เหยียนชิงมองคนที่สีหน้าเริ่มมืดมน คิดแล้วจึงพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
“ผู้ที่รู้ว่าเ้าอยู่ที่ไหนล้วนเป็คนตระกูลเหยียน แม้ว่าจะมีคนนอกที่รู้ว่ากองคาราวานตระกูลเหยียนกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปชายแดนเหนือแต่ก็ไม่มีทางรู้ได้ว่ามีใครร่วมขบวนไปบ้าง แต่ตระกูลเสวียกลับรู้ อาจจะให้คนแอบตามดูเ้าอย่างลับ ๆ หรืออาจจะเป็ฮูหยินถังที่ส่งข่าวไป”
“ข้าลองปรึกษากับหลินชวนและเฉินเซียงแล้ว บางทีอาจเป็เหยียนิฮ่วนที่มีอคติต่อเ้า จึงขอให้เสวียหรงออกเงินล่าค่าหัวตามกฎของยุทธภพ เขาถึงได้รู้ดีว่าเ้ากำลังจะไปที่ไหน แต่ถ้าหากไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหยียนิฮ่วน เช่นนั้นเื่นี้ก็คงซับซ้อนกว่าที่เราคิด...”
“ข้าเข้าใจ...” เว่ยซูหานพยักหน้า จากนั้นเขาจึงถอนหายใจออกมาทั้งยังเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับการจู่โจมที่ตนพบในระหว่างทางเมื่อครู่นี้
“ชิงเอ๋อร์ เมื่อครู่ยามที่ข้ากำลังเดินกลับมาจากจวนท่านเ้าเมืองได้พบผู้สะกดรอยสวมหน้ากากสองคนซึ่งเข้ามาจู่โจม แต่พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า จึงถูกข้าทุบตีกลับไป”
“ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้...” ใบหน้าของเหยียนชิงดำคล้ำ “ได้ส่งคนไล่ตามไปหรือไม่? ข้ารู้สึกว่ามันอาจมีความสัมพันธ์กับตระกูลเสวีย...”
“ไม่ ทั้งสองมีการวางแผนมาก่อน เกรงว่าจะมีหลุมพรางจึงไม่ได้ให้ผู้ใดไล่ตามไป ยิ่งไปกว่านั้นเห็นได้ชัดว่าพวกเขามาที่นี่เพื่อหยั่งเชิงข้า... ไม่กล้ายืนยันว่าตระกูลเสวียมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ แต่วิชาที่พวกเขาใช้คือวิชากระบี่คู่ ข้าสงสัยว่าพวกเขาอาจจะเป็คนของอ๋องฉางอัน”
“วิชากระบี่คู่... อ๋องฉางอัน...”
เหยียนชิงตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นจึงก้มหัวลง เขาไม่เคยเห็นวิชากระบี่คู่ แต่ในชาติก่อนเคยได้ยินมาบ้าง...
ในชาติก่อน องค์ชายผู้ซึ่งถูกส่งไปเลี้ยงดูในราชวังของอ๋องฉางอัน นั้นก็คือองค์ชายรองเฟิงหลิงอวี่ หลังจากได้รับอนุญาตให้ไปเยี่ยมชมเมืองหนานฮั่นแล้วจึงกลับมาบอกกับเขาว่า ข้างกายเสด็จพ่อของตนมีองครักษ์ที่ทรงพลังเป็อย่างมากอยู่สองคน วิชากระบี่ที่พวกเขาฝึกก็คือวิชากระบี่คู่...
แต่ในเวลาต่อมาอ๋องฉางอันได้ถูกเรียกตัวมาเมืองหลวงกลับไม่เคยเห็นสองคนนั้นติดตามมาด้วย ความอยากรู้อยากเห็นที่ถูกกระตุ้นโดยองค์ชายรองจึงค่อยๆ จางหายไป... ในยามนี้เว่ยซูหานกลับพูดเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าสองคนนั้นมีตัวตนอยู่จริง
แต่เนื่องจากอ๋องฉางอันได้เสียสละตัวเองโดยคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม ดังนั้นองครักษ์ของเขาย่อมไม่ควรก่อเื่เช่นนี้เพื่อยั่วยุเว่ยซูหาน เพียงปกป้องอ๋องฉางอันอยู่ในที่ลับก็พอแล้ว...
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาจึงถามด้วยความสงสัย
“เหตุใดเ้าจึงสงสัยว่าพวกเขาเป็คนของอ๋องฉางอัน? หรือว่าเคยประมือกับพวกเขาเมื่อยามที่อยู่ในเมืองหนานฮั่น? อีกทั้งยามนี้อำนาจของอ๋องฉางอันได้เสื่อมสลายไปแล้ว พวกเขาจะทำสิ่งนี้ไปเพื่ออะไรกัน? อีกทั้งพวกเขาไม่เกรงว่าจะเป็การทำให้เราขุ่นเคืองจนส่งผลเสียต่อจวนอ๋องฉางอันหรือ?”
เว่ยซูหาน “บางทีผู้ที่สั่งการพวกเขาอยู่ในยามนี้อาจจะไม่ใช่อ๋องฉางอัน...”
เหยียนชิงขมวดคิ้วด้วยความสับสน
“ถึงกระนั้น ย่อมรู้ชัดว่าจะถูกจับได้แต่ก็ยังจะทำ หากไม่ใช่คนโง่เง่าก็คงเป็ศัตรูของอ๋องฉางอัน...”
“เื่นี้...” เว่ยซูหานพูดไม่ออก ด้วยไม่รู้จะอธิบายอย่างไรมาได้สักพักแล้ว
เหยียนชิงคิดถึงความเป็ไปได้อื่น ๆ “หรือพวกเขากระทำโดยเจตนา ยังจงใจทำแม้รู้ว่าเ้าจะจำพวกเขาได้”
เว่ยซูหานค่อย ๆ ลูบมือของคนข้างกายเบา ๆ หลังจากอึกอักไปครู่หนึ่งเขาก็พูดว่า
“ชิงเอ๋อร์ พวกเขาไม่รู้ว่าข้าจำพวกเขาได้ ข้าเองก็ไม่เคยพบพวกเขาเช่นกัน ข้าเพียงเดาว่า...”
เขาไม่เคยพบทั้งสองคนนั้นมาก่อนในชีวิตนี้
“…” เหยียนชิงมองดูเขาอย่างแปลกใจ กลับพบว่าเขาดูแปลกไป จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
“...เ้าเป็อะไรไป? แม้จะเป็การคาดเดาก็ต้องมีเหตุผลว่าคาดเดามาจะสิ่งใด...”
อีกทั้งการเดาก็สามารถเดาได้ถูกต้องถึงเจ็ดแปดส่วน มันออกจะแปลกประหลาดเกิดไปแล้ว
“ข้า...” เว่ยซูหานส่ายหัวอย่างทำอะไรไม่ถูกแล้วกอดเขาเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจะวางคางของตนไว้บนไหล่ของเขา “ชิงเอ๋อร์ มีบางสิ่งที่ข้าไม่รู้ว่าจะบอกเ้าอย่างไรดี”
“หืม?” ในยามนี้เหยียนชิงยิ่งรู้สึกสับสนมากขึ้นไปอีก คิดไม่ออกเลยว่าจู่ ๆ เกิดอะไรขึ้นกับเขา จึงตบเขาเบา ๆ ด้วยฝ่ามือที่สกปรก
“เกิดอะไรขึ้นกับเ้า... ระหว่างเ้ากับข้าไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนพูดคุยกันได้...”
“ชิงเอ๋อร์ เ้าเชื่อในศาสตร์ลึกลับอย่างผู้ที่มีความสามารถในการคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้หรือไม่? เ้าเชื่อเื่... คนที่ได้เกิดใหม่หลังความตายหรือไม่?”
“…” เหยียนชิงรู้สึกว่าในหัวของเขายามนี้มันกำลังว่างเปล่า การเคลื่อนไหวของร่างกายหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนั้น ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดอะไรบางอย่างกับคนที่หลับตาพร้อมกับกอดเขาเอาไว้
“เ้า... เ้ากำลังพูดเื่อะไร...”
เขาไม่ได้ให้สนใจเื่การเกิดใหม่ของตนมากนัก อีกทั้งมันก็ผ่านมานานมากแล้วเว่ยซูหานจึงไม่ควรสังเกตเห็น... จุดที่ทำให้คนสงสัยได้มากที่สุดก็คือใน่เวลาสั้น ๆ ที่เพิ่งเขาเกิดใหม่ เหตุใดคนผู้นี้จึงเพิ่งมาถามเอาตอนนี้ เป็ไปได้ไหมว่าจะเห็นบางสิ่งบางอย่างแปลก ๆ ในตัวของเขาจึงเก็บไปถามผู้พยากรณ์?
“ข้า...” เว่ยซูหานลืมตาขึ้นแล้วเห็นว่าอีกคนมีสีหน้าไม่สู้ดี จึงคิดไปเองว่าถูกตนเองทำให้หวาดกลัว คำพูดที่กำลังจะสารภาพออกจากปากจึงถูกกลืนกลับเข้าไป แล้วจึงสูดลมหายใจเข้ายาว ๆ ก่อนจะจูบลงบนหน้าผากของเขา
“ไม่มีอะไร... ข้าเพียงอยากถามว่าเ้าเชื่อในอภิปรัชญา[1] เช่นนี้หรือไม่...”
เขาลืมไปว่าเหยียนชิงเป็ผู้ที่อ่านหนังสือและเรียนรู้ต่อหน้าภาพวาดแห่งนักปราชญ์[2]แล้วจะเชื่อเื่ดังกล่าวได้อย่างไร ในชั่วขณะหนึ่งหัวก็เกิดร้อนขึ้นมาจนอยากเล่าเื่ที่ตนเองได้เกิดใหม่ออกไป และด้วยความประมาทเลินเล่อจึงทำให้อีกคนหวาดกลัว
“ซูหาน...”
“เอาล่ะ ออกไปกันเถอะ ท้องของข้าก็หิวแล้วเช่นกัน...”
เว่ยซูหานขัดจังหวะเขา ก่อนจะดึงเขาให้ลุกขึ้นแล้วพาเดินออกจากห้องหนังสือ
เขาถูกเว่ยซูหานเปลื้องผ้าแล้วถูกอุ้มลงไปในอ่างน้ำ สมองของเหยียนชิงยังคงจมอยู่ในความประหลาดใจกับเื่เมื่อครู่ จึงพูดกับคนข้าง ๆ อย่างเหม่อลอยว่า
“คืนนี้ข้าจะล้างตัวด้วยตนเอง”
หลังจากเว่ยซูหานมองดูเขาอย่างสำนึกผิดอยู่สักพัก ก็ยอมพยักหน้า “ได้ ข้าจะรอเ้าอยู่ด้านนอก”
เหยียนชิงมองเขาเดินออกไปแล้วก็รู้สึกว่าปฏิกิริยาของคนที่มีใบหน้าตำหนิตัวเองดูค่อนข้างแปลก ั้แ่ต้นเขาก็มีความรู้สึกไม่เชื่อ... จนกระทั่งน้ำร้อนค่อย ๆ คลายสมองที่ตึงเครียดของเขา เขาถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งที่คิดขึ้นมาได้ในภายหลัง
ั้แ่ที่เว่ยซูหานถามเขาว่าเชื่อในอภิปรัชญาหรือไม่ก็เป็เื่แปลกมากแล้ว มันเป็การนึกเอาเองของเขาที่คิดถึงเื่ของตนขึ้นมาก่อน... ยามนี้เมื่อลองคิดอย่างใจเย็นดูแล้ว แท้ที่จริงดูเหมือนว่าเว่ยซูหานจะไม่ได้พูดถึงเขา มันเหมือนกับการพูดถึงตนเองมากกว่า
สิ่งที่เว่ยซูหานพูดเมื่อครู่ดังก้องขึ้นมาในใจของเขาอีกครั้ง
(พวกเขาไม่รู้ว่าข้าจำพวกเขาได้ ข้าเองก็ไม่เคยพบพวกเขาเช่นกัน ข้าเพียงเดาว่า... มีบางสิ่งที่ข้าไม่รู้ว่าจะบอกเ้าอย่างไรดี...)
ในหัวเริ่มส่งเสียงหึ่ง ๆ ขึ้นมาอีกครั้ง แต่เหยียนชิงมั่นใจว่าตนเองเดาไม่ผิด... ด้วยเหตุนี้ ความอาฆาตของเว่ยซูหานที่มีต่อเหยียนิฮ่วน อีกทั้งวิธีการทำสิ่งต่าง ๆ และความคิดที่ดูสมเหตุสมผลจนสามารถเทียบได้กับคนที่เกิดใหม่อย่างเขา ความรู้สึกแปลก ๆ ซึ่งมักถูกมองข้ามอย่างง่ายดายเสมอมากลับปรากฏชัดขึ้นมาในทันที...
เขาลุกขึ้นจากอ่าง สวมชุดก่อนจะเดินออกไปด้วยเท้าเปล่า แต่กลับหยุดเมื่อมือัักับประตู ความวิตกกังวลและความประหม่าท่วมท้นขึ้นภายในใจ ครุ่นคิดสักพักจึงลงสลักประตูก่อนจะเรียกคนที่เฝ้าอยู่ด้านหน้า
“ซูหาน...”
ถึงแม้อากาศจะไม่หนาว เหยียนชิงก็ยังรู้สึกว่าตนเองกำลังตัวสั่นอยู่เล็กน้อย ในยามที่ะโเรียกชื่อเว่ยซูหานน้ำเสียงยังสั่นอย่างรุนแรง
คนด้านนอกที่ได้ยินเสียงเรียกเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะยกมือขึ้นผลักประตู
“ชิงเอ๋อร์ เ้าเป็อะไรไป? เหตุใดเ้าจึงลงสลักประตูเช่นนี้?”
เหยียนชิงสงบจิตสงบใจ พิงประตูก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วถอนหายใจออกมา
“เ้ายืนอยู่ด้านนอกเช่นนี้เถอะนะ ข้ามีบางอย่างจะบอกเ้า เ้าฟังก่อน อย่าเพิ่งขัด”
เว่ยซูหานเก็บมือที่กำลังผลักประตู ไม่นานก็ตอบกลับมา “ได้ เ้าพูดมา”
เหยียนชิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดออกมาช้า ๆ
“เ้าถามข้าว่าเชื่อในอภิปรัชญาไหม เชื่อหรือไม่ว่ามนุษย์สามารถเกิดใหม่ได้หลังความตาย ตอนนี้ข้าจะตอบเ้า ข้าเชื่อ...”
เชิงอรรถ
[1] อภิปรัชญา (玄学) หมายถึงความรู้อันประเสริฐที่ยิ่งใหญ่ เป็วิชาที่ว่าด้วยความแท้จริงของสรรพสิ่ง อภิปรัชญา เป็ปรัชญาบริสุทธิ์สาขาหนึ่ง เป็วิชาที่เกี่ยวกับพื้นฐานที่แท้จริงของจักรวาล เป็ศาสตร์เบื้องต้นแห่งศาสตร์ทั้งปวง
[2] อ่านหนังสือและเรียนรู้ต่อหน้าภาพวาดแห่งนักปราชญ์ (读圣贤书) หมายถึงผู้ที่มีสมาธิในการอ่านหนังสือของนักปราชญ์หรือผู้ทรงความรู้ โดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด ในสมัยโบราณพฤติกรรมเช่นนี้เป็คำชมว่าทุกสิ่งด้อยกว่า มีแต่การอ่านเท่านั้นที่ประเสริฐใช้เรียกคนที่กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และปรับปรุงตน แต่ในปัจจุบันพฤติกรรมแบบนี้เป็การดูถูกเหยียดหยามว่าเป็คนที่ไม่สนใจชีวิต ไม่สนใจโลก ฯลฯ รู้จักแต่เพียงการอ่านหนังสือ
