“คุณพูดเถอะ ฉันฟังอยู่”
เสียงในสายของเซี่ยเสี่ยวหลานฟังดูไม่เหมือนกำลังโกรธ เฉินซีเหลียงยังคงรู้สึกผิดนิดๆ
อย่างไรเสียเขาก็กำลังคุยกับบัณฑิตเกาเข่าประจำมณฑล เธอไม่เพียงแต่เก่งเรียน ทำธุรกิจก็เก่งไม่แพ้กัน
เื่ราวเป็มาเช่นนี้ เฉินซีเหลียงกับเซี่ยเสี่ยวหลานอยากอาศัยความร้อนแรงของกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนลอสแอนเจลิสปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้เข้าแข่งขันกีฬายิงปืนสวีไห่เฟิงกลายเป็นักกีฬาชาติจีนคนแรกที่คว้าเหรียญทอง ประเทศจีนได้รับเหรียญทองทั้งหมด 15 เหรียญ กีฬาคือจุดสนใจยอดนิยมสูงสุดของปีนี้นั่นเอง หากไม่หาผลประโยชน์จากกระแสนิยม สำหรับพ่อค้าคนกลางผู้ฉลาดเฉลียวมันทรมานกว่าตายเสียอีก เฉินซีเหลียงชวนเซี่ยเสี่ยวหลานร่วมลงทุนสั่งผลิตชุดกีฬา 10000 ชุด เซี่ยเสี่ยวหลานครุ่นคิดดูแล้ว เธอขยายยอดสั่งผลิตเป็เท่าตัว เธอกับเฉินซีเหลียงลงเงินทุนคนละหนึ่งแสนสี่หมื่นหยวน
แน่นอนว่าเธอไม่มีเงินจำนวนหนึ่งแสนสี่ิ่ ในเงินเก้าหมื่นที่ลงทุนได้ ขอยืมจากโจวเฉิงมาสองหมื่นด้วยซ้ำ
แต่สำหรับชุดกีฬาทั้งหมด 2 หมื่นชุด เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าขายดีทีเดียว ฝั่งเธอเองก็จำหน่ายออกไปหลายพันชุดแล้ว
เฉินซีเหลียงบอกว่าจะชำระเงินให้ทางโรงงานสองแสนสี่หมื่นหยวน... หมายความว่าเฉินซีเหลียงสั่งผลิตเพิ่มอีกหนึ่งหมื่นชุดด้วยตัวเอง! เซี่ยเสี่ยวหลานกำลังรอให้เฉินซีเหลียงอธิบาย แม้มีกำไรเธอก็อาจไม่ได้ยินดีมากนัก เพราะเฉินซีเหลียงตัดสินใจโดยไม่ปรึกษาหารือก่อน
เฉินซีเหลียงรู้สึกผิดอย่างที่คาดจริงๆ เขาอธิบายตะกุกตะกัก ไม่ต่างจากสิ่งที่เซี่ยเสี่ยวหลานคาดเดาไว้นัก
ชุดกีฬาขายดีเหลือเกิน
อันที่จริงหนึ่งหมื่นชุดซึ่งสั่งผลิตเพิ่มภายหลังถูกจำหน่ายหมดเกลี้ยงแล้วเช่นกัน
“เพราะติดต่อเธอไม่ได้นั่นแหละ ฉันเกิดรีบร้อนชั่ววูบ โอกาสหาเงินที่ดีขนาดนี้ จะพลาดไม่ได้เชียวนะ! โชคดีที่ขายชุดกีฬาออกหมดแล้ว ครั้งนี้พวกเราสองคนไม่ขาดทุน”
ไม่ใช่แค่ไม่ขาดทุน ชุดกีฬาจำนวนสามหมื่นชุดถูกจำหน่ายหมดแล้ว
ราคาต้นทุนต่อหนึ่งชุด 14 หยวน สินค้าที่เฉินซีเหลียงขายไปอย่างต่ำคือราคาค้าส่งปริมาณมาก 18 หยวนต่อหนึ่งชุด เซี่ยเสี่ยวหลานนำ 2000 ชุดไปยังตลาดสินค้าเบ็ดเตล็ดสะพานเหรินหมินที่เผิงเฉิง อีกทั้งขน 3000 ชุดกลับซางตู ราคา 20 หยวนต่อชุดทั้งหมด ไม่ว่าอย่างไรก็มีกำไรโดยเฉลี่ย 4-5 หยวนต่อหนึ่งชุด
นี่มันมากถึงสามหมื่นชุด!
ต้นทุนสินค้าจากโรงงานคือสี่แสนสองหมื่นหยวน เนื่องจากแบ่งเวลาผ่อนชำระค่าสินค้า และเงินลงทุนที่เซี่ยเสี่ยวหลานกับเฉินซีเหลียงลงทุนจริงก็เป็จำนวนเพียงเก้าหมื่น รวมกันหนึ่งแสนแปดหมื่นหยวน ดังนั้น ตอนนี้เหลือค่าสินค้าอีกสองแสนสี่หมื่นที่ยังไม่ได้ชำระให้ ‘โรงงานเฉินอวี่’
“อันที่จริงฉันไม่รู้เื่หนึ่งหมื่นชุดสุดท้ายนี้แม้แต่น้อย คุณเองก็ไม่จำเป็ต้องบอกฉันด้วย”
ถ้าขาดทุน เฉินซีเหลียงสามารถขอให้เธอแบ่งเบาภาระต้นทุนได้ ถ้าได้กำไร แอบปิดบังไว้เป็ความลับก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ?
อย่างไรเสียผู้อำนวยการโรงงานเสื้อผ้าเฉินอวี่ก็คือพี่เขยแท้ๆ ของเฉินซีเหลียง ต่อให้เซี่ยเสี่ยวหลานได้ข่าวคราวเล็กน้อยหลังจากเหตุการณ์นี้ ก็ไร้หลักฐานอยู่ดี
เฉินซีเหลียงรู้สึกละอาย “แบบนั้นมันได้ที่ไหนกัน ทำธุรกิจต้องยึดความไว้วางใจ ถ้าฉันขาดทุนก็รับผิดชอบเอง เมื่อมันได้กำไรยังถือว่าเป็ธุรกิจของพวกเราสองคน”
อารมณ์ของเซี่ยเสี่ยวหลานซับซ้อนมาก ในฐานะผู้ร่วมลงทุน วิธีที่เฉินซีเหลียงไม่ปรึกษากับเธอ ทำให้เธอไม่เห็นชอบกับแนวทางในการทำสิ่งต่างๆ ของคนคนนี้ หากเป็ดังที่เฉินซีเหลียงกล่าว ชุดกีฬาหนึ่งหมื่นชุดที่เขาแอบสั่งเพิ่มขายไม่ได้ เธอจะไม่ร่วมรับผิดชอบแม้แต่นิดเดียวได้จริงๆ หรือ? ถ้าสองคนทะเลาะกัน ความสัมพันธ์พันธมิตรทางธุรกิจก็ถูกทำลาย และ ‘หลานเฟิ่งหวง’ รับสินค้าจากเฉินซีเหลียงมาโดยตลอดด้วย... จะร่วมงานกับเถ้าแก่เฉินในอนาคตต้องระมัดระวังให้ดียิ่งขึ้นแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานคลึงหว่างคิ้ว
“ไม่มีครั้งต่อไป! ถ้าเกิดเื่แบบนี้ขึ้นอีก ต่อให้เป็ธุรกิจมูลค่าหนึ่งล้านฉันก็จะแยกทางกับคุณ!”
ครั้งนี้เดิมพันชนะ ครั้งหน้าเล่า?
ไม่ว่าได้กำไรหรือขาดทุน ธุรกิจใดๆ ล้วนต้องมาจากการตัดสินใจร่วมกันของทุกฝ่าย
เฉินซีเหลียงยังไม่รับรู้การวิพากษ์วิจารณ์ต่อตนเองภายในใจของเซี่ยเสี่ยวหลาน ที่รู้สึกว่าเขาคนนี้ทำธุรกิจโดยพลการเกินไป เฉินซีเหลียงแค่ได้ยินว่าคราวนี้รอดแล้ว ก็คำนวณผลของการหาประโยชน์จากกระแสนิยมในครั้งนี้กับเซี่ยเสี่ยวหลานอย่างร่าเริง
“หักต้นทุนของพวกเราออก ได้กำไรทั้งหมด 146000 หยวน”
หนึ่งคนได้ส่วนแบ่งผลกำไร 73000 หยวน นับั้แ่เฉินซีเหลียงชวนเซี่ยเสี่ยวหลานร่วมลงทุน จนกระทั่งวันนี้ที่จำหน่ายชุดกีฬาสามหมื่นชุดหมดเกลี้ยง เป็เวลาแค่สองเดือนเท่านั้น
ฟังดูเหมือนเงินจะหาง่ายยิ่งนัก?
แม้เป็การผ่อนชำระค่าสินค้า มีสักกี่คนที่จ่ายหลักแสนได้
นอกจากนี้ยังต้องมีช่องทางผลิตและช่องทางจำหน่าย ความรู้สึกไม่สบอารมณ์เมื่อครู่ของเซี่ยเสี่ยวหลานหายไปแล้ว ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เถ้าแก่เฉินพาเธอหาเงินจริงๆ
คนคนนี้ชวนเธอเพื่อแบ่งภาระต้นทุน ร่วมกันต้านทานความเสี่ยง ทว่ามีความตั้งใจที่จะตอบแทนน้ำใจของเซี่ยเสี่ยวหลานอยู่ด้วย ‘เงินด่วน’ ก้อนนั้นจากวิทยุคราวก่อน เซี่ยเสี่ยวหลานก็พาเฉินซีเหลียงทำกำไรเหมือนกัน การทำธุรกิจต้องแลกเปลี่ยนไปมาเช่นนี้ ยากจะสำเร็จด้วยการต่อสู้ตัวคนเดียว แบ่งปันสิ่งที่เกินให้อีกฝ่ายเพื่อให้ได้สิ่งที่ขาด ถึงจะสามารถร่ำรวยไปด้วยกันได้
ณ ตอนนี้ เงินหลักหมื่นที่ได้มาเป็จำนวนเล็กน้อยสำหรับเซี่ยเสี่ยวหลาน ต่อให้เฉินซีเหลียงทำตามอำเภอใจจนขาดทุน เซี่ยเสี่ยวหลานยังไม่ถึงขั้นล้มแล้วลุกไม่ไหว
ในอนาคตจำนวนเงินที่เกี่ยวข้องจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เซี่ยเสี่ยวหลานจึงต้องระวังแล้ว... หากจะร่วมหุ้นทำธุรกิจจริง เฉินซีเหลียงยังด้อยกว่าไป๋เจินจู
สิ่งเหล่านี้เป็เื่ที่เอาไว้พิจารณาในภายหลัง
อย่างไรก็ตาม เงินที่เซี่ยเสี่ยวหลานลงทุนไปงอกเงยเป็เท่าตัว เธอมีกระแสเงินสดในมือมากขึ้นแล้ว ทำอย่างอื่นสะดวกขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากเกิดใหม่ หรือเป็เวลาเพียงหนึ่งปี ทรัพย์สินส่วนบุคคลของเซี่ยเสี่ยวหลานเพิ่มขึ้นจากมันเทศ 20 หัวกลายเป็มูลค่ามากกว่าสองแสนหยวน หากจะให้เซี่ยเสี่ยวหลานสรุปกระบวนการฝ่าฟันภายในหนึ่งปีนี้ของตนเอง ไม่มีการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง เหนื่อยยากแสนเข็ญแค่ไหนก็คุ้มค่า ถ้าเธอไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน ตอนนี้สามารถนำเงินก้อนนี้ไปซื้อพวกบ้านราคาแสนถูกที่ดูทรุดโทรมจำนวนหนึ่งในปักกิ่งได้ด้วยซ้ำ รอวันรื้อถอนและเปลี่ยนเป็บ้านจำนวนมากกว่าเดิม อีก 30 ปีข้างหน้าค่อยขายไป เธอยังต้องพะวงหรือ?
แต่นั่นมั่นคืออีก 30 ปีข้างหน้า ่เวลาระหว่างนี้ เธอจะใช้ชีวิตไปวันๆ โดยไม่พยายามหรือ
ชีวิตเช่นนี้ออกจะน่าเบื่อหน่ายไปสักหน่อย
เซี่ยเสี่ยวหลานชอบการทำธุรกิจ ชอบการหาเงิน ชอบการที่มีทรัพย์สินไว้ใน มันทำให้เธอรู้สึกว่าตนเองควบคุมชะตาชีวิตได้ เพราะอย่างไรเสียหลายสิ่งหลายอย่างล้วนใช้เงินจัดการ เมื่อบรรลุอิสรภาพทางการเงิน ชีวิตจะสุขสบายขึ้นมาก
แต่สิ่งที่เธอชอบไม่ใช่แค่ตัวเลขในบัญชี
เธอชื่นชอบการใช้ชีวิตที่มุ่งมั่นไปข้างหน้าตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจแบบนี้ ขั้นตอนในการสร้างความมั่งคั่งคือความเพลิดเพลินของเซี่ยเสี่ยวหลานเช่นกัน!
เฉินซีเหลียงถามเธอว่ายัง้าทำเสื้อผ้าฤดูหนาวด้วยกันหรือไม่ เซี่ยเสี่ยวหลานครุ่นคิดแล้วตัดสินใจปฏิเสธ “คุณก็รู้ ฉันอยู่ที่ปักกิ่งมีการเรียนให้ต้องใส่ใจด้วย พะวงเื่ในหยางเฉิงมากเกินไปมาสักพักแล้วจริงๆ ถ้าเงินคุณขาดมือ ฉันให้ยืมได้นิดหน่อย ส่วนร่วมลงทุนขอหยุดชั่วคราวแล้วกัน คุณติดต่อกับคนของ 《สมัยนิยม》เรียบร้อยแล้วสินะ?”
เฉินซีเหลียงในปลายสายอึ้งไป นี่คือมีเงินให้ยังไม่เอา?
สำหรับการทำธุรกิจ ใครขลาดก็อด ใครกล้าก็อิ่ม [1] เซี่ยเสี่ยวหลานยังโกรธเพราะเื่สั่งผลิตชุดกีฬาเพิ่มหนึ่งหมื่นชุดอยู่หรือเปล่า?
เมื่อเซี่ยเสี่ยวหลานเปลี่ยนประเด็น เฉินซีเหลียงก็คล้อยตามไป “เดี๋ยวฉันส่งเงินให้เธอผ่านโทรเลข ถ้าเธออยากพัก ฉันก็จะพักชั่วคราวบ้างเหมือนกัน ทำธุรกิจค้าส่งต่อไป เื่เสื้อนอกขนแพะฉันติดต่อกับคนของ 《สมัยนิยม》เรียบร้อยแล้ว ่นี้ฉันอยากเข้าปักกิ่งด้วย จะสานสัมพันธ์กับบรรณาธิการของ 《ภาพยนตร์ดัง》อีกหน่อย พวกเขารู้จักนักแสดงเยอะมาก...”
----------------------------------------
ผู้ที่มีความคิดเดียวกันกับเฉินซีเหลียง ยังมีคังเหว่ยอีกคน
การหาเงินก็คือคนขลาดอด ในขณะที่คนกล้าอิ่ม
จู่ๆ โจวเฉิงก็บอกว่าไม่ร่วมธุรกิจบุหรี่แล้ว คังเหว่ยได้แต่งุนงง กำไรตั้งมากมายขนาดไหน จะไม่ทำก็ไม่ทำเสียอย่างนี้? ไม่มีแหล่งรายได้มั่นคงก้อนโตเช่นนี้ ต่อไปจะตกปากรับคำพี่สะใภ้อย่างหนักแน่นได้อีกหรือ ยังอยากให้รถก็ให้รถได้อีกหรือ ลั่นว่าเลือกตามใจชอบภายใต้งบสองแสนได้อีกหรือไร!
แม้พี่สะใภ้ไม่้ารถ แต่พี่เฉิงจื่อต้องมีกำลังส่วนนี้ไม่ใช่หรือ
“พี่ พี่คงไม่ได้วางแผนจะเลี้ยงชีวิตหลังเกษียณด้วยบ้านในปักกิ่งพวกนั้นหรอกนะ? ธุรกิจนี้ของพวกเราล่ะ ไม่ทำแล้วจริงๆ ?”
บ้านทรุดโทรมพวกนั้น ให้คังเหว่ยไปอาศัยยังคิดว่าเปลี่ยวร้างห่างไกลเกินไปเลย คาดหวังให้พวกมันเลี้ยงชีวิตหลังเกษียณได้ที่ไหน
เชิงอรรถ
[1]撑死胆大的,饿死胆小的 คนกล้าอิ่ม คนขลาดอด หมายถึง คนที่มีความกล้าลงมือลองทำสิ่งต่างๆ จะได้รับผลไม่มากก็น้อย ในขณะที่คนพะวงหน้าพะวงหลังไม่กล้าทำอะไรจะไม่ได้ผลลัพธ์ใดเลย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้