เป็พิษหรือ? แน่นอนว่าเมล็ดพุทราไม่มีพลังโชคดีแห่งเทพ สรรพคุณทางยาค่อนข้างน้อย แม้ยาที่ให้คุณชายจูจะไม่เหมาะและไม่สามารถรักษาโรคของเขาได้ แต่ก็ไม่ทำให้เขาหมดสติแน่นอน
เหอตังกุยแค่นเสียงหัวเราะ ช่างน่าตลกเสียจริง การที่นางช่วยคุณชายจูนั้นถูกเก็บเป็ความลับ ของล้ำค่าที่นางมอบให้เป็มรดกตกทอดของตระกูลก็เป็ความลับเช่นกัน แต่กระนั้นปัญหาต่าง ๆ กลับไม่ลืมที่จะวิ่งเข้าหานาง ช่างเถิด เมื่อคืนนางพบขี้ผึ้งพร้อมชุดฝังเข็มความยาวสี่คืบจากห้องหนังสือของนายท่านผู้เฒ่าหลัว เป็โอกาสอันดีที่จะทดลองว่าถนัดมือหรือไม่
ในชาติก่อนชุดฝังเข็มที่ดีที่สุดของนางคือเข็มทองที่หลอมจากหอฉงเวิ่นในเมืองหลวง เข็มทำจากทองคำเจ็ดส่วน ทองเหลืองสามส่วน อ่อนแต่หักยาก มีความยาวประมาณสามฉื่อ ปลายหนาดุจคันธนู แหลมเสมือนขนวัว ด้ามจับทำจากนอแรด ตามคำบอกเล่าสมัยโบราณ ‘ยาสมุนไพรต้มกระตุ้นภายใน การฝังเข็มกระตุ้นภายนอก’ หนังสือที่เขียนโดยหมอโบราณผู้มีชื่อเสียงหลายท่านกล่าวว่าการฝังเข็มดีกว่าการกินยาสมุนไพรต้ม คุณภาพของเข็มมีผลโดยตรงต่อการฝัง เข็มต้องไม่เปลี่ยนแปลงตามสภาพอากาศโดยรอบและต้องเหมาะสมกับอุณหภูมิร่างกายคนเสมอ เมื่อฝังเข้าไปต้องไม่เ็ป สีใต้ิัต้องไม่เปลี่ยนแปลงและไม่ต้องกังวลว่าเข็มจะฝังติดหรือไม่ นายท่านผู้เฒ่าหลัวฝึกฝนการแพทย์มากว่าห้าสิบปี ดังนั้นอุปกรณ์ของเขาย่อมต้องยอดเยี่ยมเป็แน่
เหอตังกุยลุกยืนพลางขอให้หยางมามาจัดระเบียบเสื้อผ้า ฮ่า ๆ คุณชายจูกิน “แกงรังนกที่นางส่งให้” จนสลบกระนั้นหรือ? ใช้นิ้วเท้าคิดยังเข้าใจเหตุนี้ชัดเจน หากแกงถ้วยนั้นถูกส่งในนามของเหล่าไท่ไท่ เมื่อคุณชายจูดื่มก็ยังถือเป็แกงวิเศษ แต่หากส่งในนามของนาง เมล็ดพุทรานั้นจะเป็พิษทันที
เหอตังกุยนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งให้หยางมามาจัดแต่งทรงผม ขณะเดียวกันก็ลูบเข็มที่ฝังรอบข้อมือพลางคิดในใจ “ต่งซินหลันเอ๋ยต่งซินหลัน เ้ากับข้าไม่มีประโยชน์อันใดร่วมกัน แต่เ้าคงยังไม่พอใจชีวิตสงบสุขในตอนนี้จึง้าสร้างปัญหาวุ่นวาย เช่นนั้นข้าจะช่วยเ้าเติมไฟเสียหน่อยแล้วกัน ชาติที่แล้วเข็มของข้าสามารถช่วยชีวิตคนได้ แต่ข้ากลับต้องพบจุดจบที่สิ้นหวังและพังทลาย อาจารย์โต้วไห่ฉินใช้เข็มของเขาช่วยชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วนยาวนานถึงสิบปี แต่กลับต้องพบจุดจบที่ไร้มิตรและน่าเวทนา นอกจากตนผู้มีชื่อว่า “ศิษย์เพียงครึ่ง” ก็ไม่มีใครไปฝังร่างเขาสักคน เห็นได้ชัดว่าของดีใช้ได้กับมนุษย์เท่านั้น แต่ความเมตตาของหมอที่มีต่อสัตว์เดรัจฉานกลับสิ้นเปลืองนัก”
“มามา ให้ข้าไปเรือนหลิวหลี่นั้นย่อมไม่มีปัญหา แต่คนในบ้านต่างรู้ว่าข้าไม่สามารถรักษาโรคได้...พี่สะใภ้จะให้ข้ารักษาหลานจูได้เยี่ยงไร? ข้าไม่สามารถบอกพวกเขาเกี่ยวกับพุทราได้ หากข้าอุ้มหลานจูแล้วสวดมนต์สลายพิษจะไม่แปลกใช่หรือไม่?” เหอตังกุยเอ่ยเนิบนาบ “ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวานพวกเราไม่ได้ออกไปไหน แต่เมื่อพี่สะใภ้มาหาก็มี ‘บทลงโทษจาก์’ มากมาย หากวันนี้พวกเรายังฝ่าฝืนกฎ ไม่ยอมอยู่ในบ้าน ข้าก็ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดเื่อันใดอีก มามาคิดเห็นอย่างไรเ้าคะ?”
หยางมามาไม่สบายใจยิ่งนักก่อนเอ่ยด้วยท่าทีกระวนกระวาย “เช่นนั้นชีวิตคุณชายจูก็ตกอยู่ในอันตราย การช่วยชีวิตคนเปรียบเสมือนการช่วยดับไฟ ท่านเทพมอบพุทราให้แก่ท่าน บางทีหากท่านกอดคุณชายจูไว้ในอ้อมแขน เขาอาจฟื้นก็เป็ได้”
เหอตังกุยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฮ่า ๆ หากข้ามีทักษะเช่นนั้นคงกลายเป็เทพเซียนแล้ว หากข้ากอดคุณชายจูแล้วเขาไม่ฟื้น พี่สะใภ้ก็อาจจะเสียใจ มือข้าก็จะสั่นเทา หากพลาดพลั้งทิ้งคุณชายจูลงพื้นจะทำอย่างไร? ตามความเห็นของข้า พี่สะใภ้คงกังวลเกินไปเกี่ยวกับอาการป่วยของคุณชายจู ยิ่งกังวลเท่าไรก็ยิ่งไม่มีประโยชน์ในการช่วยเหลือ มามายังจำผู้ที่ไม่อาจเอ่ยนามผู้นั้นได้หรือไม่ การที่ข้าจะแบ่งปันพุทรากับคนอื่นควรทำด้วยความสมัครใจ การกอดคนและการสวดมนต์นั้นเป็เื่รอง แม้ข้าเต็มใจแบ่งปันพุทราให้ใครสักคนในตระกูลหลัว แต่มามาอาจยังไม่รู้ ข้ามีนิสัยขี้ขลาดแต่กำเนิด หากมีคนพูดเสียงดังก็จะร้องไห้ หากมีใครผลักหรือคะยั้นคะยอก็จะเป็ลม เมื่อถึงตอนนั้นจาก ‘ความสมัครใจ’ จะกลับกลายเป็ ‘การขู่เข็ญ’ ไม่แน่หลานจูอาจตายเพราะพิษกำเริบก็เป็ได้”
หยางมามาได้ยินก็ตะลึงงันทันที ทว่าเมื่อคิดอีกแง่หนึ่ง คำพูดนี้ก็มีเหตุผล ปกติแล้วต่งซื่อเป็คนอ่อนโยน มารยาทดี นางมักพูดเบา ๆ กับทุกคน ยกเว้นคุณหนูสาม เมื่อก่อนตนเคยเห็นต่งซื่อยืนเท้าสะเอวก่นด่าคุณหนูสามบ่อยครั้ง ทุกครั้งคุณหนูสามก็จะร้องไห้อย่างสิ้นหวัง ผู้พบเห็นเช่นนางก็ปวดใจเช่นกัน แต่ตอนนั้นต่งซื่อกำลังตั้งครรภ์คุณหนูเหยียนจึงเข้าใจได้ว่าอารมณ์ของสตรีมีครรภ์นั้นมักโมโหง่าย ในใจอัดอั้นด้วยความโกรธ หากนางได้ระบายก็ถือเป็เื่ดี ยิ่งไปกว่านั้น นางเป็ผู้าุโของคุณหนูสาม การอบรมสั่งสอนก็ถือเป็เื่ดีต่อคุณหนูสามเช่นกัน ดังนั้นทุกครั้งที่ตนเห็นสถานการณ์เหล่านี้ก็จะหลีกเลี่ยงทันทีเพื่อไม่ให้ต่งซื่ออึดอัดใจ
ทว่าตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว คุณหนูสามร้องไห้ตลอดบ่ายเพราะถูกม้าเหยียบ หากนางเป็ลมเพราะถูกต่งซื่อผลัก ผู้ใดจะสวดมนต์ชำระพิษให้คุณชายจู? หยางมามาคิดได้ดังนั้นจึงเอ่ยด้วยความลำบากใจ “แม้ตระกูลของพวกเรามีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมากมาย แต่พวกเขาก็ไม่รู้เื่เทพ ตอนนี้เหล่าไท่ไท่ทั้งกังวลและเสียใจมาก สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คุณหนูสาม โปรดช่วยบ่าวออกความคิดเห็นทีเ้าค่ะ”
เหอตังกุยหัวเราะเบา ๆ พลางเอ่ย “เช่นนี้ดีหรือไม่ มามาให้คนไปเชิญพี่สะใภ้และหลานชายมาที่นี่ พวกท่านชวนพี่สะใภ้พูดคุยไปเรื่อย ๆ ทิ้งให้คุณชายจูพักที่ห้องข้างฝั่งตะวันออกเพียงคนเดียว ข้าจะแอบเข้าไปตรวจอาการเขาเงียบ ๆ หากช่วยให้ฟื้นได้ก็ถือเป็เื่ดี แต่หากไม่ฟื้น...ก็ต้องค่อย ๆ ดูอาการ มามาไม่ต้องกังวล ตระกูลของพวกเรามีนายท่านผู้เฒ่าหลัวทั้งคน ท่านคือแพทย์อันดับหนึ่งในเมืองนะเ้าคะ”
ดวงตาหยางมามาเป็ประกายทันที ก่อนพยักหน้าเอ่ยต่อเนื่อง “วิธีนี้ดีที่สุด ข้าจะรีบให้คนไปเรียกพวกเขา คุณหนูสามรีบแต่งตัวนะเ้าคะ” กล่าวจบก็ทิ้งผมที่เพิ่งทำได้ครึ่งเดียวก่อนกุลีกุจอออกไป
เหอตังกุยหวีผมไม่เก่งนัก ผ่านไปเป็เวลานานก็ยังจัดการทรงผมอีกครึ่งหนึ่งไม่เสร็จ มันยังคงยุ่งเหยิงไม่เป็ทรง เมื่อไฮว่ไฮว่ฮวาเดินยกน้ำเข้ามาพลันเห็นดังนั้นก็ยิ้มพลางเอ่ย “ให้ข้าช่วยดีกว่า เมื่อก่อนข้าเคยช่วยศิษย์พี่ใหญ่ทำผมบ่อย ๆ ฝึกฝนจนชำนาญแล้ว” กล่าวจบก็วางถังน้ำก่อนจับผมสีดำหนึ่งกำมือของเหอตังกุย ไม่นานทรงผมฟั่นหวั่นอันงดงามก็เสร็จเรียบร้อย
เหอตังกุยชื่นชมเงาสะท้อนในกระจกด้วยรอยยิ้ม “คิดไม่ถึงว่าเ้ามีทักษะเช่นนี้ด้วย ทรงผมช่างไม่เหมือนใคร ยืดหยุ่นเหมาะสม สบายศีรษะยิ่งนัก ต่อไปก็ช่วยข้าทำผมทุกวันแล้วกัน”
ใบหน้าของไฮว่ฮวาเศร้าหมองเมื่อได้รับคำชม “ความสามารถในการหวีผมของศิษย์พี่ใหญ่เจินจูนั้นยอดเยี่ยมที่สุด ไม่มีใครเทียบนางได้ หากนางอยู่ด้วยคงจะดีไม่น้อย พวกเราเกลี้ยกล่อมหลายครั้งแต่นางก็ปฏิเสธ ทั้งยังบอกว่านาง ‘ถูกกำหนดให้อยู่ในวัดเท่านั้น’ วัดแบบนั้นมีอะไรน่าอยู่กัน?”
เหอตังกุยถอนหายใจทันที จะอยู่หรือไปก็เป็เื่ที่พูดยาก แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล มีตรงไหนที่เรียกว่าบ้านของตน? แผลด้านนอกตกสะเก็ดแต่ด้านในกลับยังมีหนอง เจินจูมีหนึ่งแผล ตนก็มีหนึ่งแผลเช่นกัน
เจินจูเอาชนะครอบครัวสามีเื่คดีความได้ ทั้งยังได้รับเงินที่นางสมควรได้ก่อนผันตัวเป็แม่ชี ดูเหมือนว่านางไม่มีอะไรต้องกังวลและดิ้นรน แต่ความจริงคือนางยังไม่สามารถลืมครอบครัวที่ทำลายชีวิตนางได้ ความทรงจำเ่าั้เปรียบเสมือนหนองที่ฝังในหัวใจ ด้วยเหตุนี้จึงต้องหนีและซ่อนตัวในวัดสุ่ยซัง ตราบใดที่นางไม่ได้ฟัง ไม่ได้เห็นก็จะไม่มีสิ่งใดในโลกรบกวนนางได้
เมื่อเหอตังกุยฟื้นก็เคยคิดเช่นนี้ นางกลัวต้องพบเจอกับประสบการณ์ที่เคยประสบในชาติที่แล้วอีกครั้ง นางให้อภัยคนในตระกูลหลัวมาโดยตลอด ทั้งยังถูกคนในตระกูลกลั่นแกล้ง ชีวิตต้องจมจ่อมในหลุมไฟร้อนระอุของตำหนักอ๋องหนิง ท้ายที่สุดก็ถูกฝังตลอดชีวิต แม้นางจะมีร่างกายใหม่เอี่ยมไร้าแ ทว่าหนองพิษในความทรงจำยังคงมองนางจากในที่มืด นางจึงไม่สามารถฟังหรือมองเห็นมันได้ ในที่สุดนางก็เลือกเส้นทางตรงข้ามกับเจินจู นางต้องกลับไปยังแหล่งกำเนิดหนองพร้อมใช้มีดคว้านสิ่งสกปรกเ่าั้ทิ้ง ก่อนใช้ยาดีทาาแของตน
เมื่อเหอตังกุยเห็นสีหน้าเศร้าใจของไฮว่ฮวาก็เอ่ยปลอบ “พี่เจินจูชอบฤดูหนาวในวัดสุ่ยซัง ูเาถูกปกคลุมด้วยเกล็ดหิมะ งดงามยิ่งนัก เมื่อดอกไม้บานในฤดูใบไม้ผลิก็จะออกไปเดินเล่นอย่างเบิกบาน เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พวกเราค่อยพานางมาที่นี่และห้ามไม่ให้นางกลับวัดสุ่ยซังอีก ดีหรือไม่?”
ไฮว่ฮวาพยักหน้าอย่างมีความสุข ก่อนปิดปากพลางะโ “จริงสิ เกิดเื่ใหญ่แล้ว ฉานอียังไม่กลับมาเลยเ้าค่ะ คุณหนูใหญ่ตระกูลหลัวคงไม่ได้...”
เหอตังกุยหยิบมุกเสียบเอียงลงบนผมพลางเอ่ยกระซิบด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถอะ คุณหนูไม่ทำอย่างนั้นแน่ ข้าจะขอให้คนที่สามารถเข้าออกเรือนทิงจูได้ไปตามฉานอีกลับมา”
หลังแต่งหน้าเสร็จ หยางมามาก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามารายงานว่าต่งซื่อและลูกชายกำลังจะ “เข้าประตู” เหอตังกุยจึงถือโอกาสถามนางว่าเหตุใดแม่นางจีและฉานอียังไม่กลับ
หยางมามาเอ่ยตอบ “เมื่อคืนอาจีกลับมาแล้วแต่เร่งรีบไปที่เรือนฝูโซ่ว วันนี้เป็วันตรวจสอบสิ่งของที่เหลือในคลังเก็บของของเหล่าไท่ไท่ อาจีเป็ผู้ดูแลจึงต้องรีบไป แต่สาวใช้หน้ากลมคนนั้น...ข้าไม่เห็นนางกลับมาั้แ่เมื่อคืน” เหอตังกุยสับสนยิ่งนัก มีหมาป่าเ้าเล่ห์ในตระกูลหลัวขโมยแกะน้อยเช่นฉานอีหรือ?
หยางมามาเอ่ยกำชับเหอตังกุยอีกครั้งอย่างไม่วางใจ เมื่อถึงเวลาเหมาะสม ตนจะลากต่งซื่อออกไปพร้อมหลี่มามาและฮวามามา ให้เหอตังกุยเข้าไปซ่อนตัวในห้องชงชาฝั่งตะวันออกล่วงหน้า เมื่อคุณชายจูถูกพาตัวไปที่นั่นควรช่วยเหลือเขาทันที หยางมามากล่าวอีกว่าหากตั้งสติให้ดี ไม่มีปัญหาใดที่ไม่สามารถผ่านพ้น ขอเพียงเหอตังกุยกอดคุณชายจูให้แน่น สวดมนต์ที่ท่านเทพผู้เป็ะสอนไว้อย่างตั้งใจเท่านั้น เหอตังกุยรับคำด้วยรอยยิ้มตาหยี
หลังหยางมามาจากไป เหอตังกุยก็ไปที่เรือนซีฮวาฝั่งตะวันตกเพื่อเลื่อนเวลาการรักษากับหนิงยวน ทว่าหนิงยวนและเฟิงหยางตัวปลอมไม่อยู่ นางจึงต้องกลับไปยังห้องชงชาปีกข้างฝั่งตะวันออกเพื่อรอการมาถึงของหลานชายผู้น่ารักที่ถูกวางยาและกำลังจะตายมาติดกับของตน
เมื่อเดินผ่านเรือนข้างก็ได้ยินเสียงคนมากมายจากด้านใน เหอตังกุยจึงเอนตัวไปที่ประตูเงียบ ๆ เพื่อประเมินสถานการณ์
ที่แท้ก็เป็จิ่วกูที่ได้ข่าวการมาถึงของหลานชายจึงเร่งมาหาหลานชายที่นี่ ตอนนี้นางกำลังจับมือเฟิงหยางตัวปลอมพลางพูดคุยกับเหล่าไท่ไท่ ผิ่นมามาและหนิงยวน ทั้งเ้าภาพและแขกผู้มาเยือนต่างมีความสุขท่วมท้น บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้น
เหล่าไท่ไท่และหนิงยวนพูดคุยกันอย่างตั้งใจ นางได้ยินว่าหนิงยวนพูดบางอย่าง เช่น “บรรพบุรุษทางเหนือ” “พ่อเสียชีวิตก่อนวัยอันควร” “เป็ลูกคนเดียวในตระกูล” “ทำธุรกิจอัญมณีหลายชั่วอายุคน” เป็ต้น เป็ไปได้ว่าเขาเล่าประวัติจอมปลอมให้เหล่าไท่ไท่ฟัง เหล่าไท่ไท่หัวเราะอย่างมีความสุขก่อนสอบถามวันเดือนปีเกิด แล้วเอ่ยถามถึงสถานะแต่งงานของเขา
ดูเหมือนเหล่าไท่ไท่จะละทิ้งความกังวลของหลานชายที่ “ถูกวางยาพิษในพุทรา” ชั่วคราว... หนิงยวนตอบว่าเขายังไม่ได้แต่งงาน ขาดฮูหยินดูแลเื่ในจวน... ส่งผลให้บทบาทแม่สื่อที่มีมาแต่กำเนิดของสตรีนั้นแสดงออกมา เหล่าไท่ไท่เริ่มเข้าใจทัศนคติที่หนิงยวนมีต่อสตรี พวกเขาทั้งสองพูดคุยั้แ่รูปลักษณ์ของสตรี คุณธรรม นิสัย ความรู้ รวมถึงเื่สะโพกของสตรีและเื่ชายหญิง กระทั่งเข้าเื่ขนาดเท้าและระดับความรักที่ผู้เป็ภรรยาได้รับจากสามี
เมื่อเหอตังกุยได้ยินดังนั้น ปากก็พลันกระตุกขึ้นอย่างอดไม่ได้ เหล่าไท่ไท่ได้ยินเพียงครอบครัวของหนิงยวนค้าอัญมณีก็ทำตัวสนิทสนมกับเขาจนพูดคุยได้ทุกเื่ หากวันหนึ่งรู้ว่าหนิงยวนเป็เชื้อพระวงศ์ นางอาจมัดหลัวไป๋ฉยงและหลัวไป๋เส่าถวายเขาก็เป็ได้
เมื่อนางมองใบหน้าของหนิงยวนซึ่งคล้ายใบหน้าของลู่เจียงเป่ยก็อดสงสัยไม่ได้ว่าใบหน้าแท้จริงของเขาเป็อย่างไร แม้เขาจะมาจากราชวงศ์จู แต่ชื่อหนิงยวนนั้นต้องเป็นามแฝงแน่ ชื่อจริงของเขาคืออะไร ชาติก่อนนางรู้จักเขาหรือไม่? ฮ่องเต้จูหยวนจางมีลูกหลานเพศชายมากมายจึงไม่อาจรู้ได้ว่าใครคือหนิงยวน?
ภายในเรือนข้าง เหล่าไท่ไท่เริ่มพูดถึงคุณหนูฉยง บรรยายทักษะอันยอดเยี่ยมของหลานสาว นางสามารถเล่นพิณบรรเลงบทเพลงโบราณได้ยอดเยี่ยมถึงสี่ห้าเพลง มีนิสัยเอาใจใส่และอ่อนโยนกับคนรับใช้ในจวน ทั้งยังเอ่ยชื่นชมความงดงามต่าง ๆ มากมาย
หนิงยวนลูบเส้นไหมที่ห้อยบนผมเปียพลางเอ่ยถามฉับพลัน “ในตระกูลร่ำรวยเช่นนี้ คุณหนูในจวนต้องมัดเท้าแต่เด็กใช่หรือไม่?”
เหล่าไท่ไท่ตะลึงงันครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าเอ่ย “แน่นอน หลานสาวของข้าต้องมัดเท้าั้แ่อายุหกเจ็ดขวบ มามาของพวกนางจะตรวจสอบสรีระเท้าและปรับปรุงวิธีการผูกรวมทั้งสมุนไพรที่ใช้แช่เท้า คุณชายยวน หากท่านไม่เชื่อก็สามารถถามผู้อื่นได้ ดอกบัวทอง[1]ขนาดสามฉื่อที่ตระกูลข้าสร้างขึ้นเป็ที่รู้จักกันดีทั่วทั้งเมืองหยางโจว...”
หนิงยวนเอ่ยถามขัดจังหวะเหล่าไท่ไท่ฉับพลันอีกครั้ง “แล้วหลานสาวผู้นั้นของท่านเล่า?”
---------------------------------------------
[1] ดอกบัวทอง หมายถึงรูปแบบการมัดเท้าชนิดหนึ่งในสมัยจีนโบราณ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้