ในวันที่ท้องฟ้าเป็สีคราม ไร้ซึ่งมวลเมฆ
ต้นไหวในลานกว้างแตกใบสะพรั่ง กลายเป็ร่มเงาขนาดใหญ่ คอยบดบังแสงอาทิตย์ใน่ฤดูใบไม้ผลิ
ร่างกายของโจวชิงหวาฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ดังนั้น หนีเจียเอ๋อร์จึงพาชายหนุ่มออกมาสูดอากาศข้างนอก
เพราะเกรงว่าเขาจะเบื่อ หญิงสาวจึงสั่งให้เสี่ยวเสวียนตั้งกระดานหมากล้อมบนโต๊ะใต้ต้นไหว แล้วเล่นหมากเป็เพื่อนเขา
หนีเจียเอ๋อร์เชี่ยวชาญในการเดินหมาก พอๆ กับการเขียนอักษร ทักษะทั้งสองนี้เป็สิ่งที่นางถนัด ดังนั้นการประลองครานี้ จึงช่วยคลายความเบื่อให้โจวชิงหวาได้มากเลยทีเดียว
ชายหนุ่มใช้เวลาพักฟื้นอยู่ที่จวนสกุลหนีมาพักใหญ่แล้ว และกระดานหมากตรงหน้า ก็ช่วยฆ่าเวลาให้พวกเขาได้ดี
เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งถึงมื้อกลางวัน เสี่ยวเสวียนเข้าไปในครัวเพื่อจัดเตรียมอาหารสองที่ และน้ำแกงไก่ตุ๋นสมุนไพร ซึ่งหนีเจียเอ๋อร์สั่งทำเป็พิเศษด้วย
อีกด้านหนึ่ง หลิวอวี้ก็มายังห้องครัว เพื่อจัดเตรียมสำรับเช่นกัน ทันทีที่มาถึง กลิ่นยาจีนจางๆ ซึ่งลอยเข้าจมูก ก็ทำให้นางถึงกับนิ่วหน้า พลางถามบ่าวผู้ดูแลครัวว่า “จางมามา ใครป่วยหรือเ้าคะ?”
จางมามายิ้มบางๆ ก่อนตอบ “ไม่มีใครป่วยหรอก ยาจีนนี่เป็ของเสี่ยวเสวียน สาวใช้ของคุณหนูรอง เห็นว่านางต้มน้ำแกงไก่สมุนไพรให้เว่ยอี๋เหนียงทุกวัน ตามคำสั่งของคุณหนูรองน่ะ”
ได้ยินเช่นนั้น หลิวอวี้ก็มิได้ซักไซ้อะไรต่อ เพียงยกยิ้มกว้าง พลางพยักหน้า “เข้าใจแล้ว เช่นนั้น จางมามา คุณหนูใหญ่กำลังรอสำรับอยู่ ข้าต้องไปแล้ว”
จางมามายกถาดอาหารมาส่งให้ “หลิวอวี้ เดินดีๆ ถือระวังๆ ล่ะ”
มามาผู้นี้เป็บ่าวรับใช้เก่าแก่ ซึ่งทำงานอยู่ในครัวของจวนสกุลหนีมานานนับสิบปี ทั้งยังเป็คนสุขุมและฉลาดรอบรู้ ถึงขนาดที่สวีซื่อก็ยังชื่นชมไม่ขาดปาก ที่นางสามารถจัดการหน้าที่ของตนได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
พอกลับมาถึง หลิวอวี้ก็เล่าทุกอย่างให้หนีจวิ้นหว่านฟัง ได้ยินเช่นนั้น หญิงสาวก็รู้สึกโมโห หนีเจียเอ๋อร์แอบปรุงยาบำรุงชั้นดีให้เว่ยอี๋เหนียงเพียงผู้เดียว?
แล้วฮูหยินเล่า? นางไม่เคยนึกถึงเลยหรืออย่างไร!
หนีจวิ้นหว่านไม่แตะต้องอาหารตรงหน้า รีบเดินไปยังเรือนของอีกฝ่ายทันที
หญิงสาวตรงเข้าไปในสวน ก่อนส่งเสียง “หนีเจียเอ๋อร์ ออกมาเดี๋ยวนี้!”
อีกด้านหนึ่ง เนื่องจากเห็นว่าวันนี้อากาศค่อนข้างดี หนีเจียเอ๋อร์กับโจวชิงหวาจึงออกมารับประทานอาหารกลางวันในสวน
เมื่อหนีจวิ้นหว่านเห็นพวกเขา ก็เดินฉับๆ เข้ามา พอเหลือบไปเห็นถ้วยน้ำแกงไก่ที่อยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม จึงหันไปตำหนิน้องสาวทันที “หนีเจียเอ๋อร์ เ้ามิได้หาเงินเข้าจวนแม้แต่แดงเดียว แต่กลับเอาอาหารมาแบ่งให้คนนอกเนี่ยนะ? เห็นขี้ดีกว่าไส้ เ้าคิดจะทำให้สกุลหนีของเราล่มจมหรืออย่างไร?”
หนีเจียเอ๋อร์เลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ลุกขึ้น “โจวชิงหวาได้มอบข้าวปลาอาหารให้พวกเราทุกปี ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้ เขาก็สามารถมากินอาหารที่จวนของเราได้ตลอดชีพแล้ว อีกอย่าง หากมิใช่เพราะเขา มีหรือที่ท่านจะได้ลิ้มรสอาหารชั้นเลิศจากเกาะเป่ยหาน แคว้นจิวอวี่ หรือที่อื่นๆ จริงหรือไม่เ้าคะ?”
หนีจวิ้นหว่านถึงกับสะอึก พูดไม่ออก
เมื่อนึกถึงของเ่าั้ ซึ่งอันที่จริง มันควรจะเป็ของบรรณาการที่ส่งเข้าวังหลวงเสียด้วยซ้ำ ไม่เว้นแม้กระทั่งลิ้นจี่ที่นางโปรดปราน...
พอคิดเช่นนั้น หนีจวิ้นหว่านก็ไม่กล้าโต้แย้งอีก
หนีเจียเอ๋อร์มองท่าทีของผู้เป็พี่ ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ “พี่หญิง หากท่านไม่มีธุระอะไรแล้ว ก็เชิญกลับไปเถอะ”
กล่าวจบ ก็ทิ้งตัวลงนั่งกินอาหารต่อ
โจวชิงหวาเงยหน้า มองไปยังสีหน้าราบเรียบของหนีเจียเอ๋อร์ เหตุใดเขาจะไม่รู้ ว่าภายใต้ความเฉยชานั่น อารมณ์ของนางกำลังเดือดพล่านเพียงใด
ชายหนุ่มจึงหยิบน่องไก่ไปใส่ถ้วยอีกฝ่าย พลางยกยิ้ม “จะไปสนใจทำไม กับแมลงวันแค่ตัวเดียว?”
หนีเจียเอ๋อร์เหยียดยิ้ม “นั่นสินะ!”
หนีจวิ้นหว่านจ้องเขม็ง “เ้าว่าใครเป็แมลงวัน?”
หนีเจียเอ๋อร์จึงย้อนว่า “ผู้ใดกำลังทำตัวน่ารำคาญ ก็เป็ผู้นั้นแหละ”
หนีจวิ้นหว่านเม้มปากแน่น ก่อนหมุนตัว เดินออกจากสวนไป
ทว่า หากจะให้กลับไปที่เรือน ก็น่าเบื่อเกินไป นางจึงมุ่งหน้าไปยังจวนสกุลสวี เพื่อพบกับสวีเพ่ยหราน
...
ภายในห้องหนังสือ
ชายหนุ่มเพิ่งจะวาดภาพเสร็จพอดี
สตรีในภาพวาดนั้น เหมือนหนีเจียเอ๋อร์ไม่มีผิด ทั้งชุดสีแดงสดใสนั่น ก็เป็ชุดที่นางสวมในวันเกิดนายท่านสกุลหนี
หนีจวิ้นหว่านมองภาพวาดตรงหน้า ซึ่งเป็ดั่งเชื้อเพลิงที่ราดรดลงบนไฟโทสะของนาง
“หว่านเอ๋อร์ เหตุใดจึงทำหน้าเช่นนั้น มีใครทำให้เ้าไม่พอใจอีกแล้วหรือ?”
เสียงของสวีเพ่ยหราน คล้ายสายน้ำเย็นที่เข้ามาดับเพลิงโทสะในใจนาง ทำให้หนีจวิ้นหว่านรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
หญิงสาวละสายตาจากภาพวาด หันไปทักทายคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้มละมุน “ท่านพี่หราน ข้าสบายดี แค่ตอนนี้รู้สึกโมโหนิดหน่อยเท่านั้น เลยมาที่นี่ หวังว่าจะมีใครช่วยทำให้ข้ารู้สึกดีขึ้นได้บ้าง”
สวีเพ่ยหรานจึงย้อนถาม “โอ้! ใครกัน ที่ทำให้เ้าอารมณ์ไม่ดีเช่นนี้?”
หนีจวิ้นหว่านตอบ “จะมีใครอีก ก็น้องหญิงของข้าน่ะสิ นางแอบปรุงน้ำแกงสมุนไพรให้โจวชิงหวาลับหลังข้าทุกวัน ไม่รู้จักคิดเสียบ้าง ว่าหากคนอื่นรู้เข้า จะนึกอย่างไร!”
สวีเพ่ยหรานชะงักมือ ปลายพู่กันที่จ่ออยู่กับที่ ทำให้หยดหมึกเริ่มแผ่กระจายเป็วงกว้าง
เขาขมวดคิ้วแน่น ก่อนวางพู่กัน แล้วหันไปถามเสียงขรึม “เ้าจะบอกว่า พวกเขากินข้าวด้วยกันทุกวันอย่างนั้นหรือ?”
หนีจวิ้นหว่านลอบยิ้ม “ใช่! ข้าได้ยินจากบ่าวในครัว ว่านางทำเช่นนี้มาห้าวันแล้ว”
ห้าวัน!... เป็ระยะเวลาเดียวกัน กับที่เว่ยฉีหรานเริ่มออกค้นหามือสังหารไปทั่วเมือง มิใช่หรือ?
สวีเพ่ยหรานเริ่มเอะใจ จึงเดินทางไปยังกรมราชทัณฑ์ และส่งคนออกไปตรวจสอบความเคลื่อนไหวของโจวชิงหวาทันที
ไม่นานก็มีรายงานมาถึง ว่าหลังจากเกิดเหตุการณ์ ที่มีมือสังหารบุกเข้าไปในห้องหนังสือของเว่ยฉีหราน โจวชิงหวาก็ไม่เคยปรากฏตัวให้เห็นอีกเลย แม้แต่ในจวนสกุลโจวเองก็ตาม
สวีเพ่ยหรานจึงปักใจเชื่อ ว่าโจวชิงหวาคือมือสังหารผู้นั้น!
เมื่อรู้แล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปยังจวนสกุลหนี เพื่อพบคนทั้งสองทันที
...
อีกด้านหนึ่ง
โจวชิงหวาเพิ่งจะนอนหลับพักผ่อน หนีเจียเอ๋อร์จึงปลีกตัวออกมาอ่านหนังสือข้างนอก จะได้ไม่รบกวนเขา
ตอนนั้นเอง สวีเพ่ยหรานก็เดินเข้ามา “เสี่ยวเอ๋อร์ โจวชิงหวายังอยู่ในห้องของเ้าหรือไม่?”
หญิงสาววางหนังสือลง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือน “แล้วอย่างไรเล่า? ท่านจะถามไปเพื่ออันใด!”
“ขอโทษ ข้ามิได้ตั้งใจจะเสียมารยาท” ชายหนุ่มเอ่ย ด้วยไม่้าจะถกเถียงกับนางในตอนนี้
“เสี่ยวเอ๋อร์ ข้าสงสัยว่าโจวชิงหวาอาจจะเป็มือสังหารที่บุกเข้าไปในจวนของเว่ยฉีหราน ตอนนี้เขากำลังตามหาตัวคนร้ายอยู่ เ้าต้องให้เขาออกไปเดี๋ยวนี้ ถอยห่างจากเขาเสีย มิฉะนั้น จวนสกุลหนีจะต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยเป็แน่”
หนีเจียเอ๋อร์มองอีกฝ่ายด้วยท่าทีเรียบเฉย ก่อนกล่าวอย่างใจเย็น “ท่านแน่ใจได้อย่างไร ว่าโจวชิงหวาคือมือสังหาร? กล่าวหาผู้อื่นเช่นนี้มีหลักฐานหรือไม่? หากมีก็แสดงออกมา ข้าไม่เข้าข้างเขาแน่!”
สวีเพ่ยหรานกัดฟันกรอด พลางถามด้วยความกังวล “เสี่ยวเอ๋อร์ เ้ารู้หรือไม่ว่าเว่ยฉีหรานเป็ใคร? เ้ารู้หรือไม่ว่าเขาโเี้เพียงใด...”
ยังพูดไม่ทันจบ หนีเจียเอ๋อร์ก็แทรกขึ้นมาว่า “ทั้งหมดที่ข้ารู้ในตอนนี้ก็คือ โจวชิงหวาเป็คนที่ข้ากล้าเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเขา!”