ซูอันนั่งรถม้ากลับจวนโดยไม่ปริปากพูดสิ่งใด แม้นางจะรู้ว่าหยางไท่ิขี่ม้าอยู่ข้าง ๆ รถม้าก็ตาม เพราะนางรู้ตัวดีว่าสายตาของหยางไท่ิ ที่จ้องมองอยู่เสมอนั้นคิดสิ่งใดกับนาง แต่จะให้คิดถึงเื่ส่วนตัวในยามนี้คงไม่เหมาะสม
ดังนั้นนางต้องสร้างตระกูลให้มีชื่อเสียง พัฒนาสินค้าของร้านผ้าอย่างสม่ำเสมอ ระยะเวลาอีกสามปีต่อจากนี้ ถือว่าเป็เครื่องพิสูจน์ความรู้สึกของหยางไท่ิย่อมดีที่สุด
ด้านคนที่พูดเองเออเองกับการมาส่งซูอันกลับจวน ทำเพียงบังคับม้าตัวโปรดอยู่เงียบ ๆ มิได้เอ่ยชวนนางพูดคุยแต่อย่างใด เพราะหยางไท่ิยังคงคิดถึงใบหน้าของซูอัน ยามที่นางดื้อรั้นงอแงตอบกลับเขา มันทำให้เขารู้สึกอยากปราบนางให้หายดื้อ
แต่เมื่อนางมีสีหน้าดุร้ายจริงจัง กลับทำให้ภายในใจของเขาตื่นเต้น คิดว่าถ้าให้ซูอันไปไต่สวนพวกนักโทษ ที่ถูกคุมขังอยู่ในกรมอาญาแล้วละก็ คงไม่มีคนร้ายคนไหนกล้าปากแข็งกับนางกระมัง
เมื่อรถม้าหยุดลงหน้าจวนตระกูลจิน ซูอันที่ลงมายืนอยู่ด้านล่างแล้ว จึงย่อตัวเล็กน้อยและกล่าวขอบคุณน้ำใจของหยางไท่ิ
“ขอบคุณคุณชายหยางที่มาส่งข้าจนถึงจวน นี่ก็ดึกมากแล้วท่านก็กลับไปพักผ่อนเถิดเ้าค่ะ”
“อืม คุณหนูรองกลับไปพักผ่อนให้มาก จะได้โตเร็ว ๆ หากมีเื่อันใดให้ข้ากับอาฮ่าวช่วยเหลือ ท่านส่งคนไปหาข้าที่โรงเตี๊ยมได้ทุกเมื่อ แล้วพบกันใหม่คุณหนูรอง” หยางไท่ิเย้าหยอกซูอันเล็กน้อย และพูดเื่งานทิ้งท้ายก่อนจะขี่ม้ากลับโรงเตี๊ยมอย่างอารมณ์ดี
‘เอ๊ะ! นี่เขาจะบอกว่าข้าเป็เด็กกำลังโต ที่ต้องพักผ่อนให้เพียงพองั้นหรือ หนอย ฝากไว้ก่อนเถอะหยางไท่ิ คราวหน้าข้าจะเอาคืนท่านแน่ ฮึ’
แต่ก่อนจะแยกกลับเรือนของตน ซูอันไม่ลืมกำชับอวี้เหลียนเื่รับสมัครคนอีกครั้ง “อวี้เหลียนอย่าลืมเื่หน่วยคุ้มกัน ที่จะให้คนมาสมัครเพิ่มด้วยยิ่งลงมือได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ข้าไม่้าให้เกิดเื่ร้ายแรงเช่นวันนี้อีก รวมถึงในอนาคตก็ต้องไม่มีเช่นกัน”
อวี้เหลียนที่รู้สถานการณ์ของหมู่บ้านซานอี๋ เขาย่อมเข้าใจเจตนาของซูอัน “คุณหนูรองวางใจเถิด ข้าจะลงมือจัดการเื่นี้โดยเร็วขอรับ”
“อืม พวกเ้าไปพักเถิด พรุ่งนี้ยังมีงานสำคัญรออยู่”
“ขอรับคุณหนูรอง”
อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญก็คือคนในครอบครัว ซูอันต้องอธิบายให้ทุกคนเข้าใจถึงแผนการ นางจำเป็ต้องให้ความร่วมมือกับหยางไท่ิ เพื่อกิจการของครอบครัวไม่หยุดชะงัก และต้องคอยหวาดระแวงเื่การลักพาตัวช่างทอผ้าอีก
เช้าวันต่อมาภายหลังรับอาหารมื้อเช้ากันแล้ว ซูอันจึงนั่งตอบคำถามของบิดามารดา ที่เก็บเอาไว้หลังจากได้รับรู้เื่ราวจากพี่สาวของตน “ท่านพ่อท่านแม่เ้าคะ พวกท่านอย่ามองว่าสิ่งที่ข้าทำนั้นดูโเี้เกินไป คนเลวโดยสันดานเมื่อได้ทำชั่วแล้ว หากมีโอกาสหนีรอดไปได้พวกมันย่อมกลับมาแก้แค้น ไม่มีทางปล่อยให้พวกเราอยู่อย่างมีความสุขหรอกเ้าค่ะ”
มู่ถงไม่คิดว่าการค้าของครอบครัว จะต้องมาพบเจอกับเื่ที่รุนแรงเช่นนี้ แม้เมื่อก่อนจะไม่เคยออกไปทำการค้าต่างเมือง แต่ข่าวคราวการปล้นชิงสินค้าราคาแพง ยังมีผู้คนกล่าวถึงอย่างหนาหูให้ได้ยินเสมอ
“เฮ้อ พ่อกับแม่เพียงแค่เป็ห่วงพวกเ้าสองคนเท่านั้น กับอันเอ๋อร์พ่อพอเข้าใจได้เพราะเ้ามีวิชาต่อสู้ ใช้ป้องกันตัวได้ยามที่เจอเหตุการณ์รุนแรง แต่พี่สาวของเ้านางไม่เป็วรยุทธ์ จะกลายเป็จุดอ่อนยามที่เผชิญหน้ากับศัตรูหรือไม่”
“พ่อของพวกเ้าพูดมาก็มีเหตุผลนะ ถึงยามนี้พวกเราจะคนคอยคุ้มกันติดตาม แต่ก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะปลอดภัยเสียทุกครั้งนี่ลูก” จือเหมยเคยพูดเปรย ๆ เื่นี้กับสามีอยู่บ้าง ด้วยความเป็ห่วงบุตรสาวทั้งสอง
เยี่ยนหลิงเองย่อมรู้ตัวมากกว่าผู้ใด แต่นางไม่อยากนั่งจดจ่ออยู่แต่ในเรือน “หรือว่าจะให้อันเอ๋อร์ช่วยสอนวิชาต่อสู้ให้ข้าดีเ้าคะ?”
“พี่หญิงข้าก็คิดเกี่ยวกับเื่นี้อยู่เช่นกันเ้าค่ะ แม้จะฝึกได้ไม่เก่งกาจถึงขั้นรับมือได้หลายคน อย่างน้อยสามารถใช้วิชาต่อสู้เอาตัวรอดได้ ย่อมเป็สิ่งสำคัญมากที่สุด เช่นนั้นข้าจะสอนพี่หญิงเองเ้าค่ะ” ซูอันไม่มีทางให้เยี่ยนหลิงเป็เป้านิ่ง ที่ศัตรูคิดว่าจะกำจัดนางได้ก่อนผู้ใด
เยี่ยนหลิงดีใจจนยิ้มกว้าง เมื่อน้องสาวรับปากว่าจะสอนวิชาต่อสู้ให้ตนเอง “ขอบใจอันเอ๋อร์ พี่เห็นเ้าออกท่าทางต่อสู้แล้วมันยอดเยี่ยมมาก พี่รับปากเ้าจะพยายามเรียนรู้อย่างไม่ย่อท้อ”
“การตั้งใจฝึกฝนเป็เื่ที่ดี แต่อย่าหักโหมรีบเร่งจนเกินไปนัก ประเดี๋ยวจะเกิดอาการาเ็เอาได้ ว่าแต่ว่าเื่สำคัญอีกอย่างที่อันเอ๋อร์จะบอกพวกเรา มันคือเื่อันใดงั้นหรือ” มู่ถงเปลี่ยนเื่ถามที่ซูอันรั้งพวกเขาไว้
ซูอันกลับมาทำสีหน้าจริงจัง เพื่ออธิบายเื่แผนการเปิดประมูล ที่นางจะลงมือในอีกห้าวันข้างหน้า
“เรียนท่านพ่อท่านแม่ เื่สำคัญที่ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับช่างทอผ้า ข้ากับพี่หญิงบังเอิญได้รู้จักเ้าหน้าที่ของราชสำนัก ที่เดินทางมาสืบข่าวการลักพาตัวนี้อย่างลับ ๆ เนื่องจากเหตุการณ์ในหมู่บ้านซานอี๋เมื่อวานนี้ พวกเขาได้เบาะแสของผู้บงการ คาดว่าจะเป็ขุนนางท้องถิ่นที่ให้ความช่วยเหลือ บุตรหลานขุนนางใหญ่ในเมืองหลวง เพื่อนำตัวช่างทอผ้าที่มีฝีมือไปทำงานให้ตนเองเ้าค่ะ”
จือเหมยใเมื่อได้ยินว่ามีขุนนางเข้ามาเกี่ยวข้อง “ตายแล้ว! นี่มันไม่ใช่เื่ธรรมดาแล้วนะเ้าคะท่านพี่ ยิ่งพวกขุนนางใหญ่ที่มีอำนาจอยู่เื้ั ชาวบ้านอย่างพวกเราจะต่อต้านได้อย่างไรกัน”
มู่ถงจับมือฮูหยินของตนเพื่อปลอบนางเบา ๆ จากนั้นจึงถามซูอันอีกครั้ง “อันเอ๋อร์ถ้าพวกเราไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวได้หรือไม่”
“ท่านพ่อเห็นทีจะไม่ทันแล้วเ้าค่ะ ข้าไม่อยากเป็เต่าหดหัวอยู่ในกระดอง ที่ต้องตกเป็ทาสใต้ฝ่าเท้าคนพวกนั้น ไม่มีวันได้โงหัวขึ้นมามีอิสระได้อีกหากยอมทำตามคำสั่ง พวกเรามีศักดิ์ศรีความเป็คนเท่าเทียมกัน ถึงจะเป็ขุนนางใหญ่แล้วอย่างไร สุดท้ายผู้มีอำนาจสูงสุดของแคว้นก็ยังเป็ฮ่องเต้อยู่ดี
ดังนั้นข้าจึงร่วมมือกับขุนนางทั้งสองคนนั่น โดยมีร้านผ้าไหมของเราเป็ตัวล่อ ด้วยการจัดงานประมูลผ้าไหมทองคำ ที่ปักลวดลายด้วยเส้นด้ายสีเงินและเส้นด้ายสีต่าง ๆ ถ้าพวกเราช่วยกำจัดคนชั่วไปได้ การค้าผ้าไหมของตระกูลจินเราย่อมค้าขายได้สะดวก ไม่ต้องกังวลว่าช่างทอผ้าจะถูกลักพาตัวอีกหรือไม่เ้าค่ะ”
“ท่านพ่อท่านแม่เ้าคะ แม้ในราชสำนักจะมีขุนนางกังฉินคอยโกงกิน แต่อย่างไรเสียก็ต้องมีขุนนางตงฉิน ที่ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของตน ช่วยฮ่องเต้กำจัดคนชั่วให้พ้นจากราชสำนักมิใช่หรือเ้าคะ” แม้เยี่ยนหลิงจะดูเรียบร้อยอ่อนหวาน แต่นางก็คอยสังเกตฟงเฉิงฮ่าวอยู่เช่นกัน
“อืม ในเมื่อพวกลูกตัดสินใจดีแล้ว พ่อย่อมเคารพการตัดสินใจในครั้งนี้ แล้วผ้าไหมทองคำที่ว่าจะเสร็จทันวันงานหรืออันเอ๋อร์” มู่ถงคิดถึงเหตุและผลจากคำพูดของบุตรสาว ก็มิได้ทักท้วงอันใดอีกเพียงแค่ถามถึงผ้าไหมทองคำที่ซูอันกล่าวถึง
“ท่านพ่อเ้าคะ เื่ผ้าไหมที่ใช้ประมูลท่านอย่าลืมสิเ้าคะ ว่าข้ามีผู้ช่วยที่แสนเก่งกาจเพียงใดอยู่กับตัว แค่ไม่กี่ชั่วยามผ้าไหมทองคำอันงดงาม ก็พร้อมปรากฏสู่สายตาผู้คนแล้วเ้าค่ะ อิ อิ” ซูอันไม่ได้คิดกังวลกับเื่นี้ นางทำตัวสบาย ๆ คล้ายกับว่าเป็ปัญหาเล็ก ๆ เท่านั้น
มู่ถงฉุกคิดอยู่เพียงชั่วครู่ก็หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี “อ้อ ฮ่า ๆ ๆ ๆ พ่อลืมเื่ผู้ช่วยของเ้าไปเสียได้ คงเป็เพราะจดจ่อกับงานปักมากเกินไป เช่นนั้นวันงานพ่อกับแม่จะไปกับพวกเ้าด้วยก็แล้วกันนะ”
“เ้าค่ะ นี่ก็ไม่เช้าแล้วข้ากับพี่หญิงขอตัวไปที่ร้านผ้าก่อนนะเ้าคะ พวกเราจะรีบกลับมาหลังปิดร้านทันทีเ้าค่ะ” ซูอันจับมือพี่สาวเอ่ยขอตัวกับครอบครัว และออกจากห้องโถงไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนจะขึ้นรถม้าซูอันให้อวี้เหลียนไปจัดการ เื่ที่นางสั่งการไว้ที่หมู่บ้าน ส่วนคนติดตามนางกับเยี่ยนหลิงจึงมีเพียงสามคน เมื่อมาถึงร้านผ้าซูอันเรียกหลงจู๊เหวยฉินมาพบ และบอกเื่ที่นางจะจัดงานประมูลผ้าไหมทองคำ โดยให้หลงจู๊เหวยฉินเขียนป้ายประกาศ ไปวางไว้ด้านหน้าร้านผ้าทั้งยังกำชับให้เขียนอักษรตัวใหญ่ ๆ ผู้คนจะได้มองเห็นอย่างชัดเจน
ซูอันตามลงมาคอยยืนมองมุมที่วางด้วยตนเอง เพียงแค่ป้ายประกาศถูกวางลงไม่ถึงอึดใจ มีชายวัยกลางคนแหวกผู้คนเข้ามาเอ่ยถาม เนื่องจากไม่เคยมีร้านค้าผ้าไหมร้านไหนทำเช่นนี้มาก่อน
“นี่ ๆ ๆ แม่นางท่านนี้ไม่ทราบว่างานประมูลที่ว่า เป็ร้านผ้าของเ้าจัดขึ้นเองโดยไม่มีร้านอื่นมาเข้าร่วมใช่หรือไม่”
ซูอันที่ถูกชายแปลกหน้าเรียกไว้ จึงหันมาตอบด้วยสีหน้าเฉยชา “ใช่ มีเพียงร้านของข้าที่จะจัดงานประมูลในครั้งนี้ เพราะข้าคิดว่าเมื่อทางร้านสามารถทำผ้าไหมที่งดงามออกมาได้ ควรนำมันแสดงให้พวกท่านได้เห็น หากผู้ใดสนใจสามารถเสนอราคาจนกว่าจะได้ผู้ชนะ”
“โอ้ ร้านผ้าไหมของท่านช่างทำให้ข้าเปิดหูเปิดตาแล้ว ขอบคุณแม่นางไว้ข้าจะรอชมผ้าไหมที่งดงามของท่านนะ”
“ขอบคุณไว้ล่วงหน้าเ้าค่ะ” ซูอันกล่าวสั้น ๆ ก่อนจะก้มศีรษะเล็กน้อยและเดินกลับเข้าร้านไปทันที
ชายแปลกหน้าวัยกลางคนเดินกลับมาทางเดิม ซึ่งมีรถม้าคันหนึ่งจอดรออยู่นิ่ง ๆ ก่อนจะรายงานเื่ที่สอบถามมาได้
“นายท่านขอรับ”
“ว่าอย่างไร นางใช่หลานสาวของหลิวเฟยหรือไม่”
“เรียนนายท่านนางเป็หลานสาวของหลิวเฟยจริง ๆ ขอรับ”
“หึ ๆ ๆ ไม่คิดว่าคนที่สามารถปักผ้าได้งดงาม จะเป็นางที่นำผ้าปักไปส่งที่ร้านของข้า ในเมื่อเป็บุตรหลานของหลิวเฟย หากข้า้าผ้าที่งดงามจากร้านนี้ ก็แค่ข่มขู่หลิวเฟยให้ลงมือ หลังจากนั้นผ้าไหมจากร้านหงส์ทอเมฆา ย่อมวางขายอยู่ที่ร้านของข้าทั้งหมด ฮ่า ๆ ๆ”
“นายท่านช่างฉลาดหลักแหลมยิ่งนักขอรับ”
ชายแปลกหน้าวัยกลางคนที่ถามเื่ประมูลผ้ากับซูอัน มิใช่ใครที่ไหนแต่เขาคือบ่าวคนสนิทของนายท่านฮ่วน เป็หนึ่งในตระกูลเศรษฐีของเมืองถู่หลาน เขาเคยสั่งซื้อผ้าปักกับตระกูลหลิวอยู่บ่อยครั้ง
แต่เื่ที่ครอบครัวของซูอันออกจากตระกูลหลิว นายท่านฮ่วนไม่เคยรู้เพราะหลิวเฟยสั่งให้ทุกคนในจวนปิดปากให้สนิท จนกระทั่งผ้าปักที่สั่งครั้งล่าสุดดูธรรมดาไม่มีจุดใดโดดเด่น นายท่านฮ่วนจึงไปอาละวาดที่ตระกูลหลิว และยังข่มขู่ให้ชดใช้เงินหลายพันตำลึงทอง หากตระกูลหลิวไม่ยอมชดใช้นายท่านฮ่วนจะไปฟ้องร้องกับทางการ
ยามนี้ตระกูลหลิวตกที่นั่งลำบากอย่างมาก ทรัพย์สินที่เคยมีก็ทยอยนำออกมาขาย เพื่อนำเงินไปจ่ายชดเชยให้ลูกค้า เมื่อสถานการณ์ในตระกูลบีบบังคับ ถึงจะเป็การกลืนน้ำลายตนเอง หลิวเฟยย่อมไม่รีรอที่จะรับปาก ขอเพียงตระกูลหลิวยังยืนต่อได้ ไม่ว่าจะอับอายขายหน้าเพียงใดเขาย่อมปัดทิ้งอย่างไม่แยแส
