“ท่านโกหกข้า ท่านบอกว่าหวังหงเซิงตายไปแล้ว แต่เขายังไม่ตาย เขายังมีชีวิตอยู่” ป้าสามมองลุงสามอย่างกล่าวโทษ นางน้ำตาเอ่อรื้นในดวงตา แม้จะเป็โฉมงามไม้ใกล้ฝั่ง* แต่ความงามกระจ่างก็ฉายชัดอยู่ในดวงหน้า
(*หมายถึง มีอายุมากแล้ว)
“ฮูหยิน เ้าวางเื่ในอดีตลงเถอะ พวกเรามาใช้ชีวิตของเราให้ดี ดีไหม?” เสียงของลุงสามสั่นเล็กน้อย เขาจะจับมือภรรยา แต่ถูกนางสะบัดออก
“ท่านบอกว่าท่านฆ่าเขาแล้ว ถึงได้รีบมาพาข้าหนีไป ข้าก็เชื่อท่าน แต่นี่เขายังไม่ตาย เขายังมีชีวิตอยู่” ป้าสามพูดเสียงแหลม
กู้เจิงได้แต่นั่งมองเื่ราวตรงหน้าเงียบๆ นางไม่รู้ว่าควรจะทำสิ่งใด ผู้าุโทุกคนที่อยู่อยู่ที่นี่ล้วนไม่มีใครกล้าเอ่ยปากอะไรออกไป
“ฮูหยิน เื่เหล่านี้ก็ผ่านมานานแล้ว ให้มันผ่านไปเถอะนะ?” ลุงสามเห็นภรรยายังดูกังวล จึงเอ่ยขึ้นว่า “ถ้างั้นพวกเราเก็บข้าวของกลับอำเภอจี้เซียงกัน ต่อไปก็ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก จะได้ไม่ต้องทนเห็นคนพวกนั้นที่เ้าไม่ชอบอีก”
“น้องสาม นานนักกว่าเ้าจะกลับมา แล้วนี่เ้าก็จะไปอีกแล้วหรือ?” ลุงรองทักท้วงขึ้นบ้าง
สีหน้าของลุงใหญ่และนายท่านเฉินก็ดูไม่ดีเลย
ป้าใหญ่มองน้องสามของสามีอย่างไม่พอใจ “เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน เ้าบอกจะไปก็ไป อย่าว่าแต่ไม่ได้แสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่เลย แม้แต่มาดูใจก่อนพวกเขาจากไปก็ยังไม่มา แต่ตอนนี้เมื่อเ้ากลับมาแล้ว แม้แต่หลุมศพของพ่อแม่ก็ไม่เคยไปไหว้ แล้วนี่ยังจะมาบอกว่าจะจากไปอีกแล้วหรือ?”
“พี่สะใภ้ใหญ่ ข้า.." ลุงสามมีสีหน้าเ็ป เขาพูดไม่ออก
“โชคดีที่พ่อแม่ของเ้ายังมีลูกชายอีกสามคน” ป้ารองลุกขึ้นชี้นิ้วไปยังลุงสามบ้าง นางเอ่ยอย่างโมโหว่า “เื่ที่เ้าทำในอดีต อาจกล่าวได้ว่ายังเยาว์วัย แต่ตอนนี้เ้าก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มอีกแล้ว เหตุใดยังทำอะไรไร้ความคิดไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้อีก” ท่านป้ารองเมื่อเริ่มพูดแล้ว ก็เหมือนได้ระบายความโกรธ “เ้ารู้หรือไม่ว่าตอนที่อากุ้ยหางานทำ เหล่าขุนนางพวกนั้นได้ยินว่าอากุ้ยมีอาสามอย่างเ้าเป็ญาติ พวกเขาก็รู้สึกว่าตระกูลเฉินของพวกเราไม่น่าคบหา...”
จู่ๆ ลุงรองก็พูดขัดจังหวะป้ารองขึ้นมา “เ้าจะพูดมากไปทำไม มานั่งเถอะ”
“ข้าจำเป็ต้องพูด หากไม่พูด เขาก็คงไม่รู้ว่าเขาสร้างปัญหาไว้ให้เรามากแค่ไหน” ป้ารองยังคงโมโหอยู่ นางจึงด่าเต็มที่ “ต้าสือ ตงเถียน และอากุ้ย ตอนเด็กๆ ถูกคนหัวเราะเยาะไม่น้อยเลย แม้แต่หลานสาวคนโตเหมยเอ๋อร์ (ลูกสาวของลุงใหญ่) ตอนที่ฝากฝังญาติไว้ หลายคนก็ได้ยินเื่เ้าสามจนเอาไปซุบซิบนินทากันหมด”
กู้เจิงมองป้าใหญ่กับป้ารองที่ผลัดกันเอาเื่ลุงสาม สีหน้าของป้าสามทุกข์ตรม ลุงสามก็ดูย่ำแย่มากกว่าเดิมไปอีก พวกเขารู้ดีว่าสิ่งที่ป้าใหญ่กับป้ารองพูดเป็ความจริง ่เวลานั้นคงลำบากยากเย็นมากสำหรับคนในตระกูลเฉิน
“ยังมีอาเยี่ยนอีก ข้าได้ยินมาว่าหากผู้ใดจะเป็ขุนนาง ต่อให้เป็ขุนนางนอกที่ยังมิได้เข้ารับราชการ พวกเขาก็ต้องมีครอบครัวที่ใสสะอาด” ป้ารองมองลุงสามอย่างโกรธเคือง “เ้าสาม หลายปีมานี้ เ้าใช้ชีวิตเพื่อตัวเองมาตลอด เมื่อไหร่กันที่เ้าจะนึกถึงคนอื่นบ้าง?"
ป้าสามค่อยๆ คุกเข่าลงต่อหน้าทุกคนด้วยสีหน้าสำนึกผิด “ข้าขอโทษ ขอโทษ ข้าไม่รู้ว่าได้สร้างปัญหาให้ทุกคนมากขนาดนี้ ข้าขอโทษ”
กู้เจิงเลี่ยงรับการคุกเข่าของป้าสาม ท่านป้าสามอาจติดหนี้คนตระกูลเฉิน แต่ไม่ใช่กับนาง
“คุณหนู” ชุนหงเข้ามากระซิบหูคุณหนูว่า “ท่านว่าจะทำอย่างไรดีเ้าคะ”
กู้เจิงทอดถอนใจ จะทำอย่างไรได้? ดูท่าแล้ว เื่ของตระกูลเฉินก็ไม่ใช่เื่ที่คนรุ่นหลังอย่างนางจะเข้าไปยุ่งได้
ลุงสามจะพยุงภรรยาให้ลุกขึ้นมา แต่นางกลับไม่ยอม เขาจึงลงไปคุกเข่าอยู่ข้างๆ ภรรยาด้วย เขาเอ่ยด้วยความเ็ป “เื่นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเ้า ข้าสัญญากับเ้าแล้ว ชั่วชีวิตนี้จะทำให้เ้ามีความสุขตลอดไป เ้ารีบลุกขึ้นเถอะ”
“เป็ความผิดของข้าเอง ถ้าไม่ใช่เพราะข้า ท่านคงไม่ต้องออกจากตระกูลเฉิน และไม่ต้องตัดขาดกับพ่อแม่” ริมฝีปากของป้าสามสั่นเระริก นางมองไปที่สามีด้วยความเสียใจ“ท่านหย่ากับข้าเถอะ เท่านี้ทุกคนก็จะไม่ต้องทนทุกข์อีกแล้ว”
“ไม่ พวกเราเคยพูดไว้ว่า จะอยู่ร่วมเป็ร่วมตาย เป็ตายไม่แยกจาก”
ลุงใหญ่เอาแต่ส่ายหน้า เขาเอ่ยกับน้องสามและภรรยาว่า “พวกเ้าลุกขึ้นเถอะ” ก่อนจะมองไปทางภรรยาตนและน้องสะใภ้รอง “พวกเ้าก็พอกันได้แล้ว เื่มันกลายเป็เช่นนี้แล้ว พวกเราควรช่วยกันหาทางแก้ไข นางเป็ภรรยาของเ้าสาม ไม่ว่าเมื่อก่อนจะมีเื่อะไร แต่ตอนนี้นางก็เป็คนของตระกูลเฉินเช่นกัน จุดไหนที่ควรปกป้องก็ต้องปกป้อง จุดไหนที่ควรสอนก็พูดจากันดีๆ”
นายท่านเฉินลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวบ้างว่า “พี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองล้วนพูดความจริง หลายปีมานี้ ตระกูลเฉินของเราต้องทนทุกข์ทรมานกับเื่พี่สามไม่น้อยจริงๆ แต่พี่ใหญ่ก็พูดถูก ตอนนี้พี่สามกับพี่สะใภ้สามกลับมาแล้ว เราไม่ควรเอาเื่ในอดีตกลับมาพูดอีก ต่อแต่นี้พี่สามและพี่สะใภ้สามก็ควรจะใช้ชีวิตให้ดี อย่าคิดแต่จะหนีปัญหาไปอีกเลย ตอนนี้ทุกคนในครอบครัวควรจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
นายหญิงเฉินมองสามีอย่างอ่อนโยนพลางเอ่ยสำทับว่า “สิ่งที่ท่านพี่พูด ก็เป็สิ่งที่ข้าอยากจะพูดเช่นกัน”
กู้เจิงแทบจะปรบมือให้ลุงใหญ่และพ่อแม่สามี
“ถึงข้าจะตำหนิน้องสามกับสะใภ้สาม แต่เื่ราวเหล่านี้ก็ได้ผ่านมานานหลายปีแล้ว ที่จริงปมในใจก็คลี่คลายไปนานแล้ว” ป้ารองกล่าว “แต่น้องสามเ้าอย่าเอาแต่หนีจากเพียงเพราะเกิดปัญหาได้หรือไม่ เ้าต้องคิดถึงใจของคนอื่นบ้าง พวกเราช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาดบ้านให้เ้าทุกเดือน พืชผลในทุ่งนาก็ไม่มีรกร้าง แต่นี่เ้าอยากจะไปก็ไป เ้าเห็นพวกเราเป็อะไร?”
“พี่สะใภ้รองพูดถูก” นายหญิงเฉินพยักหน้า
มีเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากด้านนอก “ฮูหยินหวัง ใต้เท้ายังจัดการเื่นี้อยู่ ท่านเข้าไปไม่ได้ขอรับ”
“ในเมื่อเ้ารู้ว่าข้าเป็คนตระกูลหวัง ยังจะกล้าขวางข้าอีกหรือ ไปให้พ้น”
พอสิ้นเสียง ประตูก็ถูกเปิดออก สตรีในชุดผ้าแพรผู้หนึ่งเดินเข้ามา ด้านหลังมีหญิงรับใช้สองคนเดินตามหลัง นางประดับปิ่นมุกเหนือศีรษะ สตรีผู้นี้หน้าตาสะสวย แต่แววตาเฉียบคม มองดูไม่ใช่คนที่ยั่วโมโหได้ง่ายๆ เมื่อนางเข้ามาก็กวาดสายตามองไปรอบห้อง ก่อนจะหยุดสายตาลงที่ป้าสาม
“ข้ายังนึกว่าบ่าวรับใช้มองผิดไป ไม่คิดว่าจะเป็เ้าจริงๆ” นางใช้ยตาดูแคลนมองป้าสาม “เมื่อสิบกว่าปีก่อนนังแพศยาอย่างเ้าล่อลวงนายท่านของข้า กระทั่งแอบมีความสัมพันธ์กันจนตั้งครรภ์ เ้าคิดว่าจะได้แต่งเข้าตระกูลหวังหรือ? ช่างไร้ยางอายสิ้นดี แล้วตอนนี้เ้ายังจะมีหน้ากลับมาอีก คิดจะกลับมาใช้อุบายเดิมอีกหรือไง?”
“ข้าเปล่านะ” ดวงตาของป้าสามฉายแววเคียดแค้น นางกล่าวเสียงเข้มว่า “ข้าขายเพียงศิลปะมิใช่เรือนร่าง เป็เ้าเดรัจฉานหวังหงเซิง มันวางยาข้า”
“สามีข้าเป็ถึงคุณชายสามของตระกูลหวัง แล้วเ้าล่ะมีฐานะเป็อะไร? มันคุ้มค่าที่เขาจะวางยาหรือ? เ้ามันคนไร้ยางอาย คิดฝันจะเป็นายหญิงของตระกูลหวัง แล้วนี่ยังกล้ากลับมาที่นี่อีก” นางหันไปสั่งสาวรับใช้ทั้งสองว่า “พวกเ้าไปลากนางออกมาให้ข้า”
“เ้าค่ะ” สาวใช้ทั้งสองรับคำ และตรงเข้าไปจะลากป้าสาม
กู้เจิงไม่อยากจะเชื่อเลยว่าบนโลกนี้จะมีคนแบบนี้อยู่ด้วย? ขณะที่นางกำลังจะห้าม ป้ารองก็สาวเท้าไปหาสตรีผู้นั้น มือหนึ่งของนางดึงผมของอีกฝ่ายไว้ นางเอ่ยเสียงดังว่า “เ้าเห็นสตรีตระกูลเฉินของเราเป็เครื่องประดับหรือไง?”
หญิงสาวผู้นั้นเจ็บจนกรีดร้องออกมา ป้ารองรูปร่างสูงยาวกว่านางมาก นางไม่สามารถปัดป้องได้เลย
สาวใช้ทั้งสองคนเมื่อเห็นนายหญิงของตนถูกทำร้าย ก็คิดจะหันกลับไปช่วย แต่ก็ถูกป้าใหญ่ขวางไว้ก่อน แม้ป้าใหญ่จะตัวเตี้ยกว่าพวกนาง แต่ร่างกายของป้าใหญ่แข็งแรงล่ำสัน นางยืนขวางตรงหน้าบ่าวทั้งสองคนอย่างองอาจ “ขนาดพวกเรายืนหัวโด่กันอยู่ตรงนี้ พวกเ้ายังกล้าจะทำร้ายคนซึ่งๆ หน้าอีกหรือ?”
กู้เจิงกับชุนหงรีบก้าวเข้าไปยืนคุมเชิงอยู่ข้างๆ ป้าใหญ่
นายหญิงเฉินยกยิ้มบางๆ
ลุงใหญ่และลุงรองกระแอมเบาๆ เื่ใช้กำลังคงมีเพียงภรรยาของพวกเขาเท่านั้นที่ทำได้
ป้าสามมองป้ารองและป้าใหญ่อย่างตกตะลึง นางคิดไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะเข้ามาช่วยนางไว้ หัวใจที่ตื่นกลัวของนางเหมือนได้รับรู้ถึงความอบอุ่นของคำว่าครอบครัว
“ปล่อยข้า ปล่อยข้าสิ” สตรีที่ถูกป้ารองดึงผมไว้ นางร้องโอดโอย “คนของตระกูลหวังกำลังจะมาในไม่ช้า พวกเ้าหนีไปไหนไม่รอดหรอก”
“คิดว่าจะกลัวเ้าหรือไง อยู่ในที่ว่าการอำเภอขนาดนี้ เ้ายังกล้าจะทำร้ายคนต่อหน้าพวกเรา ไม่ว่าตระกูลเฉินของเราจะยากเข็ญแค่ไหนก็ยังมีศักดิ์ศรี”
จู่ๆ ก็มีชายวัยกลางคนสองคนเดินเข้ามาในห้อง หนึ่งในนั้นสวมชุดสีน้ำเงินอ่อน เขามีท่วงท่าสง่างาม แม้จะไว้หนวดเคราแต่ดวงหน้าขาวสะอาดหมดจด เมื่อเขาเข้ามาเห็นภายในห้องก็มีสีหน้ามึนตึงขึ้นทันที เขาตวาดถามเสียงดัง “นี่พวกเ้ากำลังทำอะไร?”
เมื่อเห็นทหารองครักษ์ตามเข้ามากับชายวัยกลางคนนี้ ป้ารองก็รีบหยุดมือที่ดึงผมอยู่ ส่วนป้าใหญ่นางรีบเดินไปหาสามีของตนด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย
“พี่ใหญ่ พี่รอง” สตรีที่ถูกป้ารองดึงผมเรียกชายที่เข้ามาใหม่คนนั้น นางสะอึกสะอื้นชี้นิ้วไปยังผู้คนในห้อง “คนพวกนี้มารุมรังแกข้า พวกท่านต้องให้ความเป็ธรรมแก่ข้านะเ้าคะ”