป็เพียงสองข้อยกเว้นที่าาจำได้มาโดยตลอด ทว่าในวันนี้กลับลืมมันทั้งหมด…อาจจะเป็เพราะคนอายุมากกว่ากำลังเพ่งเล็งความสนใจไปยังจุดอื่นเพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้า จนอาจจะเผลอมองข้ามไปว่ายังมีใครอีกคนที่ยืนรอเขาอยู่ตรงนี้
“สำหรับเฮียตอนนี้…เจินเหลือความสำคัญแค่ไหนเหรอ”
คราวนี้อาเจินตัดสินใจเอ่ยถามออกมาในที่สุด ดวงตาทั้งสองคู่มองสบกันแน่นิ่ง พลันบรรยากาศระหว่างกันตกอยู่ในความเงียบชวนอึดอัดทันที สำหรับอาเจินที่เป็คนละเอียดอ่อน เพียงการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ย่อมมีอิทธิพลต่อความรู้สึก ในขณะที่าาซึ่งกำลังมีภาระหน้าที่และเื่ให้คิดมากมาย ประกอบกับนิสัยที่ไม่ใช่คนใส่ใจรายละเอียด…จึงไม่ได้มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็เื่ใหญ่เท่ากับที่อีกคนคิด
“แค่ลืมเองไหมหมวย ก็แค่คีบมันใส่ชามเฮียมา ไม่ยากเลย”
“…”
ร่างสูงขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบเมื่อคิดว่ามันไม่ใช่เื่ใหญ่เลยสักนิด ในขณะที่อาเจินเงียบนิ่งไปในทันทีเมื่อได้ฟัง คิดว่าตัวเองแสนจะงี่เง่าที่มองเื่แค่นี้เป็เื่ใหญ่ ในขณะที่สายตาคนนอกสิ่งที่ตัวเขาเป็อยู่ในตอนนี้อาจจะช่างไร้สาระจนไม่อยากเสียเวลาจะมาใส่ใจ ทว่า
ริมฝีปากอิ่มขบเม้มเข้าหากัน ก่อนจะคีบลูกชิ้นปลาจากชามของตัวเองส่งให้เมื่อจำได้เป็อย่างดีว่าาาชอบมันมากเพียงใด ก่อนจะเอ่ยพูดออกมาเสียงเบาเสียจนแทบไม่ได้ยิน
“เฮียรู้ไหมว่าเฮียไม่เคยลืมมันเลย ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา…เฮียไม่เคยลืมเลยสักครั้ง”
“…”
“เมื่อกี้เฮียคุยโทรศัพท์ จำสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นชอบได้แม่น”
“…”
“…แต่ว่าเฮียลืมสิ่งที่เกี่ยวกับเจินไปหมดเลย แทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามีเจินนั่งอยู่ตรงนี้”
น้ำเสียงที่เอ่ยพูดเริ่มสั่นเครือและแกว่งไปมาอยู่ไม่นิ่ง เช่นเดียวกับดวงตาสีน้ำตาลสวยที่เริ่มหม่นลงไร้ซึ่งประกายความสดใสที่เคยได้เห็นมาตลอดระยะเวลาหลายปี าานิ่งเงียบไปแล้วคล้ายกับเริ่มได้สติ มือเอื้อมออกไปจะจับมือ ทว่าอาเจินกลับดึงมือออก ปฏิเสธััที่จะได้รับเป็ครั้งแรก
“เจินไปเข้าห้องน้ำนะ”
“หมวย---”
ร่างเล็กลุกขึ้นเดินออกไปพร้อมกับข้ออ้างดังกล่าว ทว่าทำไมาาจะไม่รู้ว่าคงจะแอบไปร้องไห้เหมือนเคยตามนิสัย น้ำเสียงถูกกลืนหายไปยามดวงตาเหลือบมองเห็นกล่องของขวัญเล็ก ๆ ที่วางอยู่ที่ข้างเก้าอี้ของอีกฝ่าย ร่างสูงเดินเข้าไปใกล้ หยิบกล่องดังกล่าวขึ้นมาแล้วค่อย ๆ เปิดมันออกดู
ข้างในคือนาฬิกาข้อมือยี่ห้อดังที่ตัวเขาเคยพูดอย่างไม่ใส่ใจว่าอยากได้เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน แม้ว่าจะเป็การพูดเอาไว้เพียงแค่ครั้งเดียวก็ตามทว่าอาเจินกลับจำมันได้เป็อย่างดี ข้าง ๆ กันมีกระดาษใบเล็กพร้อมข้อความที่มีถูกเขียนเอาไว้อย่างตั้งใจ
‘สุขสันต์วันครบรอบสี่ปี...เจินขอให้เราได้อยู่ฉลองวันครบรอบปีต่อ ๆ ไปด้วยกันแบบนี้อีกนานแสนนานเลยนะ…รักเฮีย’
…
ปัจจุบัน
บรรยากาศในร้าน่สามวันมานี้ดูมีอะไรผิดแปลกไป หลังจากที่าาและอาเจินกลับมาจากภูเก็ต บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองกลับดูมีอะไรบางอย่างซึ่งยากที่จะเข้าใจ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกลับส่งผลกระทบมาถึงพนักงานคนอื่นด้วยเช่นกัน เมื่ออารมณ์ของาาจะเป็อย่างไรล้วนมีตัวแปรสำคัญเป็อาเจินทั้งสิ้น
“อาเจินมาทำงานหรือเปล่า”
“หนะ หนูเพิ่งมาเลยไม่รู้ค่ะเฮีย”
เสียงของพนักงานหญิงที่ตอบคำถามผู้เป็นายตะกุกตะกักดึงความสนใจจากอาเจินที่ยืนอยู่ที่หลังร้านในทันที ร่างเล็กวางแก้วพร้อมกับผ้าเช็ดลงบนโต๊ะเหมือนเดิมก่อนจะเดินออกไปตามที่มาของเสียง ก่อนจะพบกับาาในชุดเสื้อสีดำและกางเกงยีนสีซีดกำลังกวาดสายตามองไปรอบ ๆ คล้ายกับกำลังตามหาใครบางคน
“…อยู่นี่”
สิ้นคำกล่าวพลันดวงตาคมคู่นั้นตวัดมองสบกันทันที ก่อนจะเริ่มมีท่าทีผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด พนักงานคนอื่นลอบพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก าาทอดสายตามองร่างเล็กที่ไม่ได้ใส่ชุดพนักงานเหมือนคนอื่นั้แ่หัวจดเท้า
“ทำไมไม่เปลี่ยนชุด”
“พอดีว่าของที่หลังร้านหมดเร็วกว่าปกติค่ะเฮีย คนที่ต้องซื้อก็ติดธุระลางานหลายวันติด นิชากับอาเจินก็เลยจะออกไปซื้อค่ะ”
นิชาที่เดินมาถึงบริเวณนั้นพอดีอาสาเอ่ยตอบคำถามให้ด้วยน้ำเสียงสดใสฉบับเ้าตัว ไม่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้นเลยสักนิด ชายหนุ่มมองสลับระหว่างหญิงสาวกับอาเจินอยู่ครู่หนึ่ง หันไปเอ่ยพูดกับนิชาเมื่อตัดสินใจได้ ก่อนจะจูงมือร่างเล็กเดินออกไปด้วยกันทันที
“เธออยู่ที่นี่”
“…ถ้าไม่บอกว่าเป็เ้านายลูกน้อง ฉันจะคิดว่าสองคนนี้เคยเป็แฟนกันมาก่อนนะ หรือไม่ก็แอบคบกัน”
นิชามองตามแผ่นหลังของคนทั้งสองที่เดินออกไปพลางยกมือขึ้นเท้าสะเอวแล้วเอ่ยพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่าประโยคดังกล่าวกลับทำให้พนักงานคนอื่นหูผึ่ง เช่นเดียวกันกับพนักงานสาวคนหนึ่งที่เอ่ยปากพูดออกมากระตุ้นต่อมความสงสัยของทุกคน
“ได้ยินกันมาว่าเฮียเคยมีแฟนเก่าอยู่คนหนึ่ง คบกันได้สี่ปีแล้วก็เลิกกันไป…แล้วเฮียยังรักมากถึงขั้นไม่ยอมแตะต้องใครเลยสักคนหลังจากเป็โสด”
คราวนี้นิชาขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะเบิกตากว้างทั้งริมฝีปากที่อ้าพะงาบ ๆ อย่างใเมื่อเริ่มตั้งสติแล้วประมวลผลคำพูดดังกล่าวได้สำเร็จ เอ่ยะโพูดเสียงแหลมจนคนที่ยืนอยู่บริเวณนั้นรีบยกมือปิดหูกันแทบไม่ทัน
“จะบอกว่าแฟนเก่าคนนั้นคืออาเจินหรือไง!”
คราวนี้เพื่อนสาวคนดังกล่าวเบ้หน้าพลางแหย่นิ้วแคะหูเมื่อเสียงของนิชาบาดทะลุแก้วหูเข้าอย่างจัง ยังไม่รวมพนักงานคนอื่นที่พากันละทิ้งหน้าที่ของคนมามุงกันอยู่ตรงนี้ เมื่อมีเื่ที่น่าสนใจมากกว่าการทำงานรอให้รับรู้อยู่ พลันความสงสัยที่มีอยู่แล้วก็ยิ่งทวีคูณยามได้ยินประโยคต่อมา
“แล้วเธอเคยเห็นเฮียเป็ถึงขนาดนี้เพราะใครด้วยหรือไง”
.
.
.
บรรยากาศภายในรถั้แ่เริ่มออกจากคิงบาร์จนกระทั่งมาถึงห้างสรรพสินค้าถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบเมื่อไม่มีใครเอ่ยปากขอเริ่มบทสนทนาก่อน อาเจินมองตามแผ่นหลังกว้างของอีกฝ่ายที่เดินนำหน้าอยู่ไม่ไกล พลันความรู้สึกวูบโหวงเกิดขึ้นในจิตใจอย่างควบคุมไม่ได้
หลังจากเหตุการณ์คืนนั้นพวกเขาก็พูดคุยกันน้อยลง ทว่าาากลับมองมาที่เขาบ่อยขึ้น คล้ายกับพยายามไม่ให้คลาดสายตาเลยแม้แต่นิดเดียว อย่างเช่นในตอนนี้ที่หันมามองกันอยู่เป็ระยะ แต่ก็ยังคงไร้ซึ่งบทสนทนาหรือการต่อปากต่อคำกันที่น่าจะทำให้รู้สึกดีกว่านี้ ดวงตาสีสวยทอแสงอ่อนลงทั้งริมฝีปากที่ขบเม้มเข้าหากันแน่น
ไม่ชอบเลย…เขาไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย
“…”
อาเจินยื่นมือของตนไปจับบริเวณชายเสื้อของคนตรงหน้าแล้วออกแรงกระตุกดึงเบา ๆ คนอายุมากกว่าค่อย ๆ ชะลอจังหวะการเดินลงก่อนจะหยุดนิ่งไปก่อนจะหันกลับมามองกันอีกครั้ง เป็จังหวะเดียวกันที่ร่างเล็กค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองสบตากันนิ่ง แม้จะไม่เข้าใจตัวเองสักเท่าไรนัก แต่กว่าจะได้คิดหาคำตอบให้ตัวเองได้ ร่างกายก็ทำหน้าที่นำไปก่อนแล้ว
“เฮียเดินเร็ว…เจินเดินตามไม่ทัน…”
น้ำเสียงเอ่ยพูดออกมาแ่เบา อาจจะเพราะด้วยขนาดของร่างกายที่ต่างกัน ประกอบกันกับอาเจินในตอนนี้ที่เริ่มรู้สึกเหมือนจะป่วยั้แ่เมื่อวานแล้ว เนื่องจากอากาศเปลี่ยนแปลง เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวฝนตก ประกอบกับอาการคิดมากจนนอนไม่หลับ ยังไม่ทันที่ร่างสูงจะเอ่ยตอบอะไรกลับ เริ่มมีลูกค้าหลายคนเข็นรถเข็นเดินสวนไปมาจนต้องจับมือของคนข้างกายเอาไว้ทันที
อาเจินปิดปากเงียบ ดวงตาสีสวยทอดมองมือของตนที่ถูกกอบกุมเอาไว้แน่น กระทั่งพื้นที่รอบข้างเริ่มกลับมาโล่งอีกครั้งก็ยังไม่ได้รับอิสระแต่อย่างใด ร่างขาวกระตุกมือตัวเองเบา ๆ เป็การเตือนกัน
“…คนเดินผ่านไปหมดแล้ว”
“…”
“เฮียปล่อย..”
“หาทางเอาเอง”
ชายหนุ่มเอ่ยตอบเสียงเนิบนาบแล้วหันไปเลือกของต่ออย่างไม่สนใจ ครั้นเมื่อคนตัวเล็กขยับตัวก็ออกแรงกระชับมือที่จับเอาไว้แน่นขึ้นแม้ว่าสายตาจะสนใจอยู่กับอย่างอื่นอยู่ก็ตามที อาเจินตวัดสายตาช้อนขึ้นมองกันหนึ่งครั้ง เมื่อหนีไม่ได้ซ้ำยังไม่เห็นท่าทีว่าจะถูกปล่อย สุดท้ายจึงยอมยืนนิ่งให้าาจับมืออยู่อย่างนั้น กระทั่งมือที่เคยเย็นเฉียบรู้สึกอุ่นวาบไปหมด
…
21.30 น.
อาเจินในชุดพนักงานยืนลังเลอยู่บริเวณหน้าประตูห้องทำงานส่วนตัวของเ้าของร้าน ดวงตาหลุบลงมองกล่องขนมปังสอดไส้แยมสตรอว์เบอร์รีที่แอบซื้อติดตัวมาวันนี้ระหว่างทางเดินออกมาจากห้างสรรพสินค้า มือยกขึ้นหมายจะเคาะประตูเรียก แต่แล้วก็ล้มเลิกความตั้งใจไป ก่อนจะทำท่าลังเลอีกครั้ง เป็อย่างนี้อยู่ซ้ำ ๆ เนิ่นนานหลายนาที
“ขอบคุณเฮียอีกครั้งนะครับ”
“ไปทำงานต่อได้แล้ว”
คล้ายกับเห็นภาพเดจาวูย้อนกลับมาอีกครั้ง ภาพที่เห็นคือพีอาร์หนุ่มคนเดิมกำลังพูดคุยกับาาในที่ลับสองต่อสอง ส่งผลให้อาเจินที่ทำใจกับตัวเองอยู่นานกว่าจะกล้าแบกหน้าตัวเองเอาขนมมาให้เริ่มรู้สึกหมดกำลังใจอีกครั้ง พีอาร์คนดังกล่าวกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปทำหน้าที่ของตนต่อ เป็จังหวะเดียวกันที่าาเดินมาเห็นเขายืนอยู่พอดี พร้อมกับคำเอ่ยทักที่ไม่ใจดีเอาเสียเลย
“มาทำอะไร”
“…”
“ถ้าไม่มีอะไรก็อย่ามายืนอู้งานแบบนี้”
เพราะเป็คนที่จริงจังกับหน้าที่ในการทำงาน ใน่เวลาแบบนี้าาจึงมีความเข้มงวดมากกว่าปกติ คราวนี้อาเจินจากที่ใจเสียอยู่แล้วก็ยิ่งรู้สึกถูกกระทบเข้าไปอีก เรียวคิ้วขมวดเข้าหากันทั้งดวงตาที่ฉายแววพยศบดบังความรู้สึกบางอย่าง กล่องขนมถูกกระแทกชนอกของคนตรงหน้าเข้าอย่างจัง
“เห็นว่ายังไม่ได้กินอะไรั้แ่บ่ายเลยเวทนาเอามาให้”
“…”
“แทนคำขอบคุณที่ช่วยเจินในบาร์ที่ภูเก็ต จะได้ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”
เพราะเหตุการณ์ในบาร์ที่ภูเก็ต หากไม่ถูกาามาดึงตัวออกไป ตัวเขาที่ยังอยู่ในอาการใอาจจะถูกล่วงเกินได้มากกว่านี้ แต่ในเมื่อเขาให้ของตอบแทนแล้ว ก็ถือว่าหมดบุญคุณกันไป ครั้นเมื่อถูกดุใส่บ่อยเข้านอกจากความดื้อดึงที่อาเจินดึงมาปิดบังตัวเองแล้ว ความรู้สึกอยากหนีไปให้ไกลก็เริ่มชัดเจนขึ้นมากพอกัน
“หมวย---”
“เฮียครับของที่สั่ง”
ยังไม่ทันที่จะวิ่งตามออกมา เสียงของพนักงานก็ดังขึ้นขัดจังหวะไว้เสียก่อน อาเจินไม่ได้หันกลับไปมองว่าาายังคงมองเขาอยู่หรือไม่ เพียงเดินเข้าประจำที่ทำหน้าที่ของตนไปเรื่อย ๆ โดยไม่พักกระทั่งถึง่เวลาร้านปิด ร่างเล็กก็ยังเป็คนเดียวที่ทำงานแข็งขันจนคนอื่นเริ่มตามไม่ทัน มีบางครั้งที่หยุดยืนนิ่งด้วยอาการเวียนหัวจนนิชาต้องเอ่ยปราม
“อาเจิน ดูไม่ค่อยสบายนะ อย่าทำงานหนักเลย” คราวนี้อาเจินส่ายหน้าปฏิเสธ
“ทำ ๆ ไปเถอะ เดี๋ยวก็ออกแล้ว”
หญิงสาวได้แต่อ้าปากพะงาบ ๆ ต่อสิ่งที่ได้ยิน ยังไม่ทันจะได้เอ่ยถามว่าจะลาออกไปทำไม คนที่เคยขยับตัวอย่างคล่องแคล่วกลับเริ่มยืนเอนไปเอนมา ทั้งเดินโซซัดโซเซจนแทบจะล้ม จนเห็นท่าไม่ดีจึงรีบวิ่งเข้าไปประคองไว้ทันที เป็จังหวะเดียวกันที่อาเจินเริ่มหน้ามืดจนแทบจะเทตัวล้มลงไป
“นะ นั่งก่อนนะ! นี่ พิงไหล่ฉันก็ได้”
เธอรีบจับศีรษะของคนป่วยที่ทำงานเกินกำลังให้ซบลงบนลาดไหล่ของตน โชคดีที่พนักงานคนอื่นเริ่มทยอยกลับกันไปหมดแล้วเหลือเพียงแค่ไม่กี่คน อาเจินแม้จะรู้สึกขัดใจต่อร่างกายของตนที่ดูเหมือนจะไข้ขึ้นเอาตอนนี้ทั้ง ๆ ที่ทั้งวันก็ยังคงทำอะไรได้ปกติ พอรู้สึกเวียนหัวไม่หายจนทำอะไรไม่ไหวจึงหลับตาลง ประกอบกับความรู้สึกอ่อนเพลียสะสมจึงนอนหลับไปได้โดยง่าย
คราวนี้นิตาเริ่มกลอกตาล่อกแล่กไปมาเมื่ออาเจินดูท่าจะหลับลึกในขณะที่ทุกคนกลับไปหมดแล้วจนบาร์เงียบสนิท จะขยับตัวออกก็กลัวว่าจะกวนจนเ้าตัวตื่นขึ้นมา สุดท้ายจึงตัดสินใจจะนอนหลับมันไปทั้งอย่างนี้ ก่อนจะจะดุ้งตื่นอีกครั้งเมื่อถูกใครบางคนสะกิดเรียก
“ฮะ เฮีย---”
น้ำเสียงถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่อาาวางนิ้วชี้ลงทาบที่ริมฝีปากเป็เชิงบอกให้เงียบ นิชาปิดปากเงียบตามคำสั่งทันทีก่อนจะค่อย ๆ ผลัดกันเปลี่ยนให้อาเจินซบไหล่คนอายุมากกว่าแทน เธอรีบวิ่งขึ้นไปหยิบผ้าห่มในห้องพักของผู้เป็นายมาให้ ก่อนจะหยุดนิ่งไปยามกลับมาเห็นภาพตรงหน้า
าาค่อย ๆ เอนตัวเปลี่ยนเป็ท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนราบไปกับโซฟา มือประคองจับศีรษะของอาเจินให้นอนซบอยู่บนแผงอกของตนด้วยความเบามือพลางรับผ้าห่มมาห่มให้ ร่างเล็กขมวดคิ้วส่งเสียงร้องครางแ่เบาก่อนจะซบใบหน้าลงจนแก้มนุ่มบี้ไปกับอก นิชาค่อย ๆ เผยรอยยิ้มออกมายามเห็นาาวางมือลูบศีรษะคนที่นอนซบตนอยู่อย่างถนอม
“กลับก่อนนะคะเฮีย”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะหลุบสายตาลงมองคนที่นอนหลับซบอยู่บนอก เรียวนิ้วเกลี่ยเส้นผมที่ตกลงปรกใบหน้าออกให้อย่างเบามือที่สุด…เท่าที่ผู้ชายนิสัยหยาบกระด้างคนหนึ่งจะทำได้
“อือ…”
“นอนไป ไม่ต้องลุก”
ชายหนุ่มเอ่ยกระซิบเสียงเบาพลางประคองศีรษะคนตัวเล็กเอาไว้ไม่ให้ขยับตัวมาก อาเจินที่อยู่ในอาการสะลึมสะลือ ครั้นเมื่อได้กลิ่นน้ำหอมที่คุ้นเคยก็ขยับกายเข้าหาตามความโหยหาที่แอบซ่อนลึกเอาไว้ในจิตใจ คนอายุน้อยกว่าขยับตัวขึ้นมาถึงบริเวณลาดไหล่ กลุ่มเส้นผมเกลี่ยัักับข้างแก้มไปมาจนเ้าของอ้อมกอดอดไม่ได้ที่จะกดจมูกหอมลงไป
“เฮียดุเจิน…”
ทว่าคนที่ควรจะนอนหลับไปอีกครั้งกลับเอ่ยพูดออกมาเสียงอู้อี้ คราวนี้าาหยุดชะงักนิ่งไป หลุบสายตาลงมองคนที่เอาแต่ซุกใบหน้าลงกับลาดไหล่ของเขา ไม่ยอมให้เขาเห็นหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว วงแขนแข็งแรงเริ่มกระชับกอดร่างที่นอนอยู่บนอกของตนแน่นขึ้น เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่แทบไม่เคยมีใครได้ยิน
“เพราะเธอเอาแต่ประชดเฮีย”
“…”
“เฮียไม่ได้จะเอาเด็กพีอาร์คนนั้นเป็เมีย”
“...เจินไม่ได้อยากรู้”
แม้จะไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจึงเอ่ยพูดถึงประเด็นนี้ขึ้นมาโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย เสียงตอบรับจากอาเจินเริ่มกลายเป็เสียงงึมงำในลำคอเมื่อความรู้สึกง่วงงุนเริ่มชัดเจนขึ้นอีกครั้งจนอยากจะนอนมันเสียตอนนี้ ยิ่งถูกฝ่ามืออุ่นลูบศีรษะให้แ่เบาอย่างถนอมร่างกายก็พลันอ่อนยวบยาบ ยอมนอนนิ่งอยู่ในอ้อมกอดอดีตคนรักแต่โดยดี
“…หมวย”
“อื้อ”
“เฮียไม่เคยมีใคร”
คราวนี้อาเจินนิ่งไป แม้จะมีสติไม่มากนักทว่าคำพูดดังกล่าวก็ยังมีอิทธิพลมากพอให้ใบหน้ารู้สึกร้อนผ่าว เช่นเดียวกันกับเสียงหัวใจภายในอกที่เริ่มเต้นถี่ขึ้นเสียจนน่ากลัวว่าจะถูกจับได้ มือน้อย ๆ เริ่มออกแรงขยุ้มเสื้อของอีกฝ่ายแรงขึ้นแล้วซุกหน้าลงหนีมากกว่าเดิม แต่กระนั้นก็ยังทำเก่ง
“พูดอย่างกับจะให้กลับไป”
ครั้นเมื่อพูดจบกระโยคก็หลับตาลง ปล่อยให้ความเงียบสงบทำหน้าที่ของมันกระทั่งลมหายใจเริ่มดังเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ บ่งบอกว่าอาเจินจมลงสู่ห้วงนิทราไปอีกครั้งแล้วอย่างง่ายดาย
าากระชับกอดแน่นขึ้น เรียวนิ้วเกลี่ยที่ข้างแก้มขาวยามร่างเล็กขยับใบหน้านอนตะแคง กดริมฝีปากจูบที่ข้างขมับครู่หนึ่งแล้วจึงผละใบหน้าออกมา ดวงตาสีรัตติกาลทอแสงอ่อนลงยามทอดมองใบหน้าของอาเจินที่ยังคงหลับใหล ปัดเส้นผมที่ปรกใบหน้าทัดข้างใบหูให้อย่างถนอม
พร้อมกับประโยคคำถามที่เอ่ยออกมา แม้จะรู้ว่าถึงอย่างไรเ้าตัวเล็กบนอกก็คงไม่รับรู้ถึงมันอยู่ดี
“แล้วถ้าขอให้กลับมา…จะยอมกลับมาไหม”
....
“แล้วถ้าขอให้กลับมา…จะยอมกลับมาไหม”
- าา -
...
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้