ทันใดนั้นเองก็มีเสียงบุรุษทุ้มต่ำดังขึ้นทางด้านหลัง แม้แต่ตัวมู่อวิ๋นจิ่นเองก็ยังสะดุ้งใ นางลอบก่นด่าตัวเองที่ไม่ระวังตัวจนมีผู้มาพบเห็น ก่อนนางจะค่อยๆ หมุนตัวกลับไป
เสียงนั้นดังมากจริงๆ มู่หลิงจูกับหญิงวัยกลางคนที่อยู่ในสวนตรงลานจวนเมื่อครู่ก็ยังเดินออกมานอกประตูเรือน
ทันทีที่มู่หลิงจูเห็นภาพตรงหน้าประตูเรือน นางก็ลอบยิ้มแล้วเดินเข้าไปทำความเคารพคนตรงหน้าทันที“ท่านพ่อ ท่านพี่”
แค่ได้ยินคำว่าท่านพ่อ มู่อวิ๋นจิ่นก็หนังตากระตุก ก่อนที่นางจะแสร้งทำความเคารพอีกฝ่าย
“คุกเข่าลง!” เสนาบดีมู่ถลึงตาจ้องมู่อวิ๋นจิ่นที่ยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าฉายแววความไม่พอใจอย่างเด่นชัด
สกุลมู่ถือเป็ตระกูลที่มีชื่อเสียงในอาณาจักรซีหยวน คนที่มาจากตระกูลมู่รุ่นต่อรุ่นล้วนเป็ดั่งหงส์ัในหมู่ปถุชน ทว่าในรุ่นนี้กลับให้กำเนิดกระสอบฟางอย่างมู่อวิ๋นจิ่นออกมาเสียได้ วันๆ เอาแต่ขี้ขลาดตาขาว พูดจาอมพะนำ ยากที่จะหาความสง่างาม ทำให้ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลมู่ต้องตกต่ำลง ถือเป็จุดด่างพร้อยที่ใหญ่ที่สุดของตระกูล
ด้วยเหตุนี้ ทุกครั้งที่เสนาบดีมู่เห็นมู่อวิ๋นจิ่น ก็มักจะรู้สึกผิดต่อเหล่าบรรพบุรุษ ต่อให้นางโตมามีรูปโฉมงดงาม แต่ในสายตาเสนาบดีมู่แล้วก็ไม่ได้มีประโยชน์เลยสักนิด นางยังคงเป็เพียงคนไร้ค่าดังเดิมในสายตาของเขา
อีกด้านหนึ่ง ฮูหยินใหญ่ซูปี้ชิงที่อยู่ข้างกายมู่หลิงจูก็เอ่ยปากขึ้น “อวิ๋นจิ่น ไม่มีคำสั่งของบิดาเ้า ทำไมเ้าถึงได้ออกจากเรือนมวลบุปผาตามใจตัวเองเช่นนี้ ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริง ๆ”
มู่อวิ๋นจิ่นได้ยินดังนั้น ก็ยกยิ้มขึ้นที่มุมปากเบาๆ นางไม่สนใจคำพูดของเสนาบดีมู่ แล้วมองไปทางฮูหยินใหญ่ซูปี้ชิงแทน “ ข้าก็แค่ออกมาเดินเล่น คำว่าไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำของท่านแม่ออกจะกล่าวหนักไปแล้ว”
“เ้า...” ซูปี้ชิงแสดงอาการไม่พอใจ นางไม่คิดว่ามู่อวิ๋นจิ่นจะกล้าเถียงตนเองเช่นนี้
ด้านเสนาบดีมู่ที่เห็นภาพตรงหน้า ก็พลันตวาดกร้าวอย่างมีโทสะ “เ้าลูกอกตัญญู กล้าเถียงมารดาเ้าเชียวหรือ คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้”
มู่อวิ๋นจิ่นผู้มีรอยยิ้มบางๆ ประดับอยู่บนใบหน้ามาตลอดก็ได้ยินเสียงของเสนาบดีมู่ดังขึ้นอีกครั้ง ดูท่าเสนาบดีมู่ผู้นี้จะชิงชังมู่อวิ๋นจิ่นมากจริง ๆ พบหน้ากันพูดได้ไม่ทันพ้นสามประโยค แต่ละคำในประโยคที่ว่าก็กลับเต็มไปด้วยแรงโทสะ เวลานี้แม้แต่คำว่าลูกอกตัญญูก็ยังด่านางออกมาได้
‘มู่อวิ๋นจิ่น เธอทนน้อยเนื้อต่ำใจมามากพอแล้ว’
“หากข้าไม่คุกเข่าเล่า” มู่อวิ๋นจิ่นเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย สายตาสอดประสานกับแววตาเกรี้ยวโกรธของเสนาบดีมู่
คำพูดของมู่อวิ๋นจิ่นทำให้คนตรงหน้าทั้งสามตกตะลึงไปชั่วขณะ พวกเขาไม่คิดว่าคำพูดเมื่อครู่นี้จะหลุดออกมาจากปากมู่อวิ๋นจิ่นได้
โดยเฉพาะเสนาบดีมู่ที่เห็นว่าปกตินั้นมู่อวิ๋นจิ่นมักจะขี้กลัวอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้กลับได้ยินนางกล่าววาจาเช่นนั้นออกมา พลันทำให้รู้สึกว่าความน่าเกรงขามของตนถูกลบหลู่เข้าแล้ว ความโกรธจึงยิ่งทบทวี เขายกมือขึ้นหมายจะตบหน้ามู่อวิ๋นจิ่น
ขณะที่เสนาบดีมู่ลงมือ มู่อวิ๋นจิ่นก็ถอยตัวไปด้านหลังหนึ่งก้าว และสามารถหลบฝ่ามือของเสนาบดีมู่ได้อย่างมั่นคง
ครั้นเห็นสถานการณ์ตรงหน้า มู่หลิงจูก็ปิดปากยิ้ม ก่อนจะกล่าวกับมู่อวิ๋นจิ่นอย่างเฉยเมย “ท่านพี่ ถึงท่านกำลังจะแต่งเข้าจวนไปเป็ชายาขององค์ชายหกก็เถอะ แต่ตอนนี้ท่านยังมิได้ออกเรือน ท่านพ่อท่านแม่เลี้ยงดูท่านมาหลายปี อย่างไรก็น่าจะเคารพพวกท่านเสียบ้าง”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่หลิงจู มู่อวิ๋นจิ่นก็กวาดสายตามองนางอย่างเรียบเฉยอยู่ครู่หนึ่ง พลางครุ่นคิดในใจ ‘มู่หลิงจูคนนี้ตีสองหน้าเก่งจริงๆ ถึงกับใช้คำพูดหาว่านางเป็ลูกอกตัญญูที่ลืมบุญคุณพ่อแม่’
“ข้าก็คิดอยู่ว่าวันนี้เ้ากล้าดีมาจากไหน ทั้งออกจากเรือนตามใจชอบ ทั้งเถียงข้ากับบิดาเ้า ที่แท้เ้าก็คิดว่าตนเองได้เป็ชายาขององค์ชายหกแล้วนี่เอง” ซูปี้ชิงเอ่ยปากกล่าว ในดวงตาฉายแววดูแคลน
นิ่งไปชั่วครู่ ซูปี้ชิงก็เหลือบมองมู่อวิ๋นจิ่น ก่อนจะหันไปมองเสนาบดีมู่ แล้วเอ่ยเบา ๆ “ท่านพี่ ท่านเองก็เห็นแล้วว่านางช่างเป็คนหยาบกระด้างจริงๆ”
“ข้าว่าพรุ่งนี้ข้าเข้าวังไปบอกกล่าวเื่นี้ต่อฉินไท่เฟย ขอร้องฉินไท่เฟยให้ยกเลิกการแต่งครั้งนี้ แล้วเปลี่ยนเป็หลิงจูดีหรือไม่เ้าคะ”
เสนาบดีมู่ได้ยินคำพูดของซูปี้ชิงก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะพยักหน้ารับ เห็นด้วยกับคำพูดของซูปี้ชิง
มู่อวิ๋นจิ่นมองดูครอบครัวของนางผลัดกันร้อง ผลัดกันรับส่งตรงหน้า นางอดนึกอยากสาดน้ำเย็นๆ ใส่หน้าพวกเขาเสียไม่ได้จริงๆ (สกุลมู่การละคร)
มู่อวิ๋นจิ่นเพียงเอ่ยปากอย่างเยือกเย็น “ในเมื่อกล่าวเช่นนี้ พรุ่งนี้ข้าขอไปเข้าเฝ้าฉินไท่เฟยกับท่านแม่ด้วยดีหรือไม่”
“มีหลายเื่ที่ข้าเองก็อยากจะถามฉินไท่เฟยอยู่พอดี”
“อย่างเช่นเื่ที่ฉินไท่เฟยรู้หรือไม่ว่าข้าถูกกักบริเวณตอนในจวนมาโดยตลอด พวกท่านว่าข้าควรจะบอกกล่าวเื่นี้ดีหรือไม่...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้