"ไม่นึกเลยว่าเธอจะรอบคอบขนาดนี้ อย่างนี้ฉันก็สบายใจที่จะฝากเด็กๆ ทั้งสี่คนไว้ที่เธอ" หลิวชิงเวยพูดด้วยความยินดีที่เขาได้ช่วยหาช่องทางให้เด็กๆ ได้ทำงานที่เหมาะสมและปลอดภัย เพราะยังไงซะพวกเขาก็ยังเด็กเกินไป ถึงจะเรียนจบชั้นมัธยมต้นแล้ว แต่ก็แค่สิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้นเอง
"ก็ต้องอย่างนี้สิคะ ตามหลักการแล้ว พวกเขายังไม่ถือว่าเป็ผู้ใหญ่ เราไม่ควรจ้างลูกจ้างที่อายุน้อยขนาดนี้ด้วยซ้ำไป แต่ตอนนี้เด็กที่จบมัธยมต้นแล้วออกมาทำงานก็เยอะแยะ ถ้าหนูปฏิเสธพวกเขาด้วยเหตุผลนี้ พวกเขาอาจจะเสียใจนะคะ คงไม่ขอบคุณหนูหรอกค่ะ ฮิฮิ"
มันเป็ความพิเศษของยุคสมัยนี้ ถ้าเป็ยุคหลังๆ เด็กที่อายุไม่ถึงสิบแปดปี การใช้แรงงานจะต้องแจ้งให้ทราบ ถึงจะไม่ถึงกับเป็ความผิดทางอาญา แต่ก็ต้องมีค่าปรับ มีคำเตือนอะไรพวกนั้นอยู่ดี แต่ในต้นยุค 80 เด็กบางคนยังไม่ทันจบมัธยมต้นด้วยซ้ำ ก็เริ่มทำงานกันแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ตัวเธอเองตอนสิบเจ็ดก็เริ่มทำงานแล้ว ตอนนั้นเพิ่งเรียนมัธยมปลายได้ไม่กี่เดือนเอง พอนึกถึงเื่นี้ เธอก็ได้แต่เสียใจ ถ้าเรียนมัธยมปลายให้จบ ชีวิตต่อมาของเธอคงไม่ต้องลำบากขนาดนั้น ความรู้มันตัดสินชะตาชีวิตจริงๆ
"ในเมื่อยังไม่ถือว่าเป็ผู้ใหญ่ การที่จะให้พวกเขาออกไปทำงานนอกสถานที่ ฉันก็ยังต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองของพวกเขาก่อน แล้วก็ต้องให้พี่ในฐานะผู้ดูแลมีส่วนร่วมด้วย เพราะยังไงซะฉันก็แค่เด็กมัธยมต้นคนนึง ถ้าเกิดเื่ไม่คาดฝันขึ้นมา ฉันก็จนปัญญาเหมือนกัน ดังนั้นหลายๆ เื่ ฉันต้องคุยกับผู้ปกครองให้เข้าใจ ต้องพูดกับพี่ให้ชัดด้วย" หมี่หลันเยว่พูดด้วยท่าทีที่หลิวชิงเวยเข้าใจดี
"พูดให้ชัดเจนก็ถูกต้องแล้ว ฉันจะพูดคุยกับพวกเขาให้เข้าใจ เด็กๆ ออกไปข้างนอกอาจจะต้องเจอเื่ต่างๆ เราก็ไม่อาจรับประกันเื่อุบัติเหตุได้ แต่สิ่งที่เราให้ได้คือสวัสดิการ ฉันจะรับปากกับผู้ปกครองของพวกเขาว่าจะทำตามสัญญา"
"ฉันว่าสิ่งที่ผู้ปกครองเป็ห่วงไม่ได้มีแค่สวัสดิการหรอกค่ะ พวกเขาเป็ห่วงเื่ความปลอดภัยของลูกๆ มากกว่า ดังนั้นฉันต้องขอให้พี่หลิวบอกพูดให้พวกเขาเข้าใจด้วยว่า เื่อุบัติเหตุเรารับประกันไม่ได้ แต่พวกเขาสามารถเลือกที่จะไปหรือไม่ไปก็ได้ ฉันรับความเสี่ยงนี้ไว้เองไม่ได้ ฉันจะไม่บังคับพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาไม่อยากทำ" การมาครั้งนี้ของหมี่หลันเยว่ จริงๆ แล้วก็ค่อนข้างกังวลใจอยู่บ้าง บางเื่ถ้าไม่พูดออกไป บางทีก็ไม่มีใครคิดถึง แต่ถ้าพูดออกไป ก็อาจจะทำให้เกิดความตื่นตระหนก อาจจะทำให้ตัวเองสูญเสียคนเก่งที่ตัวเองหมายตาไว้ แต่ถึงจะเป็อย่างนั้น หมี่หลันเยว่ก็ยังอยากจะมา เพราะผลที่จะตามมาบางอย่าง มันเกินกว่าที่ตัวเองจะรับได้
"ก็จริงอย่างที่ว่า สรุปว่าเราสองคนไม่ต้องมานั่งคิดมากกันเองแล้ว จะไปหรือไม่ไปก็ให้พวกเขาเลือกกันเองเถอะ ยังไงซะเราก็ทำดีที่สุดแล้ว นี่ก็เป็โอกาสดีจริงๆ พวกเขาอยากจะคว้าไว้หรือเปล่าก็ต้องแล้วแต่พวกเขาแล้ว อุบัติเหตุไม่มีใครอยากให้เกิด แต่ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้น" ตำรวจย่อมมีประสบการณ์ในการพูดถึงเื่อุบัติเหตุมากกว่า ดังนั้นหมี่หลันเยว่จึงชวนหลิวชิงเวยมาด้วยในการไปเยี่ยมบ้านครั้งนี้ บางคำพูดเขาพูดน่าเชื่อถือกว่าเธอพูด แถมยังน่าเกรงขามกว่าด้วย แต่ความจริงก็คือ ผู้ปกครองของทั้งสองบ้านไม่ได้ลังเลอะไรเลย
"คนนั่งรถออกไปข้างนอกตั้งเยอะแยะ จะมีสักกี่คนที่เจอเื่ ไม่ให้ลูกออกไปไหนเพราะกลัวว่าจะเกิดเื่เนี่ยนะ? ไม่เป็ไรหรอก เด็กผู้ชายก็ต้องออกไปผจญภัยบ้าง ถึงเธอไม่ให้เขาทำงานนี้ เขาก็คงจะไม่อยู่เฉยๆ อยู่ดี ตอนนี้มีงานให้พวกเขาทำเป็เื่เป็ราว พวกเราจะไปขัดขวางทำไมได้"
"ส่วนเื่จะเกิดหรือไม่เกิดเื่ ก็ต้องแล้วแต่บุญแต่กรรม พวกเราเตือนในสิ่งที่ควรเตือนแล้ว ถ้าพวกเขาดูแลตัวเองไม่ได้ ก็เพราะความสามารถของเด็กๆ ไม่พอเอง มันไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเธอแน่นอน คุณตำรวจหลิวเป็พยานให้เด็กๆ แล้ว คุณหมี่ก็ให้งานดีๆ กับพวกเขา พวกเราก็ขอบคุณมากแล้ว ดังนั้นพวกเราไม่มีข้อเรียกร้องอะไรเพิ่มเติมหรอก" นี่คือทัศนคติของผู้ปกครอง ทำให้หมี่หลันเยว่ซาบซึ้งใจมาก คนในยุคนี้ช่างซื่อบริสุทธิ์เหลือเกิน ไม่มีความคิดที่จะมาผลักภาระให้เธอเลยแม้แต่น้อย ซึ่งกลับทำให้หมี่หลันเยว่รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง ตัวเองเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า เธอกลัวที่จะต้องรับผิดชอบ ก็เลยผลักความรับผิดชอบออกมาั้แ่เนิ่นๆ
"เธอไม่ต้องคิดมากหรอก อุบัติเหตุไม่มีใครรับประกันได้หรอก แต่มันก็เป็ส่วนน้อย เป็ส่วนน้อยจริงๆ โอกาสที่จะเกิดขึ้นมันน้อยนิด ดังนั้นเธอไม่ต้องกังวลเื่พวกนี้ คิดในแง่ดีสิ พวกเขาจะได้ทำงานราบรื่นตลอดไป" ก็คงได้แต่คิดแบบนั้น แต่ตอนที่หร่วนิอี้และเมิ่งเสี่ยวเฟยขึ้นรถไฟมุ่งหน้าลงใต้ ใจของหมี่หลันเยว่ก็ยังคงเป็กังวลอย่างมาก จนกระทั่งเธอทำอะไรๆ ก็เหม่อลอย ทำให้หมี่หลันหยาง เฉียนหย่งจิ้น และหลินเผิงเฟยเริ่มเป็ห่วงขึ้นมา
อย่างนี้ไม่ได้การ ต้องหาทางเบี่ยงเบนความสนใจของเธอ อย่าให้ความคิดของเธอไปจดจ่ออยู่กับสองคนที่เดินทางอยู่ตลอดเวลา
"หลันเยว่ เธอไม่ได้จะหาโกดังเพิ่มเหรอ? ฉันกับหย่งจิ้นไปดูมาที่นึงแล้ว ไม่เลวเลย" เฉียนหย่งจิ้นตอนนี้ดูแลงานจิปาถะพวกนี้ของห้างสรรพสินค้าและโรงงานอยู่ ไม่ว่าจะเป็การประชาสัมพันธ์ การหาโรงงาน การจ้างพนักงานขาย งานหยุมหยิมพวกนี้ เมื่อเทียบกันแล้ว เขากลับอยากจะออกไปผจญภัยเหมือนกับหร่วนิอี้กับพวกมากกว่า น่าเสียดายที่เขาไม่มีเวลา
คำพูดของพี่ชายแทรกเข้าไปในหูของหมี่หลันเยว่ ทำให้เธอรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
"พี่คะ ที่พี่พูดเมื่อกี้เื่จริงเหรอคะ หาโกดังเจอแล้วจริงๆ เหรอ?" นี่เป็เื่ที่เธอคอยคิดถึงอยู่ตลอดเวลานะ นอกจากความปลอดภัยของคนสองคนนั้น เื่ที่เธอคิดถึงมากที่สุดก็คือเื่นี้แล้ว
"แน่นอนสิ พี่ชายเธอลงมือแล้ว มันจะไม่สำเร็จได้ยังไง แค่ต้องให้ท่านประธานใหญ่ไปตัดสินใจด้วยตัวเองเท่านั้นแหละ ดังนั้นท่านประธานใหญ่หลันเยว่ จะกรุณาเสียสละเวลาไปดูหน่อยได้ไหมครับ?" ไม่นึกเลยว่าพี่ชายจะมีมุมตลกๆ อย่างนี้ด้วย
"เสี่ยวหยางจื่อ ประคองเ้านายขึ้นรถ"
"รับทราบขอรับ" หมี่หลันหยางก้มตัวลงเล็กน้อย ยื่นแขนให้น้องสาวเกาะ เฉียนหย่งจิ้นมองตามหลังแล้วหัวเราะคิกคัก
ต้องบอกเลยว่า สถานที่ที่หมี่หลันหยางกับเฉียนหย่งจิ้นหามานั้น ทำให้หมี่หลันเยว่พอใจมากๆ เพราะระยะทางจากห้างสรรพสินค้าเฉียนคุนสะดวกมากๆ แถมขนาดของโกดังก็เพียงพอต่อความ้าของหมี่หลันเยว่แล้ว อย่างน้อยๆ ถ้าดูจากพัฒนาการของโรงงานในปัจจุบัน พื้นที่ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว ถ้าสามารถตกลงเช่าโกดังนี้ได้จริงๆ ก็จะช่วยแก้ปัญหาใหญ่ในใจของหมี่หลันเยว่ได้
"ไปเถอะ ไปคุยกับเ้าของเลยตอนนี้ ถ้าตกลงราคากันได้ เราก็จะเช่าเลยค่ะ" หมี่หลันเยว่มั่นใจว่าจะตกลงเื่นี้ได้เพราะในยุคสมัยนี้ คนที่เช่าบ้านมีไม่เยอะอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับบ้านที่มีพื้นที่กว้างขนาดนี้ ยิ่งต้องปล่อยเช่ายากกว่าเดิมแน่นอน
"หลันเยว่ เธออย่าเพิ่งรีบสิ บ้านหลังนี้เขาขายอย่างเดียว ไม่ให้เช่า ดังนั้นเธอต้องคิดให้ดีก่อนนะ ว่าอยากจะซื้อไว้หรือเปล่า ถ้าไม่อยากซื้อ เราก็อย่าไปรบกวนเขาเลย" เฉียนหย่งจิ้นรีบดึงหมี่หลันเยว่ที่กำลังจะไปเจรจาเอาไว้
"ทำไมตอนที่พวกพี่มาถึงไม่บอกกันก่อนล่ะคะ?" หมี่หลันหยางกับเฉียนหย่งจิ้นมองหน้ากัน แล้วคิดในใจว่า ยังไม่ทันได้ให้เธอเห็นบ้านเลยว่าชอบหรือเปล่า จะบอกก่อนไปทำไม ถ้าเกิดเธอไม่ชอบ ก็เปล่าประโยชน์สิ
แต่ประโยคถัดมาของหมี่หลันเยว่ ทำให้พวกเขาสองคนพูดไม่ออกไปเลย
"ถ้ารู้ว่าจะขาย ฉันคงเอาเงินมาด้วยแล้ว จ่ายมัดจำไปเลย" ที่แท้หมี่หลันเยว่ไม่ได้สนใจเลยว่าจะเป็การเช่าหรือการขาย เป็พวกเขาสองคนเองที่คิดเล็กคิดน้อยไปเอง
"ใช่ๆๆ พวกเราผิดเอง ควรจะบอกเื่ราวให้เธอเข้าใจก่อน จะไม่ให้มีครั้งต่อไป จะไม่ให้มีครั้งต่อไปแล้วครับ เราไปคุยเื่บ้านกับเ้าของเลย ไปเดี๋ยวนี้เลย" หมี่หลันหยางก็ทำท่าทีประหนึ่งกำลังรับใช้พระนางอีกครั้ง หมี่หลันเยว่ก็ี้เีจะคิดเล็กคิดน้อยกับพวกไม่น่าไว้ใจทั้งสองคนแล้ว เธอเกาะแขนพี่ชาย เชิดหน้าขึ้นแล้วไปพบเ้าของบ้าน
เื่ราวราบรื่นอย่างไม่น่าเชื่อ ก็เป็แค่เื่เงินๆ ทองๆ คนหนึ่งร้อนใจอยากจะขาย อีกคนร้อนใจอยากจะซื้อ ราคาก็ตกลงกันได้อย่างสบายใจ เซ็นสัญญาแบบคร่าวๆ ทันที วันรุ่งขึ้นหมี่หลันเยว่ก็เอาเงินไปทำเื่ เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็ราบรื่น แต่ทว่าในโฉนดของบ้านหลังใหญ่ กลับมีชื่อของหมี่หลันซิงสลักอยู่
หมี่หลันหยางเก็บเื่นี้ไว้ในใจ ตอนที่กลับถึงบ้าน เห็นที่ที่น้องสาวเก็บโฉนดไว้ เขาก็แอบจำเอาไว้ แน่นอนว่าหมี่หลันเยว่ก็ไม่ได้คิดที่จะปิดบังพี่ชายถึงที่ซ่อนของ เพราะหลังจากนั้นตอนที่น้องสาวไม่ทันสังเกต หมี่หลันหยางก็ไปดูที่บ้านที่ใช้เป็โรงงานในปัจจุบัน แล้วเขาก็เห็นชื่อของตัวเองอยู่บนนั้นจริงๆ
หมี่หลันหยางรู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ออก เขาไม่เคยคิดเลยว่า สิ่งที่น้องสาวทำอยู่ทั้งหมดนี้ ไม่ได้เป็การเก็บสะสมทรัพย์สมบัติให้ตัวเองเลย บ้านหลังแรกที่เธอซื้อมอบให้เขา บ้านหลังที่สองที่เธอซื้อมอบให้น้องชาย ส่วนกิจการที่เหลือทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็ร้านเช่า
เขาแอบบอกเื่นี้กับพ่อแม่ หวังหย่วนฉิงและหมี่จิ้งเฉิงก็เงียบไปพักใหญ่ หวังหย่วนฉิงรู้สึกจุกที่คอ เธอไม่รู้จะพูดอะไรดี บางครั้งก็รู้สึกว่าลูกสาวทำเงินได้มากมายขนาดนี้ ก็ไม่เห็นจะเอามาให้ที่บ้านบ้างเลยสักนิด ในใจไม่ได้พูดออกมา แต่ก็แอบมีความคิดแบบนั้นอยู่
แต่พอได้ยินเื่ที่ลูกชายพูด หวังหย่วนฉิงก็รู้สึกว่าตัวเองเป็แม่ที่ไม่ได้เื่ ลูกสาวไม่ได้ให้ตัวเองช่วยอะไรในเื่ธุรกิจเลยสักนิด แถมยังมานั่งจับผิดความคิดของเธอ ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า ความคิดของลูกสาวทั้งหมด ถูกใช้ไปกับคนในครอบครัว
พอนึกถึงตอนที่ลูกสาวตัวเล็กๆ ตั้งแผงขายหนังสือ แล้วเอาเงินที่ได้จากการขายหนังสือ มาเปิดร้านหนังสือให้ที่บ้าน แล้วยังช่วยเปิดร้านขายของเล็กๆ การดูแลบ้านช่องก็เป็เื่ของลูกสาวและลูกชายสองคน เงินทองก็เข้าบ้าน แต่ตัวเองที่เป็แม่กลับเสวยสุข แถมยังเก็บความคิดเล็กๆ น้อยๆ เ่าั้ไว้ในใจ นี่มันบั่นทอนความตั้งใจของเด็กๆ เหลือเกิน
"หย่วนฉิง อย่าคิดมากสิ ลูกสาวทำแบบนี้ ก็เพื่อให้พี่น้องสองคนมีหลักประกันในอนาคต อีกอย่าง ลูกสาวเราเก่งขนาดนี้ ยังไงก็ต้องสร้างเนื้อสร้างตัวได้แน่นอน เธอยังเด็กอยู่มาก ธุรกิจเพิ่งจะเริ่มต้นเอง" พอเห็นว่าภรรยาอารมณ์ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด หมี่จิ้งเฉิงก็รีบปลอบ
ทางด้านหมี่หลันเยว่ แน่นอนว่า เธอไม่รู้ว่าพี่ชายรู้ความลับของตัวเองแล้ว เธอยังคงเดินหน้าตามแผนที่วางไว้อย่างมั่นคง อนาคตกำลังสดใสขึ้น เพราะข่าวดีมีเข้ามาเรื่อยๆ พอจัดวางชั้นวางของในโกดังเสร็จเรียบร้อย ขนย้ายสินค้าสำเร็จรูปเข้าไปทั้งหมดแล้ว ลุงหนิวและลุงจางก็มา
หนิวต้าลี่มาสั่งซื้อสินค้าเป็ครั้งที่สองหลังจากผ่านพ้นตรุษจีน ครั้งแรกคือที่หมี่หลันเยว่สั่งจองไว้ั้แ่ก่อนตรุษจีน หมี่หลันเยว่ก็ไม่นึกเลยว่าเขาจะขายได้เร็วขนาดนี้
"ยังไม่ได้ขายหมดหรอก แค่มาจองไว้ก่อน จะรอให้ขายหมดแล้วค่อยมาสั่งของได้ยังไง"
"ฉันรู้มาว่าตอนนี้เธอมีร้านค้าเยอะแยะ กลัวว่าเธอจะมีสินค้าไม่พอ จะส่งให้ฉันไม่ทัน ฉันก็เลยต้องรีบมาจองไว้ก่อน" ส่วนจางเหรินซ่านกลับเสียใจที่ไม่ได้มาจองของก่อน พอขายเสื้อผ้ากันหนาวหมด เสื้อผ้าสำหรับฤดูใบไม้ผลิก็เลยขาดตลาดไป
ในขณะที่หมี่หลันเยว่กำลังพาคนทั้งสองชมร้านสาขาเฉียนคุน แนะนำเสื้อผ้าแฟชั่นรุ่นใหม่ประจำฤดูกาล ความประหลาดใจใหม่ก็มาเยือน ลูกค้าที่หลิวลี่พามาคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้าหมี่หลันเยว่ และในมือของเขาก็ถือนามบัตรของหร่วนิอี้
