ราตรีเงียบสงบ แสงจันทร์กระจ่างดุจสายน้ำชโลมพื้นดิน ชวนให้คนรู้สึกหนาวเหน็บ
“เมื่อวานข้าเพิ่งจะทะลวงเขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับห้าไป หากวันนี้คิดจะทะลวงเพิ่มอีกหนึ่งขั้น มีโอกาสสูงที่รากฐานจะสั่นคลอนและส่งผลต่อการฝึกฝนในภายภาคหน้าได้”
หลังจากกลืนกินจิตอสูรของพวกเจียงซานสุ่ยแล้ว พลังิญญาที่เยี่ยเฉินเฟิงเก็บสะสมเอาไว้จึงมีเพียงพอสำหรับการบรรลุเขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับหก แต่ประสบการณ์ที่สั่งสมอยู่ในสมองกลืนเทวะได้บอกแก่เขาว่ารากฐานเป็สิ่งที่สำคัญมาก หากเริ่มต้นบ่มเพาะพลังด้วยรากฐานที่ไม่มั่นคง ยิ่งไต่ระดับสูงขึ้นไปเท่าไหร่ความยากลำบากในการฝึกฝนก็จะมากขึ้นเท่านั้น ทั้งยังส่งผลเสียต่อพลังรบทางกายของตนเองอีกด้วย
ดังนั้นเขาจะต้องสร้างรากฐานที่ดีโดยการควบคุมเขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับห้าให้มั่นคง จากนั้นก็รอให้พลังิญญาในร่างกายได้รับการเติมเต็มอย่างธรรมชาติ ถึงจะเป็่เวลาอันเหมาะสมสำหรับการทะลวงสู่เขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับหก
วิธีการหล่อหลอมรากฐานที่ดีที่สุดคือการต่อสู้จริง มีเพียงการต่อสู้อย่างไม่หยุดยั้งเท่านั้นถึงจะเสริมสร้างรากฐานให้มั่นคงได้ดีที่สุด
แม้ว่าสำนักฝึกยุทธ์ไป๋ตี้จะมีห้องฝึกซ้อมให้ใช้งานแต่ก็ต้องมีเงินมากพอสำหรับจ่ายค่าเช่าสถานที่ เยี่ยเฉินเฟิงจึงได้เลือกที่จะฝึกฝนด้วยตนเองในเทือกเขาไป๋อวิ๋นแทน
สายลมเย็นสบายพัดโชย เยี่ยเฉินเฟิงดักซุ่มรอราวกับเสือชีตาห์อยู่ในพงไม้รกชัฏอันกว้างใหญ่ อาศัยแสงนวลกระจ่างของดวงจันทร์ลอบมองลึกเข้าไปในช่องหุบเขาอันมืดทึบ
ภายในช่องหุบเขานั้นเป็แหล่งที่อยู่ของหมาจิ้งจอกขนาดเล็กใหญ่ร่วมสิบสองตัว
หมาจิ้งจอกเหล่านี้ถือได้ว่าเป็เ้าถิ่นประจำเทือกเขาไป๋อวิ๋น พวกมันเ้าเล่ห์สมกับเป็จิ้งจอกและมีนิสัยดุร้ายป่าเถื่อน ชอบอาศัยอยู่รวมกันเป็ฝูง การเลือกหมาจิ้งจอกเป็เป้าหมายในการหล่อหลอมรากฐานจึงเป็สิ่งที่อันตรายมาก
ต่อให้มีพลังแข็งแกร่งถึงขั้นสามารถฉีกกระชากจิตอสูรหมีคลั่งขนดำของปรมาจารย์อสูรมายาได้ด้วยมือเปล่า แต่หากต้องตกอยู่ในวงล้อมของฝูงหมาจิ้งจอกขึ้นมาก็คงเหลือโอกาสรอดชีวิตเพียงน้อยนิดอยู่ดี
แต่การต่อสู้แบบเสี่ยงเป็เสี่ยงตายนี่แหละคือสิ่งที่เยี่ยเฉินเฟิง้า เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตายเท่านั้นถึงจะสามารถดึงเอาพลังแฝงทั้งหมดที่มีออกมาใช้และฝึกฝนจนสำเร็จได้
“ฟู่ ฟู่!”
เยี่ยเฉินเฟิงปรับจังหวะลมหายใจขณะที่ขยับเข้าไปใกล้ช่องหุบเขา ค่อยๆ เข้าใกล้หมาจิ้งจอกที่มีขนาดสามเมตรกว่า มีใบหูใหญ่ยาวและฟันแหลมคมเต็มปากซึ่งกำลังกัดกระชากกินเนื้อกวางหมีลู่อยู่
“ปัง!”
“ปัง!”
หลังจากเล็งเป้าหมายเรียบร้อย เยี่ยเฉินเฟิงก็ส่งพลังไปที่ขาสองข้าง เหยียบย่ำลงไปบนพื้นดินเบื้องล่างก่อนจะพุ่งตัวออกไปจู่โจมใส่หมาจิ้งจอกตัวหนึ่งด้วยความเร็วสูงประหนึ่งสายฟ้าฟาด
เมื่อเ้าหมาจิ้งจอกรับรู้ได้ถึงภยันตรายและคิดจะเบี่ยงตัวหลบหนี หมัดของเยี่ยเฉินเฟิงก็กระแทกเข้าใส่หัวของมันเสียก่อน
เสียงแตกโผละของกะโหลกศีรษะดังก้องไปทั่ว หัวของหมาจิ้งจอกตัวนั้นถูกเยี่ยเฉินเฟิงต่อยจนแหลกเป็ชิ้นๆ ร่างกายอันใหญ่โตถูกเรี่ยวแรงมหาศาลส่งลอยออกไปหล่นกระแทกลงภายในซอกเขาอันเงียบสงัด สร้างความแตกตื่นให้กับจิ้งจอกทั้งหมดที่อยู่บริเวณนั้น
“บรู๋ว บรู๋ว...”
เพียงครู่เดียว เสียงเห่าหอนก็สะท้อนไปทั่วทุกทิศ หมาจิ้งจอกแต่ละตัวต่างจ้องเขม็งอย่างดุร้ายด้วยดวงตาสีแดงก่ำ พุ่งเข้าทำร้ายเยี่ยเฉินเฟิงอย่างบ้าคลั่งราวกับกำลังล้างแค้น
“เข้ามาเลย!”
เมื่อเห็นหมาจิ้งจอกแต่ละตัวแยกเขี้ยวยิงฟันแหลมคมพุ่งเข้ามาหา เยี่ยเฉินเฟิงก็ไม่คิดจะหลีกหนี เขากระโจนเข้าหาฝูงหมาจิ้งจอกเ่าั้อย่างกล้าหาญองอาจ ต่อสู้เข่นฆ่ากับอีกฝ่ายอย่างดุเดือด
เมื่ออยู่กลางฝูงหมาจิ้งจอก เยี่ยเฉินเฟิงก็ตกเป็ฝ่ายเสียเปรียบทันที หมาจิ้งจอกแต่ละตัวกัดกระชากร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง จนทั่วร่างมีแต่าแรอยคมเขี้ยว เืไหลหยดลงพื้นไม่ขาดสาย ดูน่าหวาดผวาเป็ที่สุด
าแบนร่างกายรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตลอดการต่อสู้ พลังแฝงของเยี่ยเฉินเฟิงก็ค่อยๆ ถูกกระตุ้นออกมาเช่นกัน เขาผสานพลังรวมกับจิตอสูรไข่โลหิตอย่างว่องไว ระงับอาการาเ็ตามร่างกายไม่ให้ทรุดหนัก สองฝ่ามือะเิพลังรุนแรงกว่าเจ็ดพันจิน ซัดหมาจิ้งจอกปลิวกระเด็นออกไปทีละตัวสองตัว
ยามอรุณรุ่งมาเยือน แสงแดดอ่อนโยนส่องทะลุผ่านกลุ่มเมฆหมอก สาดส่องลงสู่ผืนดินอันกว้างใหญ่ ปลุกทุกสรรพสิ่งให้ตื่นจากนิทรา
“เอ๊ง...”
สิ้นเสียงร้องโหยหวนของหมาจิ้งจอกตัวสุดท้ายที่เหลือรอดอยู่ ร่างขนาดมหึมาของมันก็กระแทกกับผนังหินอย่างรุนแรงจนผนังหินแตกร้าว ก่อนจะร่วงลงไปนอนแน่นิ่งกลางแอ่งโลหิต
“แฮ่กๆ ในที่สุดก็ฆ่าหมาจิ้งจอกทั้งสิบสองตัวได้สักที”
หลังจากเหลือบมองซากศพของหมาจิ้งจอกบนพื้น เยี่ยเฉินเฟิงที่อยู่ในสภาพาแเต็มตัวและใกล้จะเป็ลมเต็มทีก็ทิ้งตัวลงนอนแผ่หลากับพื้น โกยอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่ แน่นิ่งไม่คิดจะขยับไปไหน
หลังจากผ่านการเข่นฆ่าสังหารมาทั้งคืน เยี่ยเฉินเฟิงก็ััได้ว่าพลังิญญาในร่างกายได้ไหลเวียนเข้าสู่ไข่โลหิตแล้ว เขาสามารถทะลวงผ่านสู่เขตแดนผู้ใช้อสูริญญาระดับหกได้อย่างสมบูรณ์
แต่เยี่ยเฉินเฟิงกลับฝืนดึงพลังิญญาเอาไว้ ยับยั้งระดับเขตแดนของตนเองเพื่อรอให้ไข่โลหิตสะสมพลังิญญาจนเต็มขีดจำกัดแล้วค่อยทำการทะลวงผ่าน
“การเคี่ยวกรำฝึกฝนแบบเสี่ยงเป็เสี่ยงตายเป็วิธีเพิ่มพูนพลังที่ดีที่สุดจริงๆ” เยี่ยเฉินเฟิงเผยรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้าซีดเซียวเมื่อรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของเขตแดน ตั้งมั่นในเจตจำนงที่จะเคี่ยวกรำฝึกฝนอย่างหนักของตนเอง
ราวหนึ่งชั่วโมงผ่านไป เยี่ยเฉินเฟิงที่ฟื้นฟูร่างกายได้เกือบเป็ปกติก็เดินออกมาจากหุบเขาที่เต็มไปด้วยกลิ่นเืคละคลุ้ง หยุดแวะพักล้างเนื้อล้างตัวที่ลำธารแห่งหนึ่ง ทานอาหารอีกนิดหน่อยแล้วเริ่มต้นค้นหาเป้าหมายสำหรับฝึกฝนต่อ
ในขณะที่เขาฝึกฝนตนเองอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยอยู่ภายในหุบเขาไปอวิ๋น ตระกูลเจียงในเมืองหลวงก็กำลังถูกเพลิงโทสะลุกไหม้เนื่องจากพวกเจียงซานสุ่ยหายตัวไปอย่างเป็ปริศนา
“ยังหาตัวพวกเจียงซานสุ่ยไม่เจออีกเรอะ?”
ภายในคฤหาสน์เก่าแก่ของตระกูลเจียง เจียงจงสยงผู้กุมอำนาจสูงสุดในตระกูลอยู่ในชุดคลุมยาวสีทองทึบ แผ่กระแสความโกรธเกรี้ยวออกมาทั่วร่าง ยกฝ่ามือทุบโต๊ะแปดเซียนจนแตกหัก เอ่ยถามอย่างฉุนเฉียว
“ระ...เรียนนายท่าน ยอดฝีมือที่พวกเราส่งไปเมืองไป๋ตี้ั้แ่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวอะไร แต่พวกเราสืบพบข้อมูลบางอย่างมา ก่อนนายน้อยเจียงจะหายตัวไปคล้ายจะมีเื่ทะเลาะวิวาทกับจีชิงเสวี่ย และ่ก่อนหน้านี้ก็มีคนพบยอดฝีมือตระกูลจีที่เมืองไป๋ตี้ด้วย” ยอดฝีมือสวมชุดเกราะเงินคนหนึ่งเอ่ยรายงานอย่างหวาดกลัว
“ตระกูลจี พวกมันช่างโอหังยิ่งนัก!” เจียงจงสยงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าดำทะมึน “สืบหาต่อไป หากยืนยันได้ว่าการหายตัวไปของเจียงซานสุ่ยเกี่ยวข้องกับตระกูลจี ข้าจะทำให้พวกมันต้องชดใช้อย่างสาสมเลยคอยดู”
ใน่เวลาเดียวกันนี้ ตระกูลจีก็เพิ่งจะได้รับทราบข่าวเื่การหายตัวไปของเจียงซานสุ่ยเช่นกัน
“ชิงเสวี่ย เ้าพูดความจริงกับปู่เถอะนะ ตอนนั้นคนที่ช่วยเ้าไว้เขาเป็ใครกันแน่ แล้วการหายตัวไปของเจียงซานสุ่ยใช่ฝีมือคนผู้นั้นหรือไม่”
จีเหยียนเจิ้งผู้เป็ทั้งผู้นำตระกูลจีและปู่ของจีชิงเสวี่ยรู้สึกว่าเื่ดังกล่าวร้ายแรงมาก จึงซักไซ้เอาความจากอีกฝ่ายอย่างเข้มงวด
หากตระกูลเจียงเกิดสงสัยว่าการหายตัวไปของเจียงซานสุ่ยเกี่ยวข้องกับตระกูลจีขึ้นมา พวกเขาทั้งสองตระกูลอาจจะถึงขั้นสู้รบให้ตายกันข้างหนึ่งถึงจะยอมเลิกรา และจีเหยียนเจิ้งก็ไม่อยากเห็นสิ่งเ่าั้เกิดขึ้นจริงเสียด้วย
“ท่านปู่ ข้าก็บอกไปแล้วไงว่าข้าไม่รู้จักเขา แต่การตายของเจียงซานสุ่ยไม่เกี่ยวข้องกับเขาอย่างแน่นอน เขาเป็แค่ผู้ใช้อสูริญญาระดับห้าเท่านั้น ไม่มีทางปลิดชีพเจียงซานสุ่ยได้หรอก” จีชิงเสวี่ยเอ่ยตอบโดยปิดบังเื่ที่เยี่ยเฉินเฟิงมีพลังรบจริงสูงกว่าระดับเขตแดน
“เฮ้อ สรุปแล้วเป็ฝีมือของใครกัน? ถ้าพวกเราหาคนร้ายตัวจริงไม่พบ ตระกูลเจียงจะต้องนำความโกรธแค้นมาระบายกับตระกูลจีของพวกเราแน่ ถึงตอนนั้นตระกูลของพวกเราคงตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย” จีเหยียนเจิ้งถอนหายใจเฮือกใหญ่ กล่าวอย่างเป็กังวล
“ท่านปู่ ตอนนี้ตระกูลเจียงน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ?” จีชิงเสวี่ยขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามหลังจากเห็นใบหน้าหวั่นวิตกของจีเหยียนเจิ้ง
“หากเป็เมื่อหนึ่งปีก่อน ตระกูลจีของพวกเราแม้จะแข็งแกร่งไม่เท่าตระกูลเจียง แต่ก็เหลื่อมล้ำกันไม่มากเท่าไหร่ แต่ใน่หนึ่งปีมานี้ อาการาเ็เรื้อรังของข้ามันเริ่มกำเริบขึ้นมาบ่อยครั้ง ความแข็งแกร่งจึงมีไม่เท่าแต่ก่อนแล้ว”
“อีกอย่างหลานคนโตของเจียงจงสยง เจียงอี้จวินที่ฝึกฝนในสำนักอัคคี์อยู่สองปีก็ก้าวหน้าแบบพุ่งทะยาน เมื่อไม่กี่วันก่อนเพิ่งจะบรรลุขั้นปรมาจารย์อสูรมายาระดับสี่ได้สำเร็จ”
“ที่สำคัญไปกว่านั้นคือองค์ชายใหญ่ที่ตระกูลเจียงเลือกหนุนหลังอยู่มีผลงานโดดเด่นเกินหน้าเกินตาขององค์ชายรองที่ตระกูลจีของเราสนับสนุน ทำให้สถานการณ์ภายในราชสำนักเกิดการเปลี่ยนแปลง ถ้าตระกูลเจียงตั้งมั่นที่จะลงมือกับตระกูลจีของพวกเราจริงๆ มีความเป็ไปได้สูงที่ตระกูลจีจะถูกตัดหางปล่อยทิ้ง” จีเหยียนเจิ้งบอกเล่าผลร้ายให้จีชิงเสวี่ยฟัง
“ท่านปู่ หากตระกูลเจียงคิดจะใช้โอกาสนี้ลงมือกับพวกเราขึ้นมาจริงๆ พวกเราจะไม่มีวิธีตอบโต้กลับไปเลยหรือ?” หลังจากเข้าใจเื่ทุกอย่างแล้ว จีชิงเสวี่ยก็รับรู้ได้ถึงความเลวร้ายของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“นอกจากข้าจะรักษาอาการป่วยให้หายดีได้ในระยะเวลาอันสั้นและทะลวงผ่านสู่เขตแดนจอมพลอสูรโลการะดับหนึ่ง ก็ต้องให้องค์ชายรองกลับมาเรืองอำนาจได้อีกครั้ง ถึงจะสามารถข่มขู่ตระกูลเจียงให้ล่าถอยไปได้ แต่มันแทบจะเป็ไปไม่ได้เลยสักทาง” จีเหยียนเจิ้งสูดลมหายใจเข้าลึกๆ น้ำเสียงแฝงความกังวลและสิ้นไร้เรี่ยวแรง
“ท่านปู่ หากพวกเราหาตัวท่านหมอเฉินคนที่รักษาท่านปู่ไป๋จนหายดีได้จะเป็เช่นไรล่ะ?” ความคิดเฉียบคมแวบเข้ามาในสมองของจีชิงเสวี่ย นางเอ่ยปากถามขึ้น
“หากหมอเฉินคนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับนิกายใหญ่จริง บางทีอาจจะช่วยให้ตระกูลจีของพวกเราผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้”
“แต่ท่ามกลางผู้คนที่มากมายดุจเกลียวคลื่นในมหาสมุทรเช่นนี้ จะไปหาคนได้จากที่ไหนล่ะ” จีเหยียนเจิ้งกล่าวอย่างหมดแรง
