ตลอด่เช้า ทั้งคู่เรียนวิธีวินิจฉัยโรคจากชีพจรอยู่ภายในห้องหนังสือ จิ่งฝานสอนอย่างตั้งใจ อีกทั้งเขาเป็คนที่มีวิธีสอนเป็อย่างมาก เดิมทีอ๋าวหรานก็สนใจในวิชาแพทย์แผนจีนที่แสนจะลึกลับนี่อยู่แล้ว จิ่งฝานยังสามารถอธิบายได้อย่างสมจริงสมจัง อ๋าวหรานฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม ในฐานะลูกศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเริ่มเรียน คำถามของอ๋าวหรานมีมากมาย ดีที่จิ่งฝานเองก็มีความอดทน ค่อยๆ ตอบหมดทุกคำถาม
อ๋าวหรานผู้หลงใหลอยู่ในวิชาแพทย์นั้นจนกระทั่งจิ่งเซียงมาเรียกทั้งสองคนไปกินข้าวเที่ยง ถึงได้ดึงสติกลับมาอย่างเสียไม่ได้
บนโต๊ะอาหาร
จิ่งเซียงถามอ๋าวหราน “คิดว่าเรียนวิชาแพทย์เป็อย่างไร? ยากหรือไม่?”
อ๋าวหรานตอบพร้อมรอยยิ้ม “มีความยากอยู่ แต่ก็สนุกมาก”
จิ่งเซียงยิ้มอย่างชั่วร้ายพูดว่า “ท่านพี่ ท่านคิดว่าอ๋าวหรานโง่หรือเปล่า มีพร์หรือไม่?”
จิ่งฝานหยุดไปนิดก่อนพูดตอบค่อนข้างจริงจังว่า “ตอนนี้ถือว่าพอๆ กับจิ่งจื่อเลย ความสามารถในการเข้าใจดีมาก”
จิ่งเซียงยิ้มอย่างมีความสุขราวกับว่าคนที่ถูกชมเป็ตัวเองอย่างไรอย่างนั้น “อ๋าวหราน สามารถได้รับคำชมจากพี่ชายข้าได้ แสดงว่าเ้าเก่งมากจริงๆ ”
มองดูสาวน้อยที่แย้มยิ้มอ่อนหวานราวบุปผา อ๋าวหรานอดลูบศีรษะนางไม่ได้
เขายิ้มพูดกับสองพี่น้องตรงหน้าว่า “ต่อไปภายภาคหน้าหมอเทวดาคนที่สองแห่งแผ่นดินใหญ่ก็จะถือกำเนิดแล้ว ตอนนี้รีบคารวะเสีย”
จิ่งเซียงหยิกแก้มขาวๆ นิ่มๆ ของอ๋าวหราน “แค่ชมเ้านิดหน่อยก็เอาใหญ่เลยนะ”
อ๋าวหรานถูกหยิกจนหุบปากไม่ลง พูดไม่ชัดว่า “…ข้าถ่อมตัวมากเลยนะ”
จิ่งเซียง “เ้าถ่อมตัวที่ใดกัน?”
อ๋าวหรานพูดอย่างมีเหตุมีผลว่า “ไม่ถ่อมตัวตรงไหนกัน ข้าให้ตัวเองอยู่ลำดับที่สองแล้วนะ”
จิ่งเซียงจ้องอ๋าวหรานอย่างเอาเป็เอาตาย “อันดับหนึ่งเป็ผู้ใด?”
อ๋าวหราน “…พี่ชายเ้า”
จิ่งเซียงพูดด้วยความโกรธ “งั้นข้าล่ะ?”
อ๋าวหรานพูดอย่างมีความสุข “แน่นอนว่าถูกข้าแซงหน้าไปแล้วน่ะสิ”
จิ่งเซียงจ้องอ๋าวหรานอย่างดุร้าย เพิ่มแรงที่มือมากขึ้น หน้าขาวๆ ของอ๋าวหรานจึงมีรอยแดงๆ ปรากฏขึ้นมาทันที ใบหน้าของหนุ่มน้อยยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ ่นี้ยิ่งกินดีอยู่ดีอยู่ในหมู่บ้านสกุลจิ่ง ใบหน้าขาวๆ นิ่มๆ มีเนื้อขึ้นมาเล็กน้อย ตอนนี้มีรอยแดงปรากฏขึ้น ทำให้ดูน่ารักอยู่หลายส่วน
จิ่งเซียงโกรธเสร็จแล้วก็ยังอดหยิกแก้มอ๋าวหรานเบาๆ ไม่ได้ “อ๋าวหรานหน้าเ้าลูบดูแล้วสบายมือจริงๆ ท่านพี่ ท่านอยากลองหยิกดูบ้างไหม?”
อ๋าวหรานอดทนแล้วก็ยังอดไม่ไหว กรอกตาใส่จิ่งเซียง
เดิมทีคิดว่าจิ่งฝานคงไม่สนใจจิ่งเซียง ใครจะรู้สุดท้ายกลับยกมือขึ้นมาหยิกๆ แก้มอ๋าวหราน
จิ่งฝาน “อืม ไม่เลวจริงๆ”
อ๋าวหราน “…” ไม่เลวน้องนายสิ
……
ทั้งสามคนหัวเราะสนุกสนาน ใช้เวลากินข้าวเที่ยงกันไปเกือบหนึ่งชั่วยาม คำทำนายของอ๋าวหรานที่บอกว่าตัวเองจะเป็หมอเทวดาคนที่สองนั้น ทั้งสามคนล้วนไม่ได้ใส่ใจ ทว่าในอนาคตกลับไม่รู้เลยว่าคำทำนายจะกลายเป็ความจริง ยิ่งไปกว่านั้น เขายังสามารถแทนที่จิ่งฝานกลายเป็หมอเทวดาอันดับหนึ่ง เหตุเพราะเทียบกับการช่วยคนแล้ว จิ่งฝานชอบฆ่าคนมากกว่า
……
หลังจากทานข้าวเสร็จ ทั้งสามคนแยกไปตามทางของตนเอง จิ่งฝานมีเื่ราวในตระกูลต้องจัดการ จิ่งเซียงวันนี้ไม่มีเรียน แต่นางต้องไปชี้แนะเื่เรียนให้เด็กๆ ในตระกูล ลูกหลานที่มีผลการเรียนเป็เลิศ มีพร์เช่นพวกเขา แน่นอนว่าไม่มีทางจะอยู่ว่างๆ ไร้งานทำไปได้ สั่งสอนเด็กเก่งรุ่นต่อไปก็ถือเป็ความรับผิดชอบของพวกเขา
อ๋าวหรานบอกลาทั้งสองคน ก่อนจะถือ ‘ตำรายา’ เดินไปโรงยา
รอบที่แล้วที่มากับจิ่งฝาน แค่สำรวจเป็หลัก แค่ดูผ่านตาไปรอบหนึ่งเท่านั้น ครั้งนี้ อ๋าวหรานตั้งใจจะดูอย่างละเอียดอีกรอบ
อ๋าวหรานเปิดประตูโรงยา ประตูไม้ที่หนาและหนักส่งเสียง ‘แอ๊ด—’ เข้าไปด้านใน สวนสมุนไพรในแปลงส่งกลิ่มหอมอย่างยิ่ง อ๋าวหรานสูดหายใจแรงๆ เข้าไปหนึ่งที สดใสกระปรี้กระเปร่าเป็อย่างยิ่ง
“เป็คุณชายอ๋าวหรือ?”
อ๋าวหรานได้ยินเสียงจึงหันศีรษะไป กลับเห็นผู้าุโผมขาวเคราขาวท่านหนึ่ง ถึงแม้จะผอมบาง แต่กลับดูสดชื่นแข็งแรง แต่มองดูใบหน้า ดูลึกล้ำเจ็ดส่วน เ็าสามส่วน
อ๋าวหรานรีบจัดท่าทางให้สุภาพเรียบร้อย กำหมัดคารวะ กล่าวว่า “อ๋าวหรานคารวะท่านผู้าุโ บังอาจล่วงเกินถามนามอันยิ่งใหญ่ของท่านผู้าุโ จะให้ผู้น้อยเรียกขานท่านว่าเช่นไร?”
“มิบังอาจนับว่าเป็นามอันยิ่งใหญ่หรอก เป็แค่ตาแก่ไร้ความสามารถผู้ดูแลสวนสมุนไพรของตระกูลจิ่งเท่านั้น เรียกข้าจิ่งผู่เป็พอ” ผู้าุโท่านนี้ไม่เพียงสีหน้าที่ดูเ็า แม้แต่คำพูดก็ยังราวกับซ่อนน้ำแข็งเอาไว้ ไร้ความรู้สึกใดๆ
อ๋าวหรานพูดอย่างนอบน้อม “ถ้าเช่นนั้นท่านก็อนุญาตให้อ๋าวหรานบังอาจเรียกขานท่านสักคำว่าท่านลุงจิ่งเถิดขอรับ”
จิ่งผู่ไม่สนใจมารยาทของอ๋าวหราน น้ำเสียงไม่มีความเปลี่ยนแปลงสักเท่าไรตอบว่า “ตามสบาย”