บทที่ 1: เขื่อนแตก.!
ในรัชศกเทียนเป่า ปีที่ 14 ณ หมู่บ้านจิ่งสุ่ย ชายแดนต้าถัง สายฝนมิได้โปรยปรายลงมาเพื่อชะล้าง แต่เพื่อกลืนกินทุกสรรพสิ่ง ภายใต้เรือนไม้เก่าที่ทรุดโทรมร่างของเด็กสาว ซูเหยียน นอนสงบนิ่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่เก่าๆ ลมหายใจรวยรินแ่เบาราวกับขนนกที่พร้อมจะปลิดปลิว มารดาของนางร่ำไห้จนแทบสิ้นสติอยู่ข้างกาย ขณะที่ซูก๋วนผู้เป็น้องชายกำมือนางไว้แน่น ดวงตาแดงก่ำจ้องมองพี่สาวผู้เปรียบเสมือนแสงสว่างหนึ่งเดียวของครอบครัวกำลังจะดับลง
"ท่านแม่...ท่านพี่..." เด็กหนุ่มสะอื้น "ท่านพี่ไม่หายใจแล้ว!"
สิ้นเสียงนั้น สตรีผู้เป็มารดาก็กรีดร้องออกมาสุดหัวใจ ร่างของซูเหยียนกระตุกเบาๆ เป็ครั้งสุดท้าย ก่อนจะแน่นิ่งไปโดยสมบูรณ์...เสียงร่ำให้ของครอบครัวเล็กๆ ของพวกเขา ทำให้ผู้ที่ยืนหลบฝนอยู่นอกชายคาของเรือนไม้ต่างก็เศร้าสลดใจเพราะพวกเขาต่างก็มาเพราะคำขอของซูเจินว่าลูกสาวของนางคงจะจากไปในอีกไม่นาน
“แม่ซูเจิน..พวกข้าเข้าใจว่าพวกเ้าโศกเศร้ายิ่งนัก แต่ตอนนี้ซูเหยียนก็จากไปแล้ว เร็วเถอะนี่ก็จะค่ำแล้ว พวกข้าจะได้ช่วยกันทำพิธีมุดตราสัง และแจ้งฟ้าดินให้รับรู้” ป้าหว่านเอ่ยขึ้นด้วยคำพูดอ่อนโยนพรางปลอมใจ
บ้านไม้เก่าๆ ชั้นเดียวที่มีแคร่สำหรับนอน ก็คือเตียงที่ซูเหยียนนั้นสิ้นลม จากนั้นพวกเขาก็ทำพิธีมุดตราสังและบอกล่าวฟ้าดิน ทุกอย่างดำเนินไปในขณะที่ฝนก็ยังตกอย่างไม่ลดละ
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น ลุงหวังและชาวบ้านอีก10คนก็กำลังจัดเตรียมหีบศพที่พวกเขาทำขึ้นจากแผ่นไม้ที่เลื่อยมาเพิ่งเสร็จ เสียงพูดคุยเป็ไปอย่างเงียบเหงา ต่างคนต่างก็ช่วยเหลือกัน
“พวกเราต้องฝังร่างนางในคืนนี้นะ... เร็วเข้าเร่งมือกันอีกหน่อยหีบศพเสร็จหรือยัง ตาเฒ่าซุย”
“เหลือไม้อีกแผ่นเดียวก็เสร็จแล้วป้าจาง”
ในหมู่บ้านเล็กๆ เชิงเขาการไปมาหาสู่ไม่สะดวกนัก ดังนั้นจึงมีคนมาช่วยงานศพอยู่เพียงไม่กี่ครอบครัว ส่วนซูก๋วนน้องชาย ยังคงนั่งร้องให้อยู่ข้าศพนาง ไม่ห่าง
“พี่ใหญ่...จากนี้ต่อไปข้าจะดูแลท่านแม่เองพี่หลับให้สบายไม่ต้องเป็ห่วงอะไรอีกแล้ว ฮือ ฮือ ฮือ.!”
หนึ่งพันสองร้อยปีต่อมา...
เสียงไซเรนกรีดแหลมบาดแก้วหู ประสานงากับเสียงคำรามของพสุธาและสายฝนที่มืดฟ้ามัวดินราวกับฟ้ารั่ว มวลน้ำป่าสีขุ่นคลั่กเชี่ยวกรากไหลบ่าท่วมสูงจนถึงต้นขา เย็นเยียบและหนักอึ้งราวกับโซ่ตรวนที่พันธนาการทุกย่างก้าว
ถังเหมยหลิน แพทย์ทหารหญิงวัยสามสิบในชุดกันฝนสีส้มสะท้อนแสง หอบหายใจอย่างหนักหน่วงแต่ท่วงท่ายังคงมั่นคง สองแขนของเธอประคองร่างเด็กชายวัยห้าขวบที่หมดสติไว้แนบอก พยายามฝืนแรงต้านของกระแสน้ำมรณะเพื่อมุ่งหน้าไปยังหน่วยพยาบาลสนามที่ตั้งอยู่อย่างทุลักทุเลบนเนินดิน
รอบกายคือภาพแห่งความวิปโยค เสียงร้องขอความช่วยเหลือ เสียงะโสั่งการ และเสียงร่ำไห้ของผู้สูญเสียดังระงมผสมปนเปกันจนฟังไม่ศัพท์
"ปากทางเขื่อนหลิวกั๋วเริ่มปริแตกแล้ว! ทุกหน่วยเตรียมถอนกำลังด่วน!
ย้ำ! ถอนกำลังเดี๋ยวนี้!"
เสียงคำสั่งเฉียบขาดที่ดังแทรกสัญญาณซ่าๆ จากวิทยุสื่อสาร ทำให้ฝีเท้าของเหมยหลินหยุดชะงัก นางหันขวับไปมองยังทิศต้นน้ำ สันเขื่อนคอนกรีตขนาดมหึมาที่เคยเป็ดั่งปราการพิทักษ์ชีวิต บัดนี้มีรอยร้าวขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นพร้อมกับสายน้ำที่ทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง มันคือสัญญาณแห่งความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามา
หัวใจของนางกระตุกวูบ แต่เมื่อก้มลงมองใบหน้าซีดเผือดของเด็กน้อยในอ้อมแขน ความลังเลทั้งหมดก็มลายหายไปสิ้น
"เด็กคนนี้ยังหายใจอยู่!" นางะโสวนกลับไปยังเพื่อนร่วมทีมที่กำลังกวักมือเรียกอย่างร้อนรน "ชีพจรเขายังเต้น! ฉันจะพาเขาไปที่ศูนย์พักพิงให้ได้!"
นางไม่รอฟังคำทัดทานใดๆ อีกต่อไป สัญชาตญาณของแพทย์ผู้ปฏิญาณตนว่าจะรักษาทุกชีวิตให้ถึงที่สุด ผลักดันให้นางออกวิ่งอีกครั้ง ทว่า...มันสายเกินไปแล้ว
ครืนนนนน! บึ้มมมม!
เสียงลั่นสะท้านปฐีดังมาจากต้นน้ำ มันไม่ใช่เสียงของอสนีบาต แต่เป็เสียงแห่งความวิบัติที่แท้จริง สันเขื่อนหลิวกั๋วที่ยืนหยัดมานานนับสิบปี บัดนี้ได้พังทลายลงอย่างสมบูรณ์!
ทุกคนที่ได้ยินเสียงนั้นต่างพากันเงยหน้าขึ้นมองด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง และภาพที่เห็นก็ทำให้เืในกายของพวกเขาจับตัวเป็น้ำแข็ง
กำแพงน้ำขนาดั์สูงเทียมตึกสองชั้นก่อตัวขึ้นเป็เงาดำทะมึน กลืนกินทุกสรรพสิ่งเบื้องหน้าของมัน เสียงคำรามของมันดังสนั่นกลบทุกเสียงในโลกหล้า ต้นไม้ใหญ่ถูกถอนรากถอนโคนราวกับกิ่งไม้แห้ง ซากบ้านเรือนถูกบดขยี้เป็ชิ้นเล็กชิ้นน้อย อสุรกายแห่งวารีถาโถมเข้าใส่ทุกชีวิตอย่างไม่ปรานี
ถังเหมยหลินเบิกตากว้าง เธอทำได้เพียงกระชับร่างของเด็กน้อยในอ้อมแขนให้แน่นขึ้นอีกเป็ครั้งสุดท้าย ในแววตาของเธอไม่มีความหวาดกลัว มีเพียงความเสียดาย...เสียดายที่ไม่อาจยื้อชีวิตน้อยๆ นี้ไว้ได้
นั่นคือภาพสุดท้ายที่ทุกคนในหน่วยแพทย์ได้เห็น...ภาพของแพทย์ทหารหญิงร่างเล็กที่ยืนหยัดอย่างทระนง หันหน้าเข้าหาคลื่นั์มรณะแล้วทุกอย่างก็จมดิ่งสู่ความมืดมิด...ความเ็ปแหลกสลายแล่นพล่านไปทั่วร่าง ก่อนที่ความรู้สึกทั้งหมดจะดับวูบลง สติสัมปชัญญะของถังเหมยหลินจมหายไปในกระแสธาราอันเชี่ยวกราก ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า...
...และในห้วงแห่งความมืดมิดอันเป็นิรันดร์นั้นเอง แสงสว่างจุดเล็กๆ พลันปรากฏขึ้นที่ปลายอุโมงค์...
ณ หมู่บ้านจิ่งสุ่ย ร่างที่ไร้ิญญาของซูเหยียนซึ่งนอนอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ มือเท้าถูกมัดในท่าเตรียมบันจุใส่โลงท่ามกลางเสียงร้องให้ของเด็กชายที่ดังอยู่ข้างๆ ...ดวงตาของถังเหมยหลิน พลันลืมตาโพลงขึ้นมา!พร้อมเสียงหายใจเฮือกใหญ่ ราวกับคนเพิ่งโผล่พ้นจากน้ำ
“ฮ่ะ!” ซูก๋วนใสุดขีด และถอยห่างจากร่างที่มีิญญา...ถึงกับตกเตียง!
โคร่ม!
ดวงตาที่เบลอเริ่มค่อยๆ โฟกัส หลังคามุงจาก นั่นคือเสียงที่ดังมาในความคิดของเธอ แต่แววตาคู่นั้นไม่ใช่เด็กสาวชาวบ้านอีกต่อไป มันกลับคมกล้า และเต็มไปด้วยความสับสน ลมหายใจที่เคยแ่เบากลับมาเป็ปรกติอีกครั้ง ในขณะที่เด็กชายยังคงนั่งตัวแข็งอยู่ที่พื้น
"ที่นี่...ที่ไหน?" เสียงเล็กๆ แหบพร่าที่ไม่คุ้นเคยดังออกมาจากริมฝีปากของซูเหยียนในขณะที่มือและท้าวถูกผ้าฝ้ายสีขาวมัดแน่น เด็กหนุ่มซูก๋วนดวงตาเบิกกว้างด้วยความใปนดีใจ ขณะที่ซูเจินผู้เป็มารดา พอได้ยินเสียงร้องของลูกชายตกจากแคร่ นางก็รีบเปิดประตูเข้ามาและถอยหลังกรูดด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
"ปี...ปีศาจ!" นางชี้นิ้วสั่นเทาไปยังร่างของบุตรสาว "เ้าเข้าสิงลูกข้า! ออกไปนะ!"
ถังเหมยหลินในร่างของซูเหยียนพยายามยันกายลุกขึ้น แต่เรี่ยวแรงกลับไม่มีเหลือ นางกวาดตามองไปรอบๆ กระท่อมดินเก่าซอมซ่อ ผู้คนในชุดโบราณ ที่กำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ด้านนอก เสียงดังโครมคราม และภาษาที่แปลกหู...ความทรงจำอันเ็ปของมวลน้ำมหาศาลยังคงวนเวียนอยู่ในหัว
นี่มันเื่บ้าอะไรกัน! ฉันตายไปแล้วไม่ใช่หรือ? แล้วที่นี่คือที่ไหน?
หรือว่า...นี่คือนรกขุมที่ว่ากันว่ามีจริง?
แต่ไม่ทันที่นางจะได้หาคำตอบ ร่างกายที่อ่อนแอก็ไม่อาจต้านทานได้อีกต่อไป สติของนางดับวูบลงอีกครั้ง ทิ้งไว้เพียงปมปริศนาที่เพิ่งเริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางสายตาและความตื่นตระหนกของผู้คนในยุคสมัยที่นางไม่เคยรู้จัก.!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้