ตอนที่ 2 เด็กสาวขี้โรคแห่งชิงเหอ
แรงผลักอย่างไม่ปรานีจากฝ่ามือหยาบกร้านของย่าหวัง ส่งร่างที่บอบช้ำของหนิงหนิงให้เซถลาไปข้างหน้าสองสามก้าว ก่อนที่แผ่นหลังจะกระแทกเข้ากับประตูไม้เก่าซอมซ่อของโรงเก็บฟืนเสียงดังปัง! ความเจ็บแปลบแล่นปราดจากกระดูกสันหลังขึ้นมาถึงต้นคอ แต่มันก็ยังเทียบไม่ได้กับความเย็นเยียบที่กัดกินหัวใจของเธอในขณะนี้
ประตูถูกปิดกระแทกตามหลัง เสียงสลักไม้ที่ถูกลงกลอนดังขึ้นอย่างเฉียบขาด เป็ดั่งเสียงตอกฝาโลงที่ผนึกชะตากรรมของเธอไว้ในความมืด
ภายในโรงเก็บฟืนอบอวลไปด้วยกลิ่นอับของดินชื้นผสมกับกลิ่นราไม้เก่าๆ และฝุ่นฟางที่สะสมมาเนิ่นนาน แสงสว่างเพียงน้อยนิดลอดผ่านรูโหว่และรอยแตกของผนังดินเผาเข้ามา เป็เพียงลำแสงบางๆ ที่ทำให้พอมองเห็นกองฟืนระเกะระกะและใยแมงมุมที่ขึงดักจับฝุ่นอยู่ตามมุมมืด
หนิงหนิงค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งพิงประตูไม้ แขนข้างหนึ่งกอดเข่าที่ผอมบางของตัวเองไว้แน่น อีกข้างยกขึ้นััรอยแดงเป็ปื้นบนแก้มที่ยังคงปวดแสบปวดร้อนไม่หาย
"บ้าที่สุด..." เธอพึมพำกับตัวเอง เสียงแหบแห้งจนแทบไม่ได้ยิน "นี่มันเื่บ้าอะไรกัน"
สมองของเธอยังคงหมุนคว้าง ความทรงจำของหนิงหนิง สถาปนิกสาวแกร่งแห่งศตวรรษที่ 21 กำลังต่อสู้และหลอมรวมเข้ากับความทรงจำอันเ็ปของสวีหนิง เด็กสาวขี้โรคแห่งยุค 70 ภาพตึกระฟ้าสลับกับภาพกระท่อมดิน ภาพอาหารหรูหราในร้านอาหารสลับกับภาพข้าวต้มใสแจ๋วที่มีเพียงเศษผักลอยฟ่อง ความแตกต่างสุดขั้วนี้ทำให้เธอแทบคลั่ง
เธอหลับตาลง ปล่อยให้ภาพยนตร์ขาวดำแห่งชีวิตของเ้าของร่างเดิมฉายซ้ำในหัว
สวีหนิงคนเดิม เด็กสาวที่เกิดมาพร้อมร่างกายอ่อนแอในยุคสมัยที่ให้คุณค่ากับแรงงานเป็ที่สุด เธอเป็เหมือนความผิดพลาด เป็ภาระที่ไม่มีใคร้า พ่อไม่เคยชายตาแล แม่เลี้ยงที่รักเธอที่สุดก็ได้แต่ถอนหายใจ ย่าใช้เธอเป็ที่รองรับอารมณ์ น้องชายแย่งอาหารส่วนของเธอไปต่อหน้าต่อตา ทุกวันของเธอคือการทำงานหนักเท่าที่ร่างกายจะอำนวย และจบลงด้วยท้องที่ว่างเปล่ากับร่างกายที่เ็ป
"น่าสมเพช..." น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาจากหางตาโดยไม่รู้ตัว มันไม่ใช่ของเธอ ไม่ใช่ของหนิงหนิงคนใหม่ แต่มันคือหยาดน้ำตาสุดท้ายที่ตกค้างอยู่ในร่างนี้ ความเสียใจ ความน้อยเนื้อต่ำใจ และความสิ้นหวังของเด็กสาวคนหนึ่งที่ตายไปแล้วเพราะมันเทศเพียงหัวเดียว
ภายนอกโรงเก็บฟืน เสียงแผดดังของย่าหวังยังคงดังต่อเนื่องราวกับฟ้าร้องในฤดูร้อน
"พวกเ้าดูไว้นะ! ดูนังเด็กอกตัญญูคนนี้ไว้เป็ตัวอย่าง! กล้าขโมยของในบ้านตัวเองไม่พอ ยังจะเถียงคำไม่ตกฟาก! สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ ขนาดเด็กในไส้ยังกล้าปีนเกลียวผู้ใหญ่! คนแบบนี้ถ้าไม่ดัดนิสัยเสียบ้าง ต่อไปคงได้เผาบ้านเผาเรือนกันพอดี!"
เสียงนั้นดังพอที่จะทำให้เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงเริ่มชะโงกหน้าออกมาจากประตูบ้านของตน
ป้าหลิว เพื่อนบ้านปากไวที่กำลังนั่งเลือกถั่วอยู่หน้าบ้าน หรี่ตามองมาทางบ้านตระกูลสวีแล้วส่ายหน้าเบาๆ "เฮ้อ บ้านนั้นมีเื่อีกแล้วหรือนี่ ย่าหวังก็ช่างลงไม้ลงมือกับหลานสาวตัวเองได้นะ เด็กหนิงหนิงนั่นน่ะ ช่างน่าสงสาร"
ลุงจาง ชายวัยกลางคนที่กำลังลับจอบอยู่ใกล้ๆ ได้ยินเข้าก็แค่นเบ้ปาก เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้างตามประสาคนทำงานหนัก "น่าสงสารอะไรกัน? ร่างกายอ่อนแอปวกเปียกแบบนั้น ทำงานก็ไม่ไหว กินก็เปลือง มีลูกสาวแบบนี้ก็เหมือนมีของกินได้แต่ถ่ายไม่ได้ มีแต่ผลาญเสบียงไปวันๆ!"
คำเปรียบเปรยที่หยาบคายและไร้ความปรานีนั้นคมกริบยิ่งกว่าจอบที่เขากำลังลับอยู่ มันแทงทะลุผนังดินเข้ามาเสียดแทงหัวใจของหนิงหนิงที่นั่งอยู่ในความมืด
ป้าหลิวขมวดคิ้วไม่พอใจ "พี่จาง พูดจาให้มันดีๆ หน่อย นั่นมันเด็กคนหนึ่งนะ"
"เด็กแล้วอย่างไร?" ลุงจางยักไหล่ ไม่ได้รู้สึกผิดแม้แต่น้อย "ในยุคแบบนี้ ใครไม่มีแรงทำงานก็คือภาระนั่นแหละ ย่าหวังเขาก็แค่สั่งสอนหลานตัวเอง จะอะไรกันนักหนา ไปๆ กลับไปตากถั่วของป้าเถอะไป อย่ามัวแต่ยุ่งเื่ชาวบ้านเลยน่า"
สิ้นคำพูดนั้น เสียงซุบซิบก็ค่อยๆ จางหายไป เหลือเพียงเสียงลมที่พัดยอดต้นหลิวไหวเอนอยู่ไกลๆ และเสียงจิ้งหรีดที่เริ่มส่งเสียงร้องระงมรับยามโพล้เพล้ โลกภายนอกยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่ไยดี ราวกับว่าความเ็ปของเด็กสาวคนหนึ่งในโรงเก็บฟืนเป็เพียงฝุ่นผงที่ไร้ค่า
หนิงหนิงนั่งนิ่งงันอยู่ในความมืด คำพูดของลุงจางยังคงดังก้องอยู่ในหัว "ภาระ ของกินได้แต่ถ่ายไม่ได้ ผลาญเสบียง"
นี่สินะ คือสถานะของเธอในโลกใบนี้
ในศตวรรษที่ 21 เธอคือหนิงหนิง สถาปนิกดาวรุ่งอนาคตไกล ผู้ออกแบบตึกสูงระฟ้าที่ใครๆ ต่างก็ชื่นชม เธอหาเลี้ยงตัวเองได้ ซื้อคอนโดหรูได้ มีเงินพอที่จะกินอาหารมื้อละหลายพันได้โดยไม่ต้องกะพริบตา แม้จะทำงานหนักจนตาย แต่ชีวิตของเธอก็มีคุณค่า มีคนยอมรับ
แต่ในที่แห่งนี้ ในร่างของสวีหนิง เธอกลับไม่มีค่าอะไรเลย
คุณค่าของมนุษย์ในยุค 1975 นี้ ถูกตัดสินด้วยเพียงสองสิ่ง: แรงงานที่ลงไปในนา และข้าวที่ตักเข้าปาก ร่างกายที่ขี้โรคของสวีหนิงทำให้เธอสร้างแรงงานได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ปากของเธอยังคงต้องกินทุกวัน ในสายตาของคนส่วนใหญ่ เธอจึงเป็สมการที่ขาดทุน เป็ตัวเลขที่ติดลบในบัญชีชีวิตของครอบครัว
น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลรินอาบแก้มที่บวมช้ำ มันไม่ใช่การร้องไห้ฟูมฟาย แต่เป็หยาดน้ำตาแห่งความเข้าใจอันขมขื่น เธอไม่ได้ร้องไห้ให้ความเ็ปทางกาย แต่ร้องไห้ให้กับความจริงที่ว่า ในโลกใบนี้การมีชีวิตอยู่ของเธอกลับเป็ความผิด
ภาพความทรงจำหนึ่งผุดขึ้นมา วันเกิดครบรอบสิบห้าปีของสวีหนิงคนเดิม เธอไม่ได้คาดหวังของขวัญอะไร แค่แอบหวังลึกๆ ว่ามื้อเย็นวันนั้นจะได้กินไข่ต้มสักฟอง แต่สิ่งที่เธอได้รับคือคำด่าทอจากย่าหวังที่ว่า "เกิดมาก็ผลาญข้าวสุกแล้ว ยังจะหวังฉลองวันเกิดอีกรึ นังตัวซวย!" คืนนั้นเธอได้แต่นอนกอดท้องที่หิวโซและร้องไห้เงียบๆ
หนิงหนิงยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาอย่างแรง ความสงสารในใจถูกแทนที่ด้วยความโกรธที่คุกรุ่นขึ้นมาอย่างช้าๆ
ไม่ใช่ความผิดของเธอ ไม่ใช่ความผิดของสวีหนิงคนเดิมที่ไม่แข็งแรง และยิ่งไม่ใช่ความผิดที่เกิดมาเป็ผู้หญิง!
ทันใดนั้นเอง หยกรูปหยดน้ำที่ห้อยคออยู่ก็เริ่มส่งไออุ่นจางๆ ออกมา ความอบอุ่นนั้นค่อยๆ ซึมซาบผ่านิัเข้าสู่ร่างกายที่หนาวสั่นของเธอ มันเป็ความรู้สึกที่ปลอบประโลมและน่าอัศจรรย์ ช่วยบรรเทาความเ็ปตามร่างกายลงได้เล็กน้อย
หนิงหนิงก้มลงมองจี้หยกที่ซ่อนอยู่ในสาบเสื้อ มันเป็ของดูต่างหน้าชิ้นเดียวที่แม่ ของสวีหนิงคนเดิมทิ้งไว้ให้ก่อนจะเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน ย่าหวังเคยพยายามจะเอามันไปขายหลายครั้ง แต่สวีหนิงก็ปกป้องมันไว้สุดชีวิต นี่คือสมบัติชิ้นเดียวที่เชื่อมโยงเธอกับความรักที่แท้จริง
ขณะที่เธอกำลังจ้องมองจี้หยกนั้นเอง ภาพในหัวของเธอก็พลันสว่างวาบขึ้นมา!
เธอไม่ได้อยู่ในโรงเก็บฟืนที่มืดมิดอีกต่อไป แต่กลับยืนอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าสีขาวสะอาด
ที่นี่ไม่มีผนัง ไม่มีเพดาน ไม่มีขอบเขต ทุกอย่างรอบตัวคือม่านหมอกสีขาวนวลที่แผ่ขยายออกไปจนสุดลูกหูลูกตา ราวกับผืนผ้าใบที่ยังรอศิลปินมาแต่งแต้ม อากาศบริสุทธิ์และสดชื่นจนน่าประหลาดใจ ไม่มีกลิ่นอับชื้นของฟาง ไม่มีกลิ่นดิน แต่เป็กลิ่นที่สะอาดบริสุทธิ์จนยากจะบรรยาย
"ฝัน หรือว่าฉันตายอีกแล้วจริงๆ?" หนิงหนิงพึมพำกับตัวเอง สองมือยกขึ้นมาััใบหน้า ความเจ็บแสบที่แก้มยังคงอยู่ เป็เครื่องยืนยันว่าเธอยังมีชีวิตและไม่ได้ฝันไป
เธอค่อยๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง พื้นใต้เท้าให้ความรู้สึกเหมือนเหยียบอยู่บนพื้นหยกที่เรียบเนียนแต่ไม่ลื่น ทุกย่างก้าวเงียบสนิทไร้เสียงสะท้อน ความเวิ้งว้างอันไร้ที่สิ้นสุดนี้ควรจะน่ากลัว แต่มันกลับให้ความรู้สึกสงบอย่างน่าประหลาด
ขณะที่เธอกำลังสับสนอยู่นั้นเอง ดวงตาของเธอก็พลันจับจ้องไปยังจุดศูนย์กลางของพื้นที่แห่งนี้
ณ ใจกลางของม่านหมอกสีขาว มีโอเอซิสเล็กๆ ปรากฏอยู่ มันเป็วงกลมของพื้นดินสีดำขลับที่ดูอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง ขนาดไม่ใหญ่นัก ประมาณสักครึ่งหมู่ (หน่วยวัดพื้นที่ของจีน เทียบเท่าประมาณ 333 ตารางเมตร) ตรงกลางผืนดินนั้นมีตาน้ำเล็กๆ ผุดขึ้นมา น้ำใสราวกระจกเงาจนมองเห็นกรวดเล็กๆ ที่ก้นบ่อได้อย่างชัดเจน ไอน้ำจางๆ ลอยอ้อยอิ่งอยู่เหนือผิวน้ำ ส่งกลิ่นหอมหวานคล้ายกลิ่นดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิ และข้างๆ ตาน้ำนั้น มีกระท่อมไม้ไผ่หลังเล็กๆ ตั้งอยู่อย่างเงียบสงบ ดูเรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้าน
หนิงหนิงเดินเข้าไปใกล้ราวกับต้องมนตร์สะกด หัวใจของเธอเต้นรัวด้วยความตื่นเต้นและความไม่เชื่อสายตา นี่มันอะไรกัน? สรวง์หลังความตาย? หรือว่า...
มือของเธอเผลอกำจี้หยกที่ห้อยคอไว้แน่น และทันใดนั้นเอง เธอก็รู้สึกได้ถึงความเชื่อมโยงอันน่าอัศจรรย์ จี้หยกในมือของเธอกำลังสั่นะเืเบาๆ และส่งไออุ่นออกมาประสานกับพลังงานในพื้นที่แห่งนี้อย่างสมบูรณ์
"มิติในหยก" คำสี่คำนี้ผุดขึ้นมาในหัวของเธอเอง มันคือคำที่ปรากฏในนิยายออนไลน์แนวทะลุมิติที่เธอเคยอ่านเพื่อฆ่าเวลา! ของวิเศษในตำนานที่ตัวเอกมักจะได้รับเพื่อใช้เปลี่ยนแปลงโชคชะตา
เป็ไปได้ยังไง เื่แบบนี้มีอยู่จริงงั้นเหรอ?
หนิงหนิงคุกเข่าลงข้างตาน้ำอย่างไม่ลังเลอีกต่อไป เธอลองวักน้ำขึ้นมา ความเย็นสดชื่นััฝ่ามือ แต่กลับแฝงไว้ด้วยไออุ่นที่มองไม่เห็น เธอตัดสินใจลองดื่มมันเข้าไป
ทันทีที่น้ำใสบริสุทธิ์ไหลผ่านลำคอ ความรู้สึกมหัศจรรย์ก็บังเกิด!
ความอบอุ่นสายหนึ่งพลันแผ่ซ่านราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิ ไหลเวียนจากช่องท้องไปยังทั่วทุกอณูของร่างกาย ความเ็ปจากการถูกทุบตีที่เคยรวดร้าว ไม่ว่าจะเป็รอยฟกช้ำบนแผ่นหลัง รอยแสบบนแก้ม หรือความปวดระบมที่หนังศีรษะ ทั้งหมดค่อยๆ บรรเทาลงอย่างรวดเร็วจนน่าใ ความหิวโหยที่กัดกินกระเพาะมาตลอดทั้งวันก็คลายลง กลายเป็ความรู้สึกอิ่มสบายอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น พลังงานอบอุ่นสายนั้นยังช่วยซ่อมแซมร่างกายที่อ่อนแอและขี้โรคของสวีหนิงจากภายใน ปอดที่เคยติดขัดหายใจได้โล่งขึ้น หัวใจที่เคยเต้นอ่อนแรงกลับมาเต้นเป็จังหวะที่มั่นคง แขนขาที่เคยไร้เรี่ยวแรงเริ่มมีกำลังวังชาขึ้นมา
"์..." หนิงหนิงหลับตาลง ซึมซับความเปลี่ยนแปลงอันน่าอัศจรรย์ "์ยังไม่ตัดหนทางคนจนตรอกจริงๆ"
น้ำตาแห่งความปีติยินดีไหลออกมาเป็ครั้งแรกนับั้แ่เธอมาอยู่ในร่างนี้ มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความสิ้นหวังอีกต่อไป แต่เป็น้ำตาแห่งความหวัง
เธอลุกขึ้นยืนเต็มความสูงอีกครั้ง ความอ่อนล้าและเ็ปหายไปเกือบหมดสิ้น เหลือเพียงความมุ่งมั่นที่ฉายชัดอยู่ในดวงตา เธอมองผืนดินสีดำสนิทตรงหน้า ดินที่อุดมสมบูรณ์ขนาดนี้ หากนำเมล็ดพันธุ์อะไรมาปลูก มันจะต้องเติบโตงอกงามอย่างรวดเร็วแน่นอน
ในยุคที่อาหารคือทุกสิ่ง ที่ดินผืนนี้กับตาน้ำวิเศษ มันไม่ใช่แค่ทางรอด แต่มันคือขุมทรัพย์ คือบันไดที่จะพาเธอปีนขึ้นมาจากหล่มโคลนแห่งความต่ำต้อย!
เธอต้องกลับออกไป!
หนิงหนิงคิดในใจ และในวินาทีต่อมา ทิวทัศน์รอบตัวก็หมุนคว้าง ร่างของเธอกลับมานั่งพิงประตูไม้อยู่ในโรงเก็บฟืนที่มืดและอับชื้นเช่นเดิม
แต่ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ความมืดไม่ได้น่ากลัวอีกแล้ว กลิ่นอับไม่ได้น่ารังเกียจอีกต่อไป เสียงท้องร้องประท้วงก็เงียบหายไป ร่างกายที่เคยหนักอึ้งกลับเบาสบายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
หนิงหนิงยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเอง รอยบวมแดงและความเ็ปหายไปหมดสิ้น เหลือเพียงผิวที่เนียนเรียบ ราวกับว่าการทุบตีอย่างรุนแรงเมื่อครู่เป็เพียงแค่ความฝัน
เธอไม่ได้ฝันไป นี่คือความจริง
หนิงหนิงกำหมัดแน่น ดวงตาของเธอทอประกายคมกล้าในความมืด โลกภายนอกอาจจะโหดร้าย ผู้คนอาจจะดูแคลน ครอบครัวอาจจะทอดทิ้ง แต่ในเมื่อ์มอบหนทางรอดให้เธอแล้ว เธอก็จะใช้มันเปลี่ยนนรกแห่งนี้ให้กลายเป็ยุคทองด้วยสองมือของเธอเอง
สถานะที่ต่ำสุดของตนงั้นหรือ? เธอยอมรับมันแล้ว ยอมรับเพื่อที่จะเหยียบย่ำมันขึ้นไปสู่จุดสูงสุด!
เกมนี้ เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
