เมื่อลู่เป๋าเหยียนหยิบเอกสารที่้าเรียบร้อยก็ออกไปที่บริษัททันที ลุงสวีจึงโวยวายแทนเธอว่า “คุณชายควรจะอยู่ที่บ้านกับคุณผู้หญิงแท้ๆ”
“ไม่เป็ไรหรอกค่ะ”
เขากับเธอดูเหมือนจะเห็นตรงกันอยู่เื่หนึ่งคือ การแต่งงานครั้งนี้ หลังจดทะเบียน เปลี่ยนสถานะ และย้ายมาอยู่ใต้หลังคาเดียวกันแล้ว นอกเหนือจากนี้ต่างคนคนต่างใช้ชีวิต ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน
ช่างเป็ความเห็นที่...
เยี่ยมมาก!
เนื่องจากวันนี้เธอลางานไม่ต้องเข้าไปที่สถานีตำรวจ ่บ่ายเธอไม่รู้จะทำอะไร จึงได้แต่นั่งอ่านนิยายสืบสวนบนโซฟาในห้องรับแขก แถมลุงสวียังเตรียมของว่างและผลไม้ไว้ให้อีก บ่ายวันแรกของการแต่งงานของเธอช่างสงบสุขเสียจริง
จากนั้น ประมาณห้าโมงกว่า ลั่วเสี่ยวซีโทรศัพท์มาเรียกเธอออกไปข้างนอกด้วยกัน แต่เนื่องจากเธอจอดรถไว้ที่สถานีตำรวจ แถมจากที่นี่จะเรียกแท็กซี่ไปก็ไม่สะดวก เธอจึงให้ลุงสวีช่วยเตรียมรถให้
ลุงสวีคิดไปคิดมาแล้วพูดขึ้นว่า “ผมว่าคุณผู้หญิงไปเลือกรถที่โรงจอดรถเองเลยดีไหมครับ?”
เมื่อถึงโรงจอดรถ เธอถึงกับต้องตะลึง ในนั้นมีรถสปอร์ตทั้งหมดห้าคัน รวมกันแล้วราคาเหยียบร้อยล้าน แถมยังมีรถเก๋งและรถออฟโรดอีกหลายคัน ซึ่งล้วนแต่เป็รถหรูมีระดับทั้งนั้น
เธอกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก “ลุงสวีคะ พอจะมีรถที่ดู ‘ธรรมดา’ กว่านี้ไหมคะ”
ลุงสวีชี้ไปที่รถเบนซ์ SLK 350 “คันนี้น่าจะธรรมดาที่สุดแล้วครับคุณผู้หญิง”
ช่วยไม่ได้ เธอคงต้องขับคันนี้ไปหาลั่วเสี่ยวซีสินะ
ลั่วเสี่ยวซีเป็เพื่อนสมัยมัธยมปลายของเธอ ตอนม.4 อยู่ดีๆ ลั่วเสี่ยวซีก็ถือนมเปรี้ยวหนึ่งกระป๋องเดินมาให้เธอ แล้วพูดขึ้นว่า “เรามาเป็เพื่อนซี้กันเถอะ!”
แวบแรก เธอรู้สึกว่าเด็กผู้หญิงคนนี่ดูแปลกๆ แต่หลังจากนั้น เนื่องจากลั่วเสี่ยวซีทั้งตื้อทั้งหลอกล่อเธอหลายๆ อย่าง ท้ายที่สุดพวกเธอก็กลายมาเป็เพื่อนกัน
ภายหลังเธอถึงรู้ว่าที่ลั่วเสี่ยวซีทำมาทั้งหมด ล้วนเป็การวางแผนให้เธอติดกับทั้งนั้น แต่เธอก็สลัดเพื่อนคนนี้ไม่หลุดซะแล้ว เธอกับลั่วเสี่ยวซีจึงกลายเป็เพื่อนสนิทที่คบกันมานานเป็สิบปี
วันนี้ลั่วเสี่ยวซีนัดเจอเธอที่ผับแห่งหนึ่งใจกลางเมือง เมื่อเดินเข้าไปในผับลั่วเสี่ยวซีก็โบกไม้โบกมือเรียกเธอทันที “เจี่ยนอัน ทางนี้”
ลั่วเสี่ยวซีเป็หญิงสาวหน้าตาดี แถมยังรูปร่างสูงโปร่ง ถ้าไม่ติดที่ชอบทำอะไรแผลงๆ แล้วละก็ ดาวคณะอย่างเธอคงได้เป็นางฟ้าในตำนานของมหาวิทยาลัยไปแล้ว ทว่าท้ายที่สุด เธอกลับเป็ได้แค่ ‘นางฟ้าสติเฟื่องในตำนาน’ เท่านั้น
เมื่อเธอนั่งลง ลั่วเสี่ยวซีก็รินน้ำผลไม้ให้ทันที “แต่งงานวันแรกกับสามีเธอเป็อย่างไรบ้าง”
“ฉันกับเขาไม่สนิทกัน” ูเี่อันหยิบองุ่นเข้าปากพลางพูดว่า “เพราะฉะนั้นแต่งงานวันแรกก็...งั้นๆ”
ลั่วเสี่ยวซีนิ่งไปชั่วครู่ ตบบ่าูเี่อันแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เคยได้ยินที่เขาว่ากันว่า ‘ใช้ฟืนแห้งจุดไฟ ต้มแป๊บเดียวข้าวก็สุกพร้อมทาน’ หรือเปล่า เธอกับสามีว่างๆ ลองล้มตัวลงนอนคุยกันดู คุยไปคุยมา อาจจะจุดติดก็ได้ ถึงเวลาอยากจะทานเมื่อไรก็ได้ทาน!”
“เธอมันร้ายเกินไปแล้ว ฉันไม่รู้จักเธอ” ูเี่อันหยิบจานผลไม้เขยิบหนีห่างออกมา
ลั่วเสี่ยวซียิ้มตาหยีพร้อมเขยิบเข้ามาชิด “แต่งงานแล้วแท้ๆ ไม่ต้องเขินหรอกน่า”
“ฉันเขินแทนคนที่ยังไม่แต่งงานแบบเธอต่างหาก!”
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องขงต้องเขินแล้ว เดี๋ยวฉันแสดงให้ดูว่า จะสนิทกับผู้ชายสักคนต้องทำยังไง ดูให้ดีๆ ล่ะ” พูดจบลั่วเสี่ยวซีก็ลุกขึ้น และเดินไปยังเคาน์เตอร์บาร์
ูเี่อันยิ้มขำ เธอถือแก้วน้ำผลไม้พิงโซฟามองลั่วเสี่ยวซีอยู่ห่างๆ
สาวขายาวเอวบางอย่างลั่วเสี่ยวซี เมื่อนั่งลงที่เคาน์เตอร์บาร์ไม่ถึงครึ่งนาที ก็มีชายหนุ่มเดินเข้ามาทักทาย
“คุณผู้หญิง” ชายคนนั้นนั่งลงเว้นระยะห่างจากลั่วเสี่ยวซีไปเพียงหนึ่งเก้าอี้ “ผมอยากเลี้ยงเครื่องดื่มคุณสักแก้ว”
ลั่วเสี่ยวซีมองเขาอย่างประเมิน หน้าตาโอเค แถมเขาเลือกที่จะพูดว่า “ผมอยากเลี้ยงเครื่องดื่มคุณสักแก้ว” แทน “ผมขอเลี้ยงคุณสักแก้วได้ไหม” ซึ่งอาจถูกปฏิเสธได้ง่าย ท่าทางจะเชี่ยวด้านนี้ไม่ใช่น้อย
คนนี้แหละ!
“ได้สิคะ” ลั่วเสี่ยวซีส่งยิ้มหวาน “งั้นฉันขอลองไอส์แลนด์แล้วกันค่ะ”
ชายหนุ่มจัดการสั่งเครื่องดื่มให้ลั่วเสี่ยวซี แล้วเริ่มชวนคุย ลั่วเสี่ยวซีมีแผนการอยู่แล้วจึงให้ความร่วมมือเป็อย่างดี ไม่นานบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนก็เริ่มเป็กันเอง ชายคนนั้นจึงขยับมานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ เธอ ไม่เว้นระยะห่างอีกต่อไป
ลั่วเสี่ยวซีเห็นดังนั้น จึงยิ้มแล้วมองมาทีู่เี่อัน เหมือนกำลังจะสื่อว่า “เห็นหรือยัง สนิทกันแล้ว!”
ูเี่อันชูแก้วน้ำผลไม้ในมือขึ้นคารวะลั่วเสี่ยวซีหนึ่งที
ลั่วเสี่ยวซีขยิบตาตอบรับ
ชายหนุ่มคนนั้นเห็นท่าทางระหว่างพวกเธอสองคน จึงถามว่า “นั่นเพื่อนคุณเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ” ลั่วเสี่ยวซียิ้มพร้อมพยักหน้า
“ผมก็มากับเพื่อนเหมือนกัน” เขาชี้ไปทางโซฟาที่อยู่ไม่ไกลนัก ที่นั่นมีชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว หน้าตาดูดีนั่งอยู่ “ถ้าอย่างนั้น พวกเราไปนั่งด้วยกันไหมครับ จะได้แนะนำเพื่อนคุณให้เพื่อนผมรู้จักด้วย”
ลั่วเสี่ยวซีเคาะนิ้วเรียวยาวลงบนโต๊ะของเคาน์เตอร์บาร์สองถึงสามที จากนั้นจึงลุกจากเก้าอี้ แย้มยิ้มอย่างสดใสพร้อมพูดว่า “ได้สิคะ”