โจวโม่เสวียนตอบไปอย่างใจคิดว่า “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านอาน้อยห่วงท่านหมอเทวดาน้อยเสียอย่างยิ่ง”
คนพูดไม่ตั้งใจ แต่คนฟังกลับตั้งใจ ฉินไท่เฟยรู้อยู่แล้วว่าหลี่หรูอี้เป็แม่นางน้อยปีนี้อายุสิบปี จึงคิดว่าเจียงชิงอวิ๋นจะหมายตาหลี่หรูอี้แล้วหรือไม่ เมื่อเจียงชิง อวิ๋นไว้ทุกข์ครบกำหนด หลี่หรูอี้ก็ปักปิ่นพอดี…
“ครอบครัวของหมอเทวดาน้อยทำอาชีพใด”
โจวโม่เสวียนตอบด้วยรอยยิ้มว่า “เพาะปลูกกับทำการค้าพ่ะย่ะค่ะ อ้อ... ใช่ เต้าหู้ตระกูลหลี่ ขนมไหว้พระจันทร์รสหวานตระกูลหลี่ ทั้งถั่วงอก และอื่นๆ ที่ท่านย่าโปรดเสวยล้วนมาจากเรือนของหมอเทวดาน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินไท่เฟยคิดในใจว่า ที่แท้เป็ครอบครัวค้าขาย
โจวโม่เสวียนกล่าวต่อไปว่า “บุตรียอดกตัญญูผู้ทำหมวกนิรภัยที่ท่านและเสด็จแม่มอบของกำนัลให้เมื่อปีกลาย บุตรียอดกตัญญูผู้นั้นก็คือ หมอเทวดาน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินไท่เฟยแทบจะลืมเื่นี้ไปแล้ว พอย้อนนึกดูสักพัก จึงกล่าวว่า “ว่ามาดังนี้ทั้งบิดาและอาของหมอเทวดาน้อยก็เคยมาสร้างกำแพงเมืองที่เมืองเยี่ยนน่ะสิ”
“พ่ะย่ะค่ะ วันนี้ข้าได้พบกับบิดาของหมอเทวดาน้อยแล้ว เขาเป็คนซื่อๆ ตรงไปตรงมาคนหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินไท่เฟยถอนใจเบาๆ คิดในใจว่า ชั้นตระกูลของหมอเทวดาน้อยก็ต่ำต้อยเกินไปไม่คู่ควรกับหลานชายแสนดีผู้นั้นของข้า
“หลานยังได้พบกับพี่ชายทั้งสี่คนของหมอเทวดาน้อยด้วย พวกเขาเป็คู่แฝดสองคู่พ่ะย่ะค่ะ” โจวโม่เสวียนยิ้มตาหยีพลางว่า “แม้จะบอกว่าเป็คู่แฝด แต่กลับหน้าตาไม่เหมือนกันเลย พี่ชายคนโตและคนรองไม่เหมือนกันสักนิด พี่ชายคนที่สามกับสี่ก็เหมือนกันเพียงสามส่วนเท่านั้น หลานได้ยินว่า น้องชายสองคนของหมอเทวดาน้อยก็เป็คู่แฝดด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อฉินไท่เฟยได้ฟัง ดวงตาเฒ่าชราของนางก็เป็ประกายขึ้นมาทันใด พลันถามไปด้วยความสนใจว่า “เ้าว่ามารดาของหมอเทวดาน้อยคลอดลูกแฝดหรือ”
ในขณะที่โจวโม่เสวียนเล่าเื่เหล่านี้ให้ฉินไท่เฟยฟัง ฝ่ายหลังก็มีอาการตื่นเต้นขึ้นมา ดูทีว่าเหล่าสตรีล้วนชื่นชอบข่าวคราวนานาที่เกี่ยวกับทายาทสืบสกุล “พ่ะย่ะค่ะ หมอเทวดาน้อยมีพี่ชายฝาแฝดสองคู่และน้องชายฝาแฝดอีกหนึ่งคู่พ่ะย่ะค่ะ”
เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนระหว่างักับงู[1] ในขัตติยวงศ์แห่งฮ่องเต้จึงไม่ชื่นชอบคู่แฝด แต่หากเป็ตระกูลอื่นๆ กลับตรงกันข้าม โดยเฉพาะชาวบ้านทั่วไปล้วนชื่นชอบคู่แฝด ตั้งครรภ์คราวเดียวได้บุตรชายถึงสองคน นับเป็มงคลซ้อนมงคล
“บิดามารดาของหมอเทวดาน้อยช่างมีวาสนานัก”
“จริงพ่ะย่ะค่ะ ข้าได้ยินท่านอาหลี่บอกว่า เขาเป็ผู้รอดชีวิตจากโรคระบาด ครานั้นเขาหนีออกมาจากบ้านเกิด เหลือเพียงตัวเขากับลูกผู้น้องฝ่ายบิดาเท่านั้น ภายหลังจึงแต่งงานกับมารดาของหมอเทวดาน้อย นี่ผ่านไปแค่สิบกว่าปีก็ได้บุตรชายหก บุตรสาวหนึ่ง รุ่งเรืองมีลูกชายเต็มบ้านพ่ะย่ะค่ะ”
“มีบุตรง่ายและยังตั้งครรภ์หนึ่งครั้งได้บุตรสองคน เื่นี้ดี ดีเหลือเกิน” ฉินไท่เฟยมีน้ำเสียงตื่นเต้น
โจวโม่เสวียนนึกว่าฉินไท่เฟยชื่นชมจ้าวซื่อมารดาของหลี่หรูอี้ จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “จริงพ่ะย่ะค่ะ มีบุตรได้นับเป็วาสนา แต่ว่ามีบุตรมากมิสู้มีบุตรเป็เลิศ เสด็จย่ามีเสด็จพ่อของหลานเพียงคนเดียว กลับดีงามกว่าคนที่มีบุตรมากมายเสียอีกพ่ะย่ะค่ะ”
ถ้อยคำประจบนี้ทำเอาฉินไท่เฟยยิ้มหน้าบานเป็ดอกไม้ทีเดียว ว่าแล้วก็ให้บ่าวคนสนิทไปเอาตั๋วเงินสองร้อยตำลึงมามอบให้โจวโม่เสวียนไว้ใช้สอยตามใจ และยังกำชับว่า “อย่าบอกเสด็จพ่อเสด็จแม่ของเ้าเล่า พวกเขาไม่ให้ข้าเอาใจเ้า”
“วางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ปากหลานปิดสนิทนักพ่ะย่ะค่ะ” ในสาบเสื้อของโจวโม่เสวียนยังมีตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงที่เยี่ยนหวังเฟยเพิ่งให้มาอยู่เลย ทั้งพระมารดาและเสด็จย่าล้วนแอบให้เงินทองเขาอยู่ทุกคราว แต่จากนั้นก็พากันปิดอีกฝ่าย คนที่ได้ประโยชน์จึงเป็เขานั่นเอง
“เป็อันใดไป คิดสิ่งใดจนใจลอย”
โจวโม่เสวียนเอ่ยด้วยท่าทีหงุดหงิดเล็กน้อยว่า “สกุลหลี่ทำของทานเล่นชนิดใหม่ให้ท่านอาน้อย ข้าชิมแล้วรสชาติไม่เลวเลย เพียงแต่วันนี้รีบเกินไป จึงลืมนำกลับมาให้เสด็จย่าลิ้มลองของใหม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ของว่างแปลกใหม่ใดจึงเข้าตาเ้าได้” ฉินไท่เฟยถามไปสองสามประโยคด้วยความใคร่รู้ จึงได้รู้ว่าบ้านสกุลหลี่มักนำของกินแปลกใหม่ไปส่งให้เจียงชิงอวิ๋น และเพื่อเป็การขอบใจบ้านสกุลหลี่ เจียงชิงอวิ๋นจึงชี้แนะเื่การเรียนให้กับพี่ชายทั้งสี่คนของหมอเทวดาน้อยที่กำลังศึกษาอยู่ในสำนักเล่าเรียน
“วันพรุ่งหลานจะนำกลับมาจำนวนหนึ่งให้ท่านลองเสวยพ่ะย่ะค่ะ”
“ตกลง” ฉินไท่เฟยตั้งใจถามด้วยความสนใจว่า “พี่ชายทั้งสี่คนของหมอเทวดาน้อย ยังจะสอบเข้าสำนักศึกษาหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ ข้าได้ยินท่านอาหลี่และหลี่ฝูคังบอกว่า พอเริ่มต้นวสันตฤดูพี่น้องสกุลหลี่ทั้งสี่คนก็จะสอบเข้าสำนักศึกษาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินไท่เฟยคล้ายมีความคิดบางประการ จึงสอบถามไปอย่างเนิบช้าว่า “สำนักศึกษามีค่าใช้จ่ายสูงนัก สกุลหลี่ส่งเสียไหวหรือ”
“เื่นี้มิใช่ว่าเสด็จพ่อของข้าเพิ่งประทานตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงให้หมอเทวดาน้อยหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ และบ้านสกุลหลี่เองก็ขายเต้าหู้พอจะหาเงินทองได้จำนวนหนึ่ง จึงสามารถส่งเสียให้พี่น้องสกุลหลี่เล่าเรียนที่สำนักศึกษาได้ไหวพ่ะย่ะค่ะ” โจวโม่เสวียนนึกขึ้นได้ว่า หลี่เจี้ยนอันมีสีหน้าซาบซึ้งต่อหลี่หรูอี้ยามเอ่ยถึงเื่นี้ จึงบอกไปอีกว่า “เสด็จย่า เดิมทีบ้านสกุลหลี่นั้นยากจนนัก เป็หมอเทวดาน้อยคิดหนทางหาเงิน และยืนกรานจะให้พี่ชายทั้งสี่คนไปร่ำเรียน ถ้าข้ามีน้องสาวเช่นหมอเทวดาน้อยสักคนก็คงดี”
เวลานั้นเองพลันมีเสียงเด็กสาวร้องเอ็ดดังมาจากข้างนอก “โม่เสวียน มีพี่สาวเช่นข้า เ้ายังรู้สึกว่าไม่เพียงพออีกหรือ จึงยังอยากจะได้น้องสาวที่ดีอีกคน หรือว่าข้าไม่ดีพอ”
โจวโม่เสวียนรีบเดินออกไปรับ เมื่อเห็นผู้ที่มาก็โค้งตัวลงคำนับทั้งเอ่ยยิ้มๆ ว่า “พี่หญิงที่แสนดี ข้าก็แค่พูดไปเช่นนั้นเอง ข้ามีพี่หญิงที่แสนดีเช่นท่านนับเป็บุญแต่ชาติปางก่อนทีเดียว”
โจวฉยงรุ่ยแย้มยิ้มงดงามดั่งบุปผา พลางมองน้องชายแท้ๆ ของตนที่หล่อเหลายากหาผู้ใดเทียบ กล่าวว่า “ปากเ้าทาน้ำผึ้งไว้หรือ ยามเอ่ยคำจึงได้หวานปานนี้”
“วันนี้เ้ามาช้านะ” ฉินไท่เฟยกวักมือเรียกหลานสาวมานั่งข้างๆ ปีนี้หลานสาวย่าจะปักปิ่น กำหนดเื่หมั้นหมายไว้เรียบร้อยและจะออกเรือนปลายปีนี้ นางจึงทำใจไม่ใคร่ได้
โจวฉยงรุ่ยเอ่ยเสียงอ่อนหวานว่า “เสด็จย่าเพคะ พี่สะใภ้มีกิจวุ่นวายนัก หลานจึงไปพาเสี่ยวเว่ยเอ๋อร์เล่นที่เรือนของนาง เพิ่งกล่อมเสี่ยวเว่ยเอ๋อร์จนหลับได้ก็มาหาท่านที่นี่ทันทีเพคะ”
“พี่สะใภ้ของเ้าเพิ่งจะรับงานดูแลจวน ก็เป็่ปีใหม่พอดี นับเป็่เวลาที่มีงานมากที่สุด นางต้องทำงานมากมาย เ้าไปช่วยเหลือนางได้ก็นับว่ามีน้ำใจจริงๆ” ฉินไท่เฟยชมหลานสาวไปสองสามประโยค เมื่อนั้นจึงปรายตาไปที่หลานชาย และสั่งความเขาว่า “เ้าน่ะ ทำตัวดีๆ อย่าสร้างความวุ่นวายให้พี่สะใภ้เ้าเป็พอ”
โจวโม่เสวียนชี้ที่จมูกของตน กล่าวว่า “หลานนี่หรือพ่ะย่ะค่ะ หลานจะสร้างความวุ่นวายใดได้ เมื่อครู่เสด็จพ่อยังตรัสว่า หลานทำเื่ดีสร้างความชอบนะพ่ะย่ะค่ะ”
โจวฉยงรุ่ยเอ็ดไปว่า “ยังจะพูดอีก เ้าแค่ไปที่เรือนพี่สะใภ้คราวหนึ่ง ก็ทำเอาแม่นางน้อยๆ หลายคนต้องทะเลาะกันเพราะเ้าแล้ว”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินไท่เฟยยังคงไม่เปลี่ยนไป
โจวโม่เสวียนกลับทำหน้าไม่รู้อีโหน่อีเหน่ “ข้าก็แค่ทักทายพวกนาง นอกนั้นก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก”
ไม่นานนักโจวปิงก็มาด้วย แต่ก่อนเขาจะไม่มาในเวลานี้ แต่ที่มาในวันนี้ก็เพราะมีธุระ “เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ วันพรุ่งลูกจะไปเยี่ยมเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าแก่สักหน่อย”
ฉินไท่เฟยย่อมต้องเห็นดีด้วย “เ้าไปเถิด”
“เช้าวันพรุ่งลูกก็จะไม่ได้มาหานะพ่ะย่ะค่ะ” โจวปิงปรายตามองบุตรธิดาทั้งคู่ด้วยแววตาชื่นชม เยี่ยนหวังเฟยให้กำเนิดบุตรธิดาให้เขาทุกคนล้วนดีทั้งสิ้น และคนที่กำลังอยู่ในครรภ์ก็จะต้องดีเช่นกัน
โจวโม่เสวียนถามด้วยความสงสัยว่า “วันพรุ่งเสด็จพ่อจะเสด็จไปเยี่ยมพวกท่านลุงจางหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่”
โจวฉยงรุ่ยถามว่า “เสด็จพ่อเพคะ วันพรุ่งลูกไม่มีธุระใด จะขอไปที่เรือนตระกูลจางกับท่านได้หรือไม่เพคะ ลูกอยากไปคุยเล่นกับจางจื่ออวิ๋นเพคะ”
โจวปิงพยักหน้า “ได้สิ วันพรุ่งไปพบกันที่ประตูทิศบูรพา ตอนยามเฉิน[2]” เมื่อนั้นจึงลุกขึ้นและเดินออกไปจัดการงานราชการต่อ
โจวโม่เสวียนเองก็เหน็ดเหนื่อยเพราะวุ่นวายมาทั้งวัน วันพรุ่งยังมีธุระอีก เมื่อโจวปิงออกไปแล้ว เขาก็ตามออกไปเช่นกัน
โจวฉยงรุ่ยถามว่า “เสด็จย่าเพคะ ท่านยังจำจื่ออวิ๋นได้หรือไม่เพคะ”
“จำได้สิ มิใช่สหายที่สนิทที่สุดของเ้าหรอกหรือ นางอายุเท่าเ้าหนำซ้ำยังเกิดเดือนเดียวกัน และกำลังจะแต่งงานตอนสิ้นปีนี้ เป็ผู้นั้นใช่หรือไม่”
โจวฉยงรุ่ยเอ่ยเบาๆ “เสด็จย่า ความจำของท่านช่างดีนัก”
แววตาของฉินไท่เฟยมีความรักและเอ็นดูเอ่อล้น “นั่นก็ต้องดูด้วยว่าเป็เื่ใด”
โจวฉยงรุ่ยเข้าไปกอดที่แขนของฉินไท่เฟย เอ่ยเสียงเบาว่า “งานแต่งของจื่ออวิ๋นถูกเลื่อนให้เร็วขึ้น อีกสิบวันนางก็จะแต่งงานแล้วเพคะ”
ฉินไท่เฟยถามด้วยความสงสัยว่า “เหตุใดจึงเลื่อนให้เร็วขึ้นเล่า”
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ักับงู หมายถึง หน้าตาเหมือนกันจึงสลับตัวกันได้ ซึ่งหากเป็ผู้สืบราชบัลลังก์ก็จะทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย
[2] ยามเฉิน คือ เวลา 7.00 – 9.00 น.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้