เห็นหนิงมู่ฉือยืนนิ่งไม่ขยับ จ้าวซีเหอโมโหจนแทบจะเป็บ้า
“เร็วสิ อยากให้ข้าตายหรืออย่างไร อยากจะถูกฝังไปพร้อมกับข้าหรือ”
นึกถึงสถานะของตัวเอง และนึกถึงความแค้นของสกุลหนิงที่ยังไม่ได้รับการสะสาง หนิงมู่ฉือกัดฟันหลับตาพลางยื่นมือสะเปะสะปะเข้าไปในสาบเสื้อของจ้าวซีเหอ
สิ่งแรกที่ััได้คือกล้ามเนื้อแข็งแรงของบุรุษ นางไม่กล้าคิดมาก รีบหาว่าขวดกระเบื้องเคลือบอยู่ที่ใด ดีที่ไม่นานก็พบ มิเช่นนั้นถ้าขืนให้นางยังกระทำการไม่สมควรนี้ต่อ ใบหน้านางได้ยิ่งร้อนผ่าวกว่านี้เป็แน่
นางเทเม็ดยาในขวดออกมาหนึ่งเม็ด ก่อนจะป้อนเข้าไปในปากจ้าวซีเหอ ตามด้วยน้ำชา
เสร็จเรียบร้อยก็จ้องมองจ้าวซีเหออย่างเคร่งเครียดปนลุ้นระทึก
“วางใจเถิด มียาถอนพิษอยู่ ข้าไม่ตายหรอก”
ได้ยินคำพูดที่น่าหวาดกลัวนี้ นางไม่กล้าเอ่ยอันใด ในใจเคร่งเครียดยิ่งนัก นางทำอาหารที่มีพิษ แค้นของสกุลหนิงยังไม่ทันได้สะสางก็ถูกค้นพบเสียแล้ว เช่นนี้นางจะต้องมีจุดจบเช่นไร คิดถึงสถานการณ์ของตัวเอง นางตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะคุกเข่าลงต่อหน้าจ้าวซีเหอ!
“บ่าวสมควรตาย ขอซื่อจื่อลงโทษบ่าวด้วยเ้าค่ะ!”
แม้จะรู้ว่ามีแต่ตายสถานเดียว นางยังเลือกที่จะยอมรับผิด
บุคคลตรงหน้าคือคนที่มีบุญคุณต่อนาง แม้นางต้องชดใช้ด้วยชีวิตก็ไม่เสียดาย จะเสียดายก็เพียงแต่ไม่อาจแก้แค้นได้เท่านั้น
“เ้ากล้าทำกล้ายอมรับผิดดี เพียงแต่ซื่อจื่ออย่างข้าไม่ชอบฆ่าคน ข้าชอบสาวงาม เื่ครั้งนี้ข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อย สู้เ้ามาเป็สาวใช้ข้างห้องของข้าดีกว่า ข้ากำลังขาดคนปรนนิบัติอยู่พอดี”
หนิงมู่ฉือเงยหน้ามองจ้าวซีเหออย่างตกตะลึง นางนึกว่านางต้องตายเป็แน่ เหตุใดซื่อจื่อถึงปล่อยนางไปง่ายๆ เช่นนี้ หรือเขาจะเปลี่ยนวิธีทรมานนาง?
“ว่าอย่างไร การที่ข้าถูกใจเ้านับเป็เกียรติของเ้า เ้ายังจะเื่มากอีกหรือ”
“บ่าวไม่กล้าเ้าค่ะ บ่าวฐานะต่ำต้อย ทั้งยังมีความผิดติดตัว ไม่อาจเอื้อมเป็สาวใช้ข้างห้องของซื่อจื่อได้”
จ้าวซีเหอหัวเราะเสียงเบา สีหน้าดูดีขึ้นกว่าตอนโดนพิษมากนัก
“เช่นนั้นเ้าก็บอกมาว่าที่เ้าทำอาหารพวกนี้จะเอาไว้ใช้กับตำหนักอ๋องใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่นะเ้าคะ! ท่านอ๋องเป็คนดี บ่าวไม่กล้าทำร้ายท่านอ๋องแน่นอนเ้าค่ะ”
หนิงมู่ฉือใจนเหงื่อแตกพลั่ก ความผิดข้อหาทำร้ายท่านอ๋องนางรับไม่ไหวหรอกนะ!
“เช่นนั้นทำไปเพื่ออันใด เพื่อสกุลหนิงหรือ?”
นางตะลึงในใจ แผนของนางถูกเปิดโปงแล้วหรือนี่?
“ช่างเถิด เ้าเป็แค่บ่าวธรรมดา ไหนเลยจะมีความกล้าคิดแก้แค้น เื่ในวันนี้ทำเป็ว่าไม่เคยเกิดขึ้น ต่อไปห้ามเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก เข้าใจหรือไม่”
หนิงมู่ฉือเป็คนฉลาด ได้ยินประโยคที่แฝงความนัยนี้ นางลอบคิดในใจว่า ซื่อจื่อที่วันๆ ทำตัวไร้สาระแท้ที่จริงแล้วฉลาดยิ่งนัก
เขาช่วยชีวิตนางไว้ถึงสองครั้งสองครา นางก็ควรจะใช้ความดีตอบแทนเขา
“ซื่อจื่อ ขอบคุณมากเ้าค่ะที่ไว้ชีวิตบ่าว บ่าวรับปากว่าหนึ่งปีนี้จะไม่ก้าวเท้าออกจากตำหนักอ๋องเด็ดขาด จะอยู่รับใช้ซื่อจื่ออย่างเต็มใจเ้าค่ะ”
จ้าวซีเหอยกมือลูบคาง ท่าทางยังคงไม่พอใจเท่าใดนัก
แค่หนึ่งปีเองหรือ
เขาเหมือนจะเริ่มหลงรักนางเข้าแล้ว เช่นนี้จะปล่อยให้นางจากไปได้อย่างไร
ช่างเถิด อย่าเพิ่งเปิดโอกาสให้สัตว์ป่าตัวน้อยตัวนี้มีโอกาสได้ป้องกันตัวก่อน มิเช่นนั้นเขาคงจะจับตัวนางไม่ได้ง่ายๆ ทำให้นางหลงว่าประเด็นสำคัญอยู่ที่ใดก่อนดีกว่า
“พรุ่งนี้อาหารของข้าต้องรสชาติดีแล้วก็หน้าตาดูดีกว่าเดิม เข้าใจหรือไม่”
“เข้าใจเ้าค่ะ!”
หนิงมู่ฉือลอบดีใจอยู่ในใจ ซื่อจื่อตอบตกลงแล้วใช่หรือไม่
นางจะใช้เวลาหนึ่งปีในตำหนักอ๋องนี้วางแผน เชื่อว่าเพียงพอที่จะทำให้นางออกไปแก้แค้นได้ทันที
ส่วนเหตุผลที่นางต้องออกจากตำหนักอ๋อง เพราะไม่อยากให้ตำหนักอ๋องเป่ยเยียนต้องมาเดือดร้อนไปด้วย
เวลาต่อมา ขาหมูเย็นในงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของจ้าวซีเหอกลายเป็อาหารที่ผู้คนที่มางานในวันนั้นชื่นชมไม่ขาดปาก
โดยไม่ทันระวัง เื่นี้ได้ลือไปถึงหูคนในวัง
“ท่านกำลังบอกว่า ในตำหนักท่านอาตอนนี้มีแม่ครัวผู้หนึ่งที่มีฝีมือฉกาจอยู่ ฝีมือดียิ่งกว่าพ่อครัวหลวงในวังอีกเยี่ยงนั้นหรือ”
อัครมหาเสนาบดีเฉินอวี้ประสานมือขณะกล่าวตอบ “กระหม่อมมีวาสนาได้ลองชิมขาหมูเย็นจานนั้นมาแล้วพะยะค่ะ รสชาติยอดเยี่ยมราวกับอาหารจากสรวง์ก็ไม่ปาน รสชาติล้ำเลิศจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินฉายแววสนอกสนใจขึ้นมาในทันใด
“คนในเมืองหลวงล้วนรู้กันดีว่าท่านอาเป็นักกิน ในตำหนักจะมีแม่ครัวมือหนึ่งไม่ใช่เื่แปลก แต่ขาหมูเย็นอร่อยถึงเพียงนั้นเชียวหรือ เราได้ยินขุนนางหลายคนยังคงพูดถึงอาหารจานนี้ไม่ขาดปาก”
อัครมหาเสนาบดีเฉินประสานมือตอบอีกครา “จริงแท้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“มีแม่ครัวที่มีฝีมือดีกว่าแม่ครัวพ่อครัวข้างนอกไม่ใช่เื่แปลก แต่ถึงขั้นดีกว่าพ่อครัวในวังหลวงนี่สิ อย่างไรเราก็ไม่เชื่อ”
แววตาอัครมหาเสนาบดีเฉินเป็ประกายครู่หนึ่งก่อนจะเลือนหายไป
“หากฝ่าาสนพระทัย เรียกตัวแม่ครัวผู้นี้เข้ามาในวัง ปรุงอาหารให้ฝ่าาลองเสวย ให้ฝ่าาได้เปรียบเทียบกับฝีมือพ่อครัวหลวงดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้จ้าวเจี้ยนเจินเหลือบมองอัครมหาเสนาบดีเฉินแวบหนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา “เอาสิ เราเองก็อยากลองชิมเช่นกันว่ารสชาติจะยอดเยี่ยมประหนึ่งอาหารจาก์จริงหรือไม่ ใครก็ได้เข้ามาในนี้หน่อย ถ่ายทอดคำสั่งเราลงไป ให้แม่ครัวตำหนักอ๋องเป่ยเยียนเข้าวังมาพบเรา”
ครั้นท่านอ๋องทราบข่าวนี้ รีบรุดไปที่เรือนของบุตรชายทันที
“ปลอกเปลือกกุ้งเร็วเข้า ข้าหิวแล้วนะ หากไม่รีบป้อนให้ข้าอิ่ม ข้าจะกินเ้าแทน”
หนิงมู่ฉือได้ฟังเยี่ยงนั้นก็รีบลงมือให้ว่องไวขึ้นอีก ไม่รู้ว่านางไปล่วงเกินผู้ใดไว้ ตอนนี้ถึงต้องมาเป็ทั้งแม่ครัวและสาวรับใช้ในเวลาเดียวกัน
“ซีเหอ นางหนูหนิง พวกเ้ารีบไปเตรียมตัวเร็วเข้า ฮ่องเต้มีรับสั่งให้เข้าวังไปเข้าเฝ้า”
หนิงมู่ฉือได้ยินก็ใเป็อย่างมาก นางกำหมัดแน่น โอกาสที่นางจะได้แก้แค้นมาถึงแล้วสินะ
จ้าวซีเหอเลื่อนสายตาไปที่หนิงมู่ฉือโดยไม่ให้ผู้ใดสังเกตเห็น ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ท่านพ่อ ท่านเลอะเลือนไปแล้วหรืออย่างไร ฝ่าาอยากจะพบบ่าวที่มีความผิดติดตัวด้วยเหตุอันใด”
“เื่นี้พ่อเองก็ไม่แน่ใจ คล้ายกับฝีมือทำอาหารของนางดีมากจนโด่งดังไปทั่ว”
ต้องขอกล่าวเลยว่า ท่านอ๋องเอ่ยได้ถูกต้องยิ่งนัก
“ไม่ไป! ลูกป่วยนอนซมอยู่บนเตียง ไปไม่ได้”
ท่านอ๋องเห็นบุตรชายพูดจาโกหกต่อหน้าต่อตา จึงตรงเข้าไปประเคนฝ่ามือเข้าที่ศีรษะทันที
“เ้าลูกไม่รักดี เ้ากำลังทูลความเท็จอยู่นะ คิดจะทำให้ตำหนักอ๋องเดือดร้อนไปด้วยหรืออย่างไร รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าประเดี๋ยวนี้ หากทำภารกิจครั้งนี้ไม่สำเร็จห้ามกลับมาเด็ดขาด”
จ้าวซีเหอยื่นมือไปข้างหน้า “เื่นี้ลูกช่วยก็ได้ แต่ลูกจะไม่ช่วยเปล่าๆ ขอเงินให้ลูกก่อนหนึ่งหมื่นตำลึงเงินลูกถึงจะยอมช่วย”
ท่านอ๋องมีโทสะยิ่งนัก แต่เมื่อคิดถึงว่าคนที่อยู่ในวังไม่อาจรอช้าได้ จึงเรียกให้คนไปนำเงินมาให้จ้าวซีเหอหนึ่งหมื่นตำลึงเงิน ก่อนจะเกลี้ยกล่อมให้บรรพบุรุษตัวน้อยนี้เข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้
บนรถม้า จ้าวซีเหอมือไม้อยู่ไม่สุข เขาดึงหนิงมู่ฉือเข้ามาในอ้อมกอด ไม่ว่านางจะดิ้นรนขัดขืนเพียงใดก็ไม่เป็ผล
“อย่าเสียเวลาเลย เ้าดิ้นไม่หลุดหรอก”
“ปล่อยมือนะ” หนิงมู่ฉือกล่าวอย่างขัดเคือง
“แม้แต่คำสุภาพก็ไม่ใช้แล้วหรือ ปกติข้าตามใจเ้ามากเกินไปสินะ ช่างเถิด ในเมื่ออย่างไรเ้าก็ต้องเข้าเรือนข้าอยู่วันยันค่ำ สู้ตอนนี้พวกเรามาทำให้ข้าวสารกลายเป็ข้าวสุกดีหรือไม่”
หนิงมู่ฉือมีสีหน้าตื่นใ
“ซื่อจื่อ บ่าวไม่ใช่คนง่ายๆ แบบนั้นนะเ้าคะ”
“หืม เ้ากำลังจะบอกว่าข้าเป็คนง่ายๆ อย่างนั้นสิ”
หนิงมู่ฉือบ่นว่าในใจ มีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องเป่ยเยียนมีสหายรู้ใจเป็หญิงสาวมากมายนับไม่ถ้วน ถ้าเขาไม่ใช่คนง่ายๆ แล้วผู้ใดจะเป็เล่า
“ในวังออกจะน่าเบื่อไร้อิสระ ไม่เหมือนอยู่ข้างกายข้าที่มีอิสระเสรี เ้าว่าจริงหรือไม่”
นิ้วของจ้าวซีเหอลากผ่านริมฝีปากของหนิงมู่ฉือ แม้ไม่ได้แต้มชาด ทว่ากลับมีสีแดงเรื่อจนทำให้อยากจะลิ้มลอง
บรรยากาศคลุมเครือนี้ทอดยาวจนถึงหน้าประตูวังหลวง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้