ทว่าไป๋เซี่ยเหอมีความสัมพันธ์อันใดกับจิ้งจอกน้อยกันแน่?
ถึงสามารถทำให้มันเต็มใจที่จะเสียเืครั้งแล้วครั้งเล่า
ใบหน้าหล่อเหลาของฮั่วเยี่ยนไหวแปรเปลี่ยนเป็เ็า เขาลุกขึ้นแล้วโยนจิ้งจอกน้อยลงไปบนเตียงนุ่ม จากนั้นก็โยนผ้ามาคลุมตัวจิ้งจอกน้อยโดยไม่รอให้มันลุกขึ้นมา
ก่อนจะจากไปทันที
เหตุใดจู่ๆ ถึงได้โกรธขึ้นมาเล่า? ช่างน่างุนงงจริงๆ!
จิตใจของบุรุษเปรียบดั่งเข็มในมหาสมุทร
จิ้งจอกน้อยกางผ้าออก แล้วกลิ้งตัวไปมาเพื่อเช็ดตัวที่เปียกจากบ่อน้ำพุร้อนและเหงื่อที่ไหลรินให้แห้ง...
เป็สัตว์เล็กก็ลำบากเหมือนกัน
การเช็ดตัวยากยิ่งกว่าการบุกเข้าไปในป่าดงดิบเสียอีก
เมื่อเช็ดตัวอย่างยากลำบากเสร็จแล้ว มันก็นอนฟุบด้วยความเหนื่อยล้า
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดสลัว
ห้องหนังสือคือสถานที่ที่ฮั่วเยี่ยนไหวใช้เวลาอยู่ในนั้นนานที่สุดภายในจวน
ดังนั้นฮั่วเยี่ยนไหวจึงมีความ้าสูงมากสำหรับห้องหนังสือ นอกจากจะฝังไข่มุกราตรีขนาดเท่าไข่นกกระจอกเทศเม็ดหนึ่งบนหลังคาแล้ว ยังฝังไข่มุกราตรีขนาดเท่ากำปั้นจำนวนไม่น้อยบริเวณกำแพงรอบด้านอีกด้วย
เมื่อเข้าสู่ยามราตรี ทั้งห้องก็ดูสว่างเหมือนกับตอนกลางวันก็ไม่ปาน
ไม่กระทบต่อการอ่านสาสน์แม้แต่น้อย
ปกติแล้วเมื่อฮ่องเต้รู้สึกว่าสาสน์ฉบับไหนยากที่จะคลี่คลาย หรือรู้สึกว่ามีสาสน์เยอะเกินไปจนอ่านไม่หมด ก็จะให้คนส่งมาให้ฮั่วเยี่ยนไหว
นี่แสดงให้เห็นว่าพี่น้องคู่นี้มีความเชื่อใจกันและกันเป็อย่างยิ่ง
ไป๋เซี่ยเหอเห็นการยึดบัลลังก์หรืออะไรเทือกนั้นมาเยอะแล้ว ทว่าสายสัมพันธ์ที่แปลกใหม่เช่นนี้ในราชวงศ์ นางกลับเพิ่งเคยพบเจอเป็ครั้งแรก
เมื่อจิ้งจอกน้อยตื่นขึ้น ก็มีผ้าห่มคลุมอยู่บนร่างั้แ่เมื่อใดไม่ทราบ
แม้แต่าแที่อุ้งเท้าก็ถูกพันแผลเรียบร้อย รู้สึกได้อย่างเลือนรางถึงความเย็นจากยาขี้ผึ้งที่ทาตรงบริเวณาแ
เขาเป็คนใส่ยาให้กระมัง
“ตื่นแล้วหรือ?” ฮั่วเยี่ยนไหวถาม เขากำลังอ่านสาสน์ตรงหน้าด้วยความตั้งใจ โดยที่มือยังถือพู่กันขีดเขียนอะไรบางอย่าง
“อีกเดี๋ยวอาหารถึงจะเรียบร้อย เ้ากินผลไม้รองท้องไปก่อนเถิด”
จิ้งจอกน้อยะโลงจากเตียงอย่างไม่เกรงใจ มันนั่งลงข้างๆ เก้าอี้ที่ฮั่วเยี่ยนไหวนั่งอยู่ ก่อนจะยื่นอุ้งเท้าไปหยิบพุทราสีเขียวในถาด
กร้วม
รสชาติหวานฉ่ำ
“ท่านอ๋อง”
“เข้ามา”
อิ๋งเฟิงเดินกระโผลกกระเผลกเข้ามา เขาปวดเท้าจนแทบตายแล้ว!
“สืบได้แล้วหรือว่าในเมืองเกิดความวุ่นวายอะไรกัน?”
อิ๋งเฟิงพยักหน้า พยายามแสดงท่าทีตั้งใจและจริงจัง ทว่าเขารู้สึกน้อยอกน้อยใจนัก!
“เกี่ยวข้องกับจวนสกุลไป๋พ่ะย่ะค่ะ”
ฮั่วเยี่ยนไหวเหลือบมองจิ้งจอกน้อยอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เมื่อเห็นว่ามันกำลังตั้งอกตั้งใจแทะพุทราอยู่ เขาจึงละสายตาจากมัน
“พูดต่อสิ”
ท้ายที่สุดแล้วหญิงสาวที่มีความสัมพันธ์กับชายที่ไม่สมประกอบในวันนั้นก็ตายตกอยู่ในห้อง
เดิมทีจวนสกุลไป๋ได้มอบเงินให้ครอบครัวของนางแล้ว โดยอ้างว่านางป่วยตาย
ทว่าไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดคนในครอบครัวของหญิงสาวผู้นั้นถึงได้รู้ว่า บุตรสาวของตนจบชีวิตลงอย่างน่าสังเวช
“หญิงสาวผู้นั้นเป็สาวใช้ในจวนสกุลไป๋ ผู้ใดจะรู้ว่านางจะถูกญาติคนหนึ่งของอี๋เหนียงปู้ยี่ปู้ยำจนถึงแก่ชีวิต เมื่อมารดาของนางรู้เข้า ก็เดินทางเข้าเมืองมาทวงถามความยุติธรรมจากจวนสกุลไป๋ ทว่าทำได้เพียงยืนอยู่หน้าประตูจวน นางโมโหมาก จึงะโลงจากประตูเมืองพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้งจอกน้อยชะงักทันที นางเป็ผู้ส่งคนไปบอกข่าวแก่มารดาของสาวใช้ผู้นั้นเอง ทว่านางก็ส่งเงินไปเป็จำนวนมากด้วย อย่างน้อยก็เพียงพอที่จะให้ครอบครัวของสาวใช้ผู้นั้นไม่ต้องกังวลเื่อาหารการกินไปตลอดชีวิต
แล้วตายไปเช่นนี้ได้อย่างไร?
ไป๋เซี่ยเหอประเมินความโเี้ของลู่เป๋าเหยาต่ำไป
ตอนนั้นข่าวลือเสียๆ หายๆ ของลู่เป๋าเหยาแพร่สะพัดไปทั่ว กอปรกับไป๋เหล่าฮูหยินมาข่มขู่นางครั้งแล้วครั้งเล่า
ลู่เป๋าเหยาจึงจำต้องกัดฟันสั่งให้คนสังหารหลานชายที่ไม่สมประกอบของนาง เพื่อรักษาอำนาจในการดูแลจวนของตนเอาไว้
ยังไม่ทันได้โล่งใจ มารดาของสาวใช้ผู้นั้นก็มาเยือนถึงหน้าประตูจวน
นางร้องห่มร้องไห้ เอะอะโวยวายเสียยกใหญ่ ทำให้บรรดาชาวบ้านต่างพากันมารุมประณามที่หน้าประตูจวน
ถือเป็การกระทำที่ทำลายชื่อเสียงของจวนสกุลไป๋ และทำให้ชาวบ้านก่นด่านาง
ลู่เป๋าเหยาโมโหเสียจนกระอักเืออกมาคำใหญ่
นางไม่ปล่อยให้ผู้ใดผ่านเข้าประตูจวน เพียงส่งคนไปบอกสตรีผู้นั้นว่าบุตรสาวของนางตายแล้ว ส่วนร่างอันเปลือยเปล่าถูกทิ้งไว้ที่เนินหลุมศพ และถูกสุนัขป่าคาบไปกิน
เพียงแต่จิ้งจอกน้อยเดาว่าลู่เป๋าเหยาคงคิดไม่ถึงว่าสตรีผู้นั้นจะบ้าบิ่น ถึงขั้นะโลงมาจากกำแพงเมืองเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่บุตรสาวของนางเช่นนี้
ข่าวลือที่เพิ่งเงียบไปกลับได้รับความสนใจอีกครั้ง น้ำลายของชาวบ้านแทบจะไหลท่วมจวนสกุลไป๋
ริมฝีปากและใบหน้าอันเยือกเย็นของจิ้งจอกน้อยแปรเปลี่ยนเป็รอยยิ้มแสยะ
ลู่เป๋าเหยา นี่เพิ่งจะเริ่มเองนะ!
เวรกรรมตามทันแล้ว ความชั่วร้ายที่เ้าก่อ ในที่สุดก็จะคืนสนองกลับไปหาเ้า!
และการปรากฏตัวของข้าก็คือการคืนสนองครั้งใหญ่ที่สุด!
“เ้ามีความแค้นกับอี๋เหนียงรองแห่งจวนสกุลไป๋หรือ?”
ฮั่วเยี่ยนไหวเอนตัวพิงที่รองแขนของเก้าอี้ตัวยาวอย่างเกียจคร้าน ดวงตาอันเฉียบคมของเขาหรี่ลง ริมฝีปากบางขบเม้มจนขึ้นสีแดงราวกับดอกอิงฮวา[1]ก็ไม่ปาน
ปกติแล้วเขาเป็คนที่น่าเกรงขาม โเี้ และดุร้าย
ทว่าในเวลานี้เขาสวมชุดคลุมผ้าดิ้นเงินดิ้นทองสีม่วง ทั่วทั้งสรรพางค์กายแผ่ลมปราณอันเอ้อระเหยและทรงเสน่ห์ออกมา
เขาเป็คนโเี้ ทว่ามีเสน่ห์ยิ่งกว่า อุปนิสัยที่แตกต่างกันคนละขั้วเช่นนี้ กลับผสมผสานอยู่ภายในร่างกายของเขาอย่างกลมกลืน
จิ้งจอกน้อยส่ายศีรษะ
“หงิง”
ไม่มี
ไป๋เซี่ยเหอต้องยอมรับว่าบุรุษตรงหน้านั้นไม่อาจดูแคลนได้จริงๆ เขามีไหวพริบและเฉลียวฉลาดเกินไป
หากปล่อยให้เขาสอบถามมากกว่านี้ เกรงว่าวันที่เขาเดาว่าจิ้งจอกน้อยคือไป๋เซี่ยเหอคงอยู่ไม่ไกลแล้ว
หากเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น...
เพียงแค่คิด นางก็รู้สึกขนลุกขนชันเสียแล้ว
ไม่ทราบว่าฮั่วเยี่ยนไหวจะสังหารนางด้วยคมมีด เพราะถูกนางปิดบังและหลอกลวงหรือไม่
เมื่อเห็นว่าจิ้งจอกน้อยส่ายศีรษะ ฮั่วเยี่ยนไหวก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อได้เพียงใด แต่ก็ไม่ได้ถามสิ่งใดอีก
หากมันไม่เต็มใจจะบอก ถามไปก็ไร้ความหมาย
หลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จ
ฮั่วเยี่ยนไหวอ่านสาสน์ฉบับสุดท้ายจบแล้ว เขาเบือนหน้าไปมองจิ้งจอกน้อยที่ใช้อุ้งเท้าเล็กๆ หนุนศีรษะและกำลังเหม่อลอยอยู่ด้านข้าง
ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เลวเลย
“อยากไปเดินเล่นหรือไม่?”
คืนนี้เขาอารมณ์ดีนัก
“หงิง!”
อยากไป อยากไป
ฮั่วเยี่ยนไหวหยิบเสื้อคลุมตัวเล็กที่ทั้งงดงามและน่ารักออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนจะสวมลงบนร่างของจิ้งจอกน้อย
เสื้อคลุมนี้ถูกสั่งตัด เนื้อผ้ามีกลิ่นหอมเย็นๆ ของสะระแหน่จากร่างของฮั่วเยี่ยนไหวติดมาด้วย
แววตาที่อบอุ่นราวกับแสงจันทราของฮั่วเยี่ยนไหวเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยน เขายื่นมือมาหามัน “ยังไม่ตามมาอีก”
จิ้งจอกน้อยะโขึ้นไปบนฝ่ามือของเขาอย่างไม่ลังเล ราวกับว่าทำเช่นนี้จนเคยชินแล้ว
“หงิง!”
ออกเดินทางได้!
บนถนนอันพลุกพล่านในเมืองหลวง เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กของผู้คน ดูครึกครื้นอย่างยิ่ง
ฮั่วเยี่ยนไหวสวมชุดคลุมยาวสีม่วงเข้ม มีลวดลายพยัคฆ์ขาวที่ปักด้วยด้ายสีเงินดูน่าเกรงขามอย่างยิ่ง เขาสวมหน้ากากแบบเดียวกับอินทรีโลหิต เพียงแต่เมื่อเปรียบเทียบกับพวกอิ๋งเฟิงแล้ว หน้ากากของเขากลับดูประณีตและมีขนาดใหญ่กว่า
หน้ากากบดบังใบหน้าของเขาเกือบครึ่ง เหลือไว้เพียงส่วนล่างใต้ริมฝีปากบางเท่านั้น
บนฝ่ามือของเขามีจิ้งจอกหิมะขนปุกปุยตัวหนึ่งนอนอยู่ มันหรี่ตาด้วยความรู้สึกสบายตัวที่ถูกเขาใช้นิ้วลูบขนอย่างเบามือ
“เดรัจฉานสมควรตาย ข้าจะตีเ้าให้ตาย กล้ามาขโมยปลาแห้งอีก”
หลังเสียงะโอันหยาบคายก็ตามมาด้วยเสียงอะไรบางอย่างกระทบผิวเนื้อ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดึงดูดสายตาของผู้คนที่สัญจรไปมา
สิ่งที่ปรากฏในสายตาคือ ชายฉกรรจ์ที่หน้าตาดุร้ายผู้หนึ่งถือไม้ตะบองใหญ่เท่าแขนทารกไว้ในมือ ที่แทบเท้าของเขาคือแมวสีขาวรูปร่างผอมโซตัวหนึ่ง
เดิมทีแมวตัวนี้ก็อ่อนแรงอยู่แล้ว เมื่อถูกไม้ตะบองฟาดลงไปสองสามที ลมหายใจก็รวยรินเต็มที ทว่าในปากของมันยังคงคาบปลาแห้งชิ้นหนึ่งเอาไว้
น้ำตาของมันคลอเบ้า แม้ว่าจะเ็ปเพียงใดก็ไม่คายปลาแห้งทิ้ง
“เมี้ยว”
เสียงร้องที่ฟังดูอ่อนแรงดังแว่วมาจากมุมกำแพง จิ้งจอกน้อยหันไปมอง จึงพบว่าตรงนั้นมีลูกแมวที่ผอมโซตัวหนึ่งนอนอยู่
ดูเหมือนลูกแมวจะเพิ่งเกิดได้ไม่นาน กอปรกับขาดสารอาหาร เพียงยืนขึ้นก็หมดแรงแล้ว มันส่งเสียงร้องอย่างเศร้าสร้อย พยายามจะวิ่งมาที่ข้างกายของแมวสีขาวตัวนั้น
น่าเสียดายที่พลังใจล้นเหลือ ทว่าพลังกายกลับไม่พอ
“เมี้ยวๆ” เสียงร้องอันอ่อนแรงราวกับฟาดเข้าที่หัวใจของจิ้งจอกน้อยอย่างไรอย่างนั้น
ไม่ทราบว่าเป็เพราะตอนนี้ไป๋เซี่ยเหออยู่ในร่างสัตว์หรือไม่ นางถึงได้รู้สึกทรมานใจอย่างยิ่ง
จิ้งจอกน้อยหันซ้ายแลขวา ก่อนจะเห็นว่าผู้คนรอบข้างเพียงชายตามองแวบหนึ่ง จากนั้นก็แยกย้ายกันไปทำธุระของตนเอง ไม่มีใครสนใจแมวน้อยตัวนี้เลย
จิ้งจอกน้อยได้ยินเสียงร้องอันเศร้าสร้อยของลูกแมว และมองเห็นแมวสีขาวที่แม้จะเจ็บเพียงใดก็ไม่ยอมคายปลาแห้ง
สิ่งที่มันคาบไว้ในปากไม่ใช่เพียงปลาแห้งเท่านั้น ทว่ายังรวมถึงชีวิตของลูกมันด้วย
“กรร!”
ปล่อยแมวสีขาวเดี๋ยวนี้นะ!
เมื่อไม้ตะบองกำลังจะกระทบร่างของแมวสีขาว จิ้งจอกน้อยก็กระโจนเข้าไปทันที มันปีนขึ้นไปบนเสื้อผ้าของชายฉกรรจ์ผู้นั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะงับปากเสือ[2]ของเขาเต็มคำ
“โอ๊ย!”
------------------------
[1] ดอกอิงฮวา หมายถึง ซากุระ
[2] ปากเสือ หมายถึง ง่ามมือระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้