จากมุมมองด้านสุนทรียศาสตร์ เมิ่งอู่ถึงกับตะลึงลาน บุรุษผู้นี้ช่างมั่นอกมั่นใจ ง่ายๆ สบายๆ ไร้การควบคุมตน และไร้กฎเกณฑ์ถึงขีดสุดจริงๆ เลย
เขาก้าวมาหยุดเบื้องหน้าเมิ่งอู่อย่างเชื่องช้า ยิ้มกรุ้มกริ่มพลางกวาดแกนหญ้านุ่มๆ ในมือผ่านคิ้วตาของเมิ่งอู่
เมิ่งอู่รีบคว้าแกนหญ้านั้นสุ่มๆ มาดึงทิ้ง ก่อนหันหลังกล่าว “ฉูดฉาด หรูหราเกินไป”
ซวี่เฉินฟางเดินตามหลังนางอย่างเกียจคร้าน กล่าวว่า “สตรีคนอื่นๆ ล้วนชื่นชอบ มีเพียงเ้าที่ไม่ชอบ อาอู่ มองข้าสิ”
เมิ่งอู่ได้แต่ด่าทออยู่ในใจ เ้าปีศาจน้อย!
ซวี่เฉินฟางหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าว “เ้าไม่ยอมมองข้าตรงๆ เพราะเกรงว่าจะหลงเสน่ห์ข้าหรือ”
เมิ่งอู่คร้านเกินกว่าจะต่อปากต่อคำกับเขา
ยามเย็นอากาศปลอดโปร่ง ท้องฟ้าซีกตะวันออกถูกชะล้างจนเป็สีฟ้าใส เงาจันทร์บางๆ ปรากฏบนท้องฟ้าแต่หัววัน
ซวี่เฉินฟางวางมือไว้ที่ท้ายทอยพลางแหงนหน้ามองนภากว้างใหญ่ เขาหรี่ตาพลางกล่าว “ช่างเป็สถานที่ที่ดีจริงๆ แสงแดดดี อากาศดี สายลมดี แม้แต่ดวงจันทร์ก็ดี”
เมิ่งอู่ยังคงเดินหน้าต่อไป
ซวี่เฉินฟางยิ้มน้อยๆ ก่อนกล่าวต่อ “ทุกหนแห่งล้วนมีแต่ข้าวฟ่างแดง”
เมื่อกลับถึงลานเรือน กลิ่นหอมของข้าวสวยก็โชยมาจากครัว แม่ไก่ป่าในลานเรือนร้องกุ๊กๆ อย่างร่าเริง
ทันทีที่ซวี่เฉินฟางก้าวเท้าเข้าประตูก็เห็นอินเหิง เขากำลังให้อาหารไก่อย่างสบายอกสบายใจ สะดุดตาไม่ธรรมดาจริงๆ
จากนั้นเมิ่งอู่ก็เข้าไปช่วยนางเซี่ยในครัว
ซวี่เฉินฟางนั่งลงที่ลานเรือนครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าเ้าคือสามีที่อาอู่เก็บมาจากทุ่งข้าวฟ่างหรือ?”
อินเหิงเลิกคิ้ว “ดูท่าการออกไปเดินเตร่ทั้งวันของเ้าคงได้ยินอันใดไม่น้อย”
“หวังสิง” ซวี่เฉินฟางผลิยิ้ม “ฟังก็รู้ว่าเป็นามปลอมจนมิอาจปลอมได้อีก”
อินเหิงจ้องมองอีกฝ่ายอย่างสงบราบเรียบ “เฉินฟาง เ้าคิดว่านามของเ้าฟังแล้วบริสุทธิ์สูงส่งหรือ?”
ซวี่เฉินฟางลุกขึ้นยืน ปัดชายเสื้อ มองอินเหิงแวบหนึ่ง ก่อนกล่าวกับคนที่อยู่ในครัวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและเอาใจใส่ “ญาติผู้น้องอาอู่ ให้ข้าช่วยเ้าเถิด”
ไม่นานนักก็มีเสียงของซวี่เฉินฟางพูดคุยกับเมิ่งอู่ดังออกมาจากครัว
“ญาติผู้น้อง ท่อนฟืนนั่นมีหนาม ประเดี๋ยวข้าทำให้เอง”
“ญาติผู้น้อง ระวังหน่อย อย่าให้มีดบาดมือ”
นางเซี่ยเห็นหลานชายห่างๆ ของบ้านตนคอยเป็ห่วงเป็ใยบุตรสาว พี่น้องทะเลาะกันถือเป็เื่ปกติ นางอดยิ้มด้วยความปลื้มใจไม่ได้
เมิ่งอู่เขย่งปลายเท้าหมายจะหยิบชามข้าว แต่ซวี่เฉินฟางที่ยืนอยู่ด้านหลังของนางกลับยกมือขึ้นหยิบชามใบหนึ่งให้นาง
เพียงแต่ยามที่เมิ่งอู่ััโดนมือของเขา กลับเผลอปล่อยมือโดยไม่ทันระวัง ชามข้าวตกพื้นแตกเป็ชิ้นๆ เสียงดังเพล้ง
ได้ยินเพียงซวี่เฉินฟางที่อยู่ด้านหลังหัวเราะเบาๆ “ช่างเป็เด็กไม่เอาไหนที่ซุ่มซ่าม ไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย”
ขณะนั้นเองแม่ไก่ป่าในลานเรือนก็ร้องกุ๊กๆ ด้วยความใกลัว
เมิ่งอู่รีบวิ่งออกไปดู เห็นเพียงแม่ไก่ป่าที่ตระหนกกำลังะโขึ้นลงระหว่างที่วางแขนของเก้าอี้เข็นกับแขนของอินเหิง เล็บเท้าของมันข่วนหลังมือของอินเหิงจนเป็รอยแดง
เมิ่งอู่รีบเข้าไปไล่แม่ไก่ป่า ก่อนจับมืออินเหิงไว้อย่างปวดใจพักหนึ่ง “อาเหิง เ้าเป็อย่างไรบ้าง?”
ขนไก่งามๆ หลายเส้นร่วงใส่ชายเสื้อสีขาวบริสุทธิ์ของอินเหิง
อินเหิงทำหน้าไร้เดียงสาไร้พิษภัย ตอบว่า “ข้าไม่เป็ไร”
เมิ่งอู่เอ่ยถาม “ทำไมจู่ๆ มันถึงคลั่งขึ้นมาเล่า?”
ในเวลานั้นซวี่เฉินฟางยืนพิงกรอบประตูครัวพลางหรี่ตามองอินเหิง
อินเหิงกล่าว ในใจประหวั่นพรั่นพรึง “เมื่อครู่มีงูเลื้อยผ่านลานเรือน มันคงใกระมัง”
“มีงูหรือ?!”
การอาศัยอยู่ในชนบท ยิ่งอากาศร้อนยิ่งมีงูออกมาเพ่นพ่านถือเป็เื่ปกติ เมิ่งอู่จึงเดินสำรวจทั่วลานเรือน แต่ไม่พบร่องรอยของงู
อินเหิงกล่าว “มันอาจซ่อนตัวอยู่ ข้าไม่เป็ไร เ้าไปช่วยงานในครัวเถิด อีกสักพักหากมันออกมาอีก แม้ข้าจะเคลื่อนไหวไม่สะดวก อย่างมากก็แค่ถูกกัดสองสามที”
เมื่อเมิ่งอู่ได้ยินดังนั้น แล้วยังจะทำงานต่อได้อย่างไร นางตัดสินใจจะไม่ปล่อยอินเหิงไว้ที่ลานเรือนคนเดียว
นางจึงะโเสียงดังบอกนางเซี่ยที่อยู่ในครัว “ท่านแม่ อาเหิงบอกว่ามีงูอยู่ในลานเรือน ข้าต้องตรวจดูข้างนอกก่อน หากท่านแม่มีเื่ใดก็เรียกซวี่... เรียกญาติผู้พี่ห่างๆ ของข้าช่วยนะเ้าคะ”
นางเซี่ยตอบรับ “ตกลง อาอู่ เ้าระวังตัวด้วยนะ”
เมิ่งอู่หัวเราะชั่วร้ายใส่ซวี่เฉินฟางก่อนกล่าว “ญาติผู้พี่ เข้าไปเร็วเข้า”
ซวี่เฉินฟางเหลือบมองอินเหิงอย่างเยาะเย้ย ก่อนหมุนตัวเข้าครัว
จากนั้นเมิ่งอู่ก็หยิบไม้ไผ่ขึ้นมาหนึ่งท่อน แล้วเดินตรวจตราไปทั่วลานเรือน ค้นหาตามมุมอับทุกซอกทุกมุม ไม่พบงู แต่กลับพบแมลงจำนวนหนึ่ง แม่ไก่ป่าที่เดินตามหลังเมิ่งอู่อย่างองอาจ รีบวิ่งเข้าไปจิกกินแมลงเ่าั้ทันควัน
หลังตรวจสอบรอบๆ เสร็จแล้ว เมิ่งอู่ค่อยเดินกลับมาก่อนเอ่ย “อาเหิง ไม่ต้องกลัว งูน่าจะหนีไปไกลแล้วและจะไม่กลับมาอีก”
อินเหิงมองเมิ่งอู่ เอ่ยเสียงอบอุ่น “ขอเพียงอาอู่อยู่ที่นี่ ข้าก็ไม่กลัว”
ความปรารถนาที่จะปกป้องเขาในหัวใจของเมิ่งอู่ค่อยๆ ทวีขึ้น
นางเดินไปข้างกายอินเหิง จากนั้นนั่งลงบนม้านั่งเล็กๆ แล้วแกะผ้าพันแผลและไม้ที่ดามขาของเขาออก นางคอยช่วยเขาขยับสองขาอยู่เป็ประจำ
เมิ่งอู่ระมัดระวังไม่ให้ััโดนกระดูกขาของเขา เพียงประคองใต้เข่าของเขาไว้ แล้วช่วยเขายืดเหยียดและงอขาอย่างง่ายๆ เพื่อยืดกล้ามเนื้อและกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต จากนั้นก็ช่วยนวดกล้ามเนื้อขาของเขาไม่หนักไม่เบา
เมิ่งอู่ลูบคลำขาของเขาอยู่ชั่วขณะ ให้ััที่มือดีมาก จนนางวางมือไม่ลงไปพลาง กล่าวไปพลาง "อาเหิง เ้ารู้สึกอะไรหรือไม่ ออกแรงได้หรือยัง?"
อินเหิงลองอยู่สักพักก่อนตอบว่า "มีความรู้สึก แต่ไม่มีเรี่ยวแรง"
เมิ่งอู่เห็นเขาจับที่วางแขนเก้าอี้เข็นก่อนพยายามลองออกแรงที่ขาอีกครั้ง นางกดมือเขา แล้วปลอบโยนว่า “อย่ารีบร้อน ยังไม่หายดี รอให้ดีขึ้นอีกหน่อย ค่อยลองดูกันอีกครั้ง”
ระหว่างอาหารเย็น นางเซี่ยเอ่ยชมซวี่เฉินฟางไม่ขาดปาก
เพราะซวี่เฉินฟางช่วยเหลืองานบ้านได้ดีมาก ทั้งยังพูดคุยกับผู้าุโอย่างคนรู้กาลเทศะ นางเซี่ยหาข้อตำหนิเขาไม่ได้แม้แต่น้อย ถึงขั้นปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็หลานชายแท้ๆ ของนาง
เมิ่งอู่เชื่อฟังนางเซี่ย อินเหิงก็เคารพนางเซี่ย ขณะที่คนเ้าเล่ห์ผู้นี้ได้รับการสนับสนุนและปกป้องจากนางเซี่ยอย่างเต็มที่ นั่นหมายความว่าสถานะของเขาในเรือนหลังนี้มั่นคงแล้ว
นางเซี่ยยังกล่าวกับเขา “เฉินฟาง หากเ้าชอบที่นี่ก็อยู่ได้นานตราบเท่าที่เ้า้า”
ซวี่เฉินฟางพูดคุยกับนางเซี่ย ยิ้มอ่อนแล้วกล่าวว่า "ท่านป้า ท่านช่างดีต่อข้าจริงๆ"
เมิ่งอู่ทนไม่ไหวจนต้องกลอกตา ก่อนมองซวี่เฉินฟางอย่างไม่แยแสแล้วดัดเสียงพูด "เ้าไม่ต้องรีบกลับไปแจ้งท่านยายของเ้าหรือว่าพบญาติห่างๆ แล้ว?"
ก่อนที่ซวี่เฉินฟางจะตอบ นางเซี่ยก็กล่าวเสียงสั่น "อาอู่ ไยเ้าถึงพูดจาเช่นนั้นกับญาติผู้พี่ เสียงประหลาดพิกล และไฉนถึงกลอกตาใส่เขาเล่า?"
ซวี่เฉินฟางยิ้มให้เมิ่งอู่อย่างใจกว้าง กล่าวว่า "ท่านป้า ไม่เป็ไรขอรับ ถึงญาติผู้น้องอาอู่จะกลอกตาใส่ข้าก็ยังน่ารักอยู่ดี ข้าชอบที่นี่ ไม่อยากรีบร้อนกลับไปนัก รออีกสักพักค่อยกลับ ท่านป้าเห็นด้วยหรือไม่ขอรับ?”
นางเซี่ยตอบ “เห็นด้วยๆ ย่อมเห็นด้วย”
เมิ่งอู่อยากจะคว่ำชามข้าวแปะหน้าของเขาจริงๆ จะได้บังหน้าเขาให้มิด
หลังจากนั้นซวี่เฉินฟางก็แสดงบทบาทญาติผู้พี่ห่างๆ อย่างเต็มที่จริงๆ ยามที่เมิ่งอู่ขึ้นูเาไปตัดฟืน เขาก็ไม่วางใจขอติดตามไปด้วย ยามที่เมิ่งอู่ไปซักผ้าริมแม่น้ำ เขาก็ไม่วางใจขอติดตามไปด้วยเช่นกัน
เอาเป็ว่าเขาจะตามเมิ่งอู่ออกจากประตูเรือนทุกวัน หากพบเจอเหล่าสตรีในหมู่บ้าน ก็จะหยุดพูดคุยหยอกล้อพวกนาง ทำเอาพวกนางหน้าแดงเขินอาย ยิ้มหัวเราะอย่างมีความสุข