“ฮ่า” เจินจูถูกความระวังตัวของเขาทำให้หงุดหงิดจนต้องหัวเราะออกมา
“นั่นเป็สีหน้าอะไรของเ้า? หากข้าไม่อยากช่วยชีวิตอาจารย์ของเ้า คงเดินออกไปตรงๆ ในเมื่อจ่ายเงินไปแล้ว แน่นอนว่าต้องช่วยให้คนมีชีวิตอยู่สิถึงจะไม่ขาดทุน” นางเอามือสองข้างกอดอกจ้องไปที่เขา
อาชิงรู้หลักการนี้ แต่ไม่รู้ทำไมเขารู้สึกว่าเด็กสาวผู้นี้แปลกๆ นิดหน่อย แต่ ตอนนี้คนเขาเป็เ้าของเงินที่จ่ายไป แน่นอนว่าไม่สามารถล่วงเกินได้
เขายิ้มแล้วย้ายตำแหน่งออกไป ยื่นพัดใบปาล์มนิ่มๆ ที่เอาไว้พัดเตาไฟให้นาง “แหะๆ เช่นนั้นขอบคุณพี่สาวแล้ว”
เจินจูรับไป แล้วนั่งตรงก้อนหินข้างเตาดินที่ก่อด้วยอิฐ
ในปากอาชิงซดโจ๊กแต่ดวงตากลับจ้องนางอยู่ตลอด เห็นเพียงนางกำลังถือพัดใบปาล์มอยู่ ไม่ได้ทำอะไรออกมา เขาถึงซดโจ๊กได้อย่างสบายใจ
มุมปากเจินจูโค้งจางๆ ไม่สนใจการกระทำของเขา
ถือโอกาสชั่วพริบตาที่เทยาออกมา นางเติมน้ำแร่จิติญญาเข้าไปเหมือนเดิม อาจารย์ของอาชิงาเ็จนหนักเช่นนี้ คาดว่าคงยากที่จะรักษาชีวิตต่อไปได้หากไม่ใส่น้ำแร่จิติญญา
รอให้ยาเย็นไปครึ่งหนึ่ง อาชิงจึงป้อนยาให้อาจารย์ของเขาอย่างคล่องแคล่ว
ผ่านไปครึ่งเค่อ ท่านหมอจางฝังเข็มบนกายเขาไม่กี่เข็ม ในที่สุดชายหนวดเครารกรุงรังก็ฟื้นขึ้น
“อาจารย์” อาชิงดีใจมากเป็พิเศษเพราะผลลัพธ์เกินกว่าที่คาดหวังไว้ จึงโผตัวเข้าไป
“…อาชิง” ดวงตาของฟางเสิงกวาดไปหนึ่งรอบ พบใบหน้าไม่คุ้นเคยภายในห้อง “เ้าไปเรียกท่านหมอจางมาหรือ?” เขาหมดหวังต่อสุขภาพของตนเองไปนานแล้ว มีเพียงลูกศิษย์ของเขาผู้นี้ที่ยังวางใจลงไม่ได้
อาจารย์สามารถฟื้นขึ้นมาได้ อาชิงดีใจจนน้ำตาและน้ำมูกไหล เล่าเื่ราวที่ผ่านมาให้เขาฟังอย่างร้องไห้สะอึกสะอื้น โดยตัดเื่ที่เขาขโมยถุงเงินออกไป
เจินจูเลิกคิ้ว แต่ไม่ได้เปิดโปงเขา...
“ขอบคุณพี่ชายอย่างสุดซึ้งที่ช่วยชีวิตของข้า ข้าน้อยแซ่ฟางไร้ความสามารถ ไร้กำลังตอบแทนเป็การชั่วคราว หวังว่าพี่ชายโปรดให้อภัยด้วย” ฟางเสิงลุกขึ้นนั่งด้วยการประคองของอาชิงแล้วประสานมือคารวะ
“อ่า... ไม่ ไม่ต้องขอบคุณ อาชิงจิตใจกตัญญูมาก เพื่อเื่ของท่านแล้วเขาร้อนใจจนร้องไห้ไปหลายรอบ” ภาพความทรงจำที่อาชิงร้องไห้อย่างหนักฝังลึกในความทรงจำหูฉางกุ้ย เพียงภายในเวลาชั่วยามสองชั่วยามนี้ เขาล้วนร้องไห้ไปแล้วห้าถึงหกรอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุกรอบล้วนร้องไห้อย่างหนักหน่วงจนเสียงแหบแห้ง
“…” เจินจูเม้มปากกลั้นหัวเราะ
อาชิงกอดอาจารย์ไว้อย่างไม่ไหวติง บนใบหน้าอดลามแดงจนเป็เืฝาดขึ้นมาไม่ได้
ฟางเสิงรู้ข้อบกพร่องของลูกศิษย์ตนเอง บนใบหน้าผอมซูบมีรอยยิ้มบางๆ ปรากฏขึ้นมา
ท่านหมอจางจับชีพจรให้เขาอีกครั้ง นานมาก ถึงปล่อยแขนของเขาออกด้วยความประหลาดใจ
พอกรอกยาแรงหนึ่งเทียบลงไป ร่างกายอ่อนแอเพียงนี้ของฟางเสิง สามารถแบกรับทั้งหมดไว้ได้ ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านรุนแรง ประสิทธิภาพของยาหลอมรวมเข้ากับร่างกายดีมาก สามารถยับยั้งพิษที่แพร่กระจายไว้ได้อย่างลางๆ
ท่านหมอจางงงงวยเล็กน้อย แต่คิดขึ้นได้ว่าฟางเสิงผู้นี้เดิมเป็ผู้ที่มีฝีมือสูงส่งมีชื่อเสียงในกลุ่มผู้ฝึกวรยุทธ ต่อมาประสบกับการลอบทำร้ายของศัตรู จึงเปลี่ยนไปจนเป็เช่นนี้ อาจเพราะแต่เดิมร่างกายแข็งแรงจึงสามารถรับยาแรงที่มีฤทธิ์มากไว้ได้
แน่นอนว่าแม้ทนต่อจุดหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ไปได้แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะสามารถดีขึ้นมาได้อย่างราบรื่น อย่างไรเสียสภาพของสถานที่วัดเฉิงหวงนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เหมาะที่จะบำรุงรักษาอาการเจ็บป่วยให้ดีที่สุดได้
หากคิดจะกำจัดพิษที่ตกค้างในร่างกายของฟางเสิงให้หมดสิ้นได้ ยากเสียยิ่งกว่ายาก สามารถพูดได้แค่ว่าหากมีปัจจัยเอื้ออำนวย และในขณะเดียวกันก็กำจัดพิษที่ตกค้างอยู่พร้อมกับบำรุงรักษาร่างกายให้ดีๆ อาจมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายปีเลย
ท่านหมอจางกล่าวการวินิจฉัยของเขาออกมาโดยไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย
ภายในห้อง ไม่มีใครทำเสียงอะไรออกมาชั่วขณะ
ฟางเสิงเงียบไม่พูดไม่จา เขาเข้าใจสถานการณ์ของตนเองดี ไม่เห็นเป็ไรเลย ยืดเวลาร่างกายที่ทรุดโทรมนี่ออกไป เขายังสามารถหวังอะไรได้อีก ผ่านไปหนึ่งวันนับว่าเป็หนึ่งวันเถอะ [1] ก่อนที่เขาจะตาย ขอแค่ฝึกซ้อมให้แก่อาชิง ให้เขาสามารถอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียวก็พอแล้ว
หัวใจของอาชิงที่เพิ่งมั่นคงได้ก็เป็กังวลขึ้นมาอีกครั้ง จับมือของอาจารย์ไว้แน่น
เจินจูกลอกตา คิดถึงการถามตอบกับอาชิงเมื่อสักครู่ขึ้น
“อาชิง ทำไมเ้าเรียกเขาว่าอาจารย์หรือ?”
“เพราะเขาเป็อาจารย์ของข้าไงเล่า!”
“อ๋อ เช่นนั้นเ้าติดตามอาจารย์ของเ้าเพื่อเรียนรู้อะไรหรือ?”
“นั่นมากมายเลยล่ะ อาจารย์สอนให้ข้าเรียนรู้การต่อสู้และรู้ตัวอักษร รู้จักยาสมุนไพร ขุดกับดักไล่จับเหยื่อ อื้ม แล้วยังสอนรากฐานการประพฤติตัวและหลักการจัดการเื่ราว [2] ให้ข้า ไม่ว่าอย่างไรก็ตามอาจารย์ข้าก็มีความสามารถมากเลยล่ะ”
“โอ้ เช่นนั้นที่เขาเก่งกาจที่สุดคืออะไรหรือ?”
“แน่นอนว่าต้องเป็ศิลปะการต่อสู้ เมื่อก่อนอาจารย์ข้าเป็ผู้มีฝีมือสูงส่งที่มีชื่อเสียงมากเลยนะ”
“อื้ม ข้าไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไร ผู้มีฝีมือทำไมถึงกลายเป็เช่นนี้ได้เล่า?”
“เชอะ นั่นเป็ไอ้คนต่ำทรามกระทำการต่ำช้าลอบทำร้ายวางยาพิษอาจารย์ข้า แล้วยังสะบั้นเอ็นมือเอ็นขาของอาจารย์ข้าอย่างอำมหิตอีก ไม่เช่นนั้นอาจารย์จะตกอับจนเป็เช่นนี้ได้อย่างไร แต่ไอ้คนต่ำทรามที่น่ารังเกียจผู้นั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่าอาจารย์ข้าเช่นกัน ถูกอาจารย์ของข้าฆ่าไปตามระเบียบแล้ว”
“ในเมื่อคู่อริตายแล้ว เช่นนั้นอาจารย์เ้าไม่มีบ้านหรือสหายหรือ? ทำไมตอนนี้อยู่อย่างย่ำแย่เช่นนี้?”
“…ท่านจะไปรู้อะไร ผู้มีฝีมือล้วนโดดเดี่ยว เมื่อก่อนอาจารย์มีเงินเก็บไม่น้อย แต่เพื่อหาหมอและแก้พิษล้วนจับจ่ายไปเกลี้ยงแล้ว”
“อ๋อ ที่แท้ก็เป็เช่นนี้”
ผู้มีฝีมือสูงส่งในโลกชาวยุทธนี่เอง แม้เป็ผู้มีฝีมือที่ป่วยจนหวิดตายก็เถอะ เจินจูลูบคางไตร่ตรองชั่วขณะ
ทันทีหลังจากนั้น ดึงหูฉางกุ้ยมากระซิบเบาๆ ขึ้น
...จ้าวไป่ินั่งอยู่บนเกวียน หางตากระตุกไม่หยุด
ผู้ป่วยที่นอนอยู่ข้างขา เป็อาจารย์ที่ครอบครัวหูเชิญกลับไปสั่งสอนทักษะศิลปะการต่อสู้
สีหน้าป่วย ผอมจนเหมือนราวไม้ไผ่ หนวดเครารกรุงรัง เส้นผมสกปรกยุ่งเหยิงไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้ชำระสะสาง เว้นแต่เสื้อผ้าที่สวมอยู่ยังพอนับได้ว่าสะอาด บุคลิกลักษณะไม่ต่างกับชายเร่ร่อนขอทานตามถนน
เด็กชายอาชิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา เป็ลูกศิษย์ของเขา เส้นผมสกปรกยุ่งเหยิงรูปร่างผอม บนใบหน้าพอนับได้ว่าสะอาด ดวงตาดำเงาหนึ่งคู่เอาแต่กลอกกลิ้งไปมาอย่างรวดเร็ว ค่อนข้างปลิ้นปล้อนเหลี่ยมจัดมากหลายส่วน
ไม่ใช่ว่าครอบครัวหูถูกหลอกแล้วใช่หรือไม่? ศิษย์อาจารย์คู่นี้จะมองอย่างไรล้วนไม่เหมือนพวกคนที่เคยฝึกวรยุทธมาก่อนเลย แต่ต่อหน้าผู้อื่นคงไม่ดีหากเขาจะกล่าวสิ่งเหล่านี้ออกไป จึงทำได้เพียงขมวดคิ้วและรักษาความสงบไว้
แน่นอนว่าเจินจูมองความไม่เชื่อถือของจ้าวไป่ิออก ภาพลักษณ์ของศิษย์อาจารย์คู่นี้แย่เกินไปจริงๆ ผู้ใดก็ล้วนไม่มีทางเชื่อง่ายๆ อยู่แล้ว เพราะการมีร่างกายแข็งแรงและมีความเข้มแข็งทรหดล้วนเป็พื้นฐานของผู้ฝึกวรยุทธ ก็เหมือนกับอันธพาลเหลียงหู่ผู้นั้น สายตาโเี้มีเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อกำยำ พอมองแล้วก็รู้ว่ามีฝีมือไม่น้อย
เจินจูโน้มน้าวหูฉางกุ้ยให้เชิญคนกลับไปบ้าน เพื่อ้าให้ผิงอันกับผิงซุ่นเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้ปกป้องตนเองนิดหน่อย นางสังเกตอาชิงอย่างละเอียด แม้รูปร่างผอมเล็กแต่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและมีพละกำลังมาก
ปีนี้เขาอายุเก้าปี ติดตามฟางเสิงมาสามปีแล้ว ร่างกายของฟางเสิงยืดเวลาทรุดโทรมและความเ็ปออกไป ทั้งเพื่อหาหนทางเลี้ยงชีพทั้งเพื่อวิ่งวุ่นดำรงชีวิต เวลาที่สามารถสอนอาชิงได้มีจำกัด แต่การสอนตามอำเภอใจเช่นนี้ กลับทำให้ร่างกายแต่เดิมของอาชิงล้วนดีกว่าเด็กน้อยทั่วไปมาก หากวิ่งขึ้นมา ใต้ฝ่าเท้าคล้ายดั่งเกิดลมก็ไม่ปาน หากไม่ใช่เพราะหูฉางกุ้ยผ่านการปรับเปลี่ยนด้วยน้ำแร่จิติญญาให้ดีขึ้นในระยะยาวแล้วล่ะก็ ต้องไล่ตามเขาไม่ทันแน่นอน
บนเกวียนวางผ้าห่อของหนึ่งใบใหญ่อยู่ ด้านในใส่วัตถุดิบยาที่ต้องดื่มสิบวันของฟางเสิง
มาอำเภอหนึ่งเที่ยว จ่ายเงินไปเกือบยี่สิบเหลียง นอกจากคนมีชีวิตตัวโตสองคนแล้ว อะไรล้วนก็ไม่สามารถนำกลับไปได้
เจินจูเกาศีรษะ เกาเตี่ยนที่ซื้อในเขตอำเภอล้วนมอบให้เด็กน้อยในวัดเฉิงหวงไปหมดแล้ว นอกเหนือจากนี้เนื้องูพะโล้ในห่อของนางก็แจกจ่ายไปด้วย แล้วนางยังให้บิดาครอบครัวหูซื้อแป้งหมี่สองถุงและข้าวสารสองถุงจากในอำเภอ โดยให้ร้านข้าวสารธัญพืชนำไปส่งให้ถึงวัดเฉิงหวงอีกด้วย
แม้จ่ายเงินไปไม่น้อยแต่เงินเหล่านี้สองพ่อลูกล้วนรู้สึกว่าจ่ายไปได้คุ้มค่ามากนัก
ขณะที่เกวียนล่อสั่นะเืไปตามทางกลับบ้านจนถึงหมู่บ้านวั้งหลิน แสงยามโพล้เพล้ของท้องฟ้าก็มืดขึ้นมากแล้ว
เกวียนล่อหยุดลงที่ทางเข้าหมู่บ้าน ให้จ้าวไป่ิลงจากเกวียนกลับไปบ้านด้วยตนเอง
หลังจ้าวไป่ิกล่าวขอบคุณอีกครั้งหนึ่งแล้ว กลับยังอยากจะกล่าวอะไรบางอย่างแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยออกมา
เจินจูแกล้งทำเป็มองไม่เห็นจนกระทั่งโบกมืออำลา
ยังไม่ได้เคาะประตูลานบ้าน เสียงสุนัขเห่าของเสี่ยวหวงดังก้องกังวานขึ้น
ผิงอันเปิดประตูลานด้วยความตื่นเต้นดีใจ แต่กลับถูกคนป่วยที่นอนอยู่บนเกวียนทำให้ใเข้า
หูฉางกุ้ยลากเกวียนล่อตรงเข้าไปทางหลังบ้าน หยุดลงที่หน้าห้องพักแขกห้องหนึ่ง
เพราะมาอย่างกะทันหัน หลี่ซื่อจึงไม่ได้เตรียมหมอนผ้าห่มกับที่นอนให้พร้อม ในห้องรับแขกจึงมีเพียงเตียงไม้ที่ทำขึ้นใหม่หนึ่งหลัง เป็หลู่โหย่วมู่ส่งมาให้ในภายหลัง
ครั้นหลี่ซื่อได้ฟังเื่ราวข่าวคราว ก็รีบไปค้นหาของจากในหีบห่อที่ย้ายสิ่งของตอนเดินทาง พบเครื่องนอนเก่าที่ซักสะอาดเก็บไว้ออกมาปูให้พร้อม
ยุ่งอยู่พักหนึ่งถึงได้จัดหาที่พักให้สองอาจารย์และศิษย์เรียบร้อย
หูฉางกุ้ยเอาโครงเกวียนของล่อออก เพิ่มหญ้าเลี้ยงสัตว์ให้ล่อด้วยความระมัดระวัง วิ่งมาทั้งวันแล้วล่อของเขาน่าจะเหนื่อยอย่างมาก
เจินจูไปล้างหน้า นางนั่งเกวียนมาครึ่งวัน ละอองฝุ่นก็โชยเข้ามาครึ่งวัน คนทั้งคนล้วนมีฝุ่นเกาะเต็มไปทั่วทั้งกาย
ผิงอันตามหลังนางอยู่ตลอด ไต่ถามความเป็มาของสองคนบนเกวียนด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หลัวจิ่งยืนพิงอยู่หน้าประตูห้องของนาง ในตามีคำถามแฝงอยู่
“นั่นเป็อาจารย์ฟางที่ข้าเชิญมาให้พวกเ้า พวกเขาจะสั่งสอนศิลปะการต่อสู้ให้พวกเ้า” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว
“…”
อาจารย์สั่งสอนศิลปะการต่อสู้? คนป่วยผู้นั้นที่นอนอยู่ตลอด? ผิงอันหันไปมองหน้ากับหลัวจิ่งแวบหนึ่ง ทั้งสองล้วนไม่อยากเชื่อเล็กน้อย
“ฮ่าๆ ตอนนี้อาจารย์ฟางป่วยอยู่ รอให้เขาหายป่วยแล้ว พวกเ้าก็เรียนรู้การต่อสู้กับเขาได้ ทั้งทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้วยังป้องกันตัวได้อีก ต่อไปก็ไม่มีคนกล้ารังแกพวกเราแล้ว” ร่างกายที่ผ่านการบำรุงให้ดีขึ้นด้วยน้ำแร่จิติญญา สุขภาพร่างกายของเขาน่าจะแข็งแรงพอ และมีประโยชน์ต่อการฝึกต่อสู้ได้กระมัง
ผิงอันมึนงง แต่พอนึกถึงท่านลุงที่ยังนอนป่วยอยู่บนเตียงขึ้น แล้วคิดถึงความวิตกกังวลของที่บ้านไม่กี่วันก่อนนั้นขึ้น หากเด็กชายของสกุลหูล้วนฝึกศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว เช่นนั้นต่อไปหากที่บ้านพบเื่เช่นนี้อีกก็ไม่ต้องหวาดกลัวแล้วกระมัง
หลัวจิ่งอารมณ์มืดครึ้มลง หากเมื่อก่อนเขาอดทนฝึกศิลปะการต่อสู้ ฝีมือสามารถเก่งกาจได้เหมือนพี่ชายใหญ่เช่นนั้น บางทีคงพามารดาวิ่งหนีมาด้วยกันได้แล้วกระมัง
เขาหลุบตาสองข้างที่ลามแดงขึ้นทันทีทันใดลง ข่มกลั้นการตำหนิตนเองและความไม่ยอมรับในใจไว้ เขาใช้ชีวิตอย่างอิสระและเอาแต่ใจตัวเองอยู่ภายใต้ปีกของวงศ์ตระกูลบิดามารดามาสิบกว่าปี ตอนนี้ถึงคราวที่เขาจะต้องดันวงศ์ตระกูลสกุลหลัวให้สูงขึ้นให้เป็อิสระและแข็งแกร่งได้แล้ว
...ในห้องโถงอาหารเย็นเตรียมจัดวางอยู่บนโต๊ะ
หลี่ซื่อหุงข้าวมื้อเย็นไว้เล็กน้อยเป็พิเศษเพื่อรอพวกเจินจูกลับมาทาน ผัดปลาเงินเผ็ดหอม ผัดเนื้อใส่ถั่วลันเตา ปลาตะเพียนดำน้ำแดง น้ำแกงผักกวางตุ้งไข่ไก่ เพราะมีแขกหลี่ซื่อจึงหั่นกระเพาะหมูพะโล้หนึ่งถาดเป็พิเศษ กับข้าวสี่น้ำแกงหนึ่ง นับได้ว่าอาหารหลากหลายชนิดนัก
อาชิงมองอาหารประเภทเนื้อในถาดแล้วเอาแต่กลืนน้ำลาย นานเท่าไรแล้วที่เขาไม่ได้ทานรสชาติของเนื้อเลย ตามปกติที่อยู่ในป่าเขา ใช้วิธีที่อาจารย์สอนสามารถดักสัตว์ได้ไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่ล้วนขายเอาเงิน เพื่อนำไปซื้อวัตถุดิบยากลับมา รวมเข้ากับวัตถุดิบยาที่ตนเองขึ้นเขาไปเก็บ จึงสามารถหายาสมุนไพรต้มให้อาจารย์ได้
“อาชิง เ้าทานข้าวก่อนเถอะ ท่านแม่ข้าเก็บข้าวไว้ให้อาจารย์เ้าแล้ว อีกเดี๋ยวเ้าค่อยยกกลับไปแล้วกัน” เจินจูกล่าว
“ขอบคุณอาสะใภ้” อาชิงกล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจ
“ไม่ต้องขอบคุณ ที่บ้านไม่ได้เตรียมกับข้าวดีอะไร พวกเ้ายอมทานไปสักหน่อย พรุ่งนี้อาสะใภ้จะเชือดไก่สักตัวเคี่ยวน้ำแกงให้อาจารย์เ้าบำรุงร่างกาย” หลี่ซื่อมองร่างกายผอมแห้งและอ่อนแอของอาชิง อดเกิดความสงสารขึ้นในใจไม่ได้
“…ขอบคุณอาสะใภ้” อาชิงแสบจมูกทันที อีกนิดน้ำตาเกือบจะร่วงลงมาแล้ว เขาดูแลอาจารย์คนเดียวมาหลายปีจะลำบากหรือเหน็ดเหนื่อยมากเพียงใดเขาสามารถอดทนได้ แต่อย่างไรเสียเขาก็ยังเป็เด็กน้อยที่อายุไม่ถึงสิบปี หลายครั้ง เขาใจสู้แต่แรงไม่เป็ใจ อยากหาอ้อมกอดที่อบอุ่นให้พึ่งพาเช่นกัน แต่เขาไม่สามารถอ่อนแอได้ อาจารย์ป่วยจนลุกจากเตียงไม่ขึ้น หากเขาไม่เข้มแข็งก็จะไม่มีคนรับผิดชอบดูแลทั้งหมดนี้แทนเขา
คำพูดสุภาพอ่อนโยนนุ่มนวลไม่กี่ประโยค ความห่วงใยที่เห็นได้ชัดสองสามส่วน ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นทวีคูณมากยิ่งขึ้น
เชิงอรรถ
[1] ผ่านไปหนึ่งวันนับว่าเป็หนึ่งวัน หมายถึง การใช้ชีวิตไปโดยไม่คิดอะไรมาก เป็การคิดแบบปล่อยวาง ละวาง ทำใจได้
[2] รากฐานการประพฤติตัวและหลักการจัดการเื่ราว หมายถึง การรู้จักประพฤติตนให้รู้จักตอบแทนบุญคุณคนเป็พื้นฐานที่ควรมี และมีวิธีจัดการเื่ราวในโลกนี้ได้อย่างมีหลักการ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้