วันถัดมาหลิวฉางฮุ่ยและหลิวชางหรง สองคนพี่น้องออกเดินทางพร้อมคนสนิท ั้แ่แสงของดวงอาทิตย์ยังไม่สาดส่องท้องฟ้า เพราะความร้อนรุ่มในใจที่นึกถึงแต่เงินทอง พวกเขาไม่สนว่าหนทางข้างหน้าที่กำลังจะไปนั้น มิได้มีความโเี้ของจินซูอันรออยู่เพียงคนเดียว แต่อู๋ซูกับไห่หยุนที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ย่อมทำหน้าที่ของตนเป็อย่างดี
หลังจากวันที่เกิดเื่ขึ้นกับร้านผ้าไหม จนกระทั่งหยางไท่ิและฟงเฉิงฮ่าว จัดการจับกุมตัวคนร้ายกลับเมืองหลวงไปได้หลายวันแล้ว มู่ถงจึงได้ตามบุตรสาวทั้งสองมาที่ร้าน เพื่อช่วยดูแลลูกค้าที่เข้ามาสอบถามเื่ผ้าปัก ซึ่งมู่ถงสามารถอธิบายได้อย่างละเอียด มิหน้ำซ้ำยังขายผ้าปักได้อีกหลายชิ้น
“ขอบคุณนายท่านจินมากจริง ๆ ที่ช่วยอธิบายให้ข้าเข้าใจ ว่าลวดลายการปักผ้าแต่ละอย่าง มีความแตกต่างของความงดงามซ่อนอยู่ ข้าเอาถุงหอมสามชิ้นนี้ก็แล้วกัน รวมถึงผ้าไหมอีกสองพับที่เลือกไว้ก่อนหน้าด้วยนะนายท่ายจิน”
มู่ถงเป็เ้าของร้านที่ให้ความเป็กันกับลูกค้ามาก ไม่ถือตัวจนเกินไปทั้ง ๆ ที่จะปล่อยให้เป็หน้าที่ของลูกจ้างก็ยังได้ “ได้ ๆ ๆ ท่านตาถึงมากที่เลือกลายปักที่เหมาะกับสตรีที่ท่านรัก ไหนจะผ้าไหมสีสันสดใสพวกนั้นอีก ถ้าฮูหยินของท่านนำไปตัดชุดมาสวมใส่คงงดงามไม่แพ้กัน”
“ไอหยา นายท่านจินก็กล่าวชมข้าเกินไปแล้ว ฮ่า ๆ ๆ ข้าต้องขอตัวก่อนนะขอบคุณนายท่านจินที่ช่วยเหลือ ไว้ข้าจะพาครอบครัวมาอุดหนุนร้านของท่านอีกแน่นอน”
“ขอบคุณท่านเช่นกันที่ไว้วางใจ เลือกซื้อผ้าไหมและผ้าปักจากร้านของข้า นายท่านค่อย ๆ เดินแล้วมาอุดหนุนใหม่นะขอรับ”
หลงจู๊เหวยฉินที่เข้ามารับเงินค่าผ้าไหม ถึงกับเอยชื่นชมความรู้ของมู่ถงอย่างตรงไปตรงมา “นายท่านจินช่างรอบรู้เกี่ยวกับลายปักผ้าจริง ๆ ขอรับ ข้าไม่แปลกใจเลยที่คุณหนูทั้งสอง จะเก่งกาจเื่ผ้าไหมเหมือนกับท่าน”
“หลงจู๊กล่าวชมเกินไปแล้ว ข้าเองก็ร่ำเรียนมาจากมารดา และนำมาสอนบุตรสาวทั้งสองคนต่อเท่านั้นเอง” มู่ถงยังคงเป็คนถ่อมตน ไม่เคยโอ้อวดว่าตนเองมีภูมิความรู้เหนือผู้อื่น
แต่ลูกจ้างคนอื่น ๆ ในร้านเห็นด้วยกับหลงจู๊ เพราะตระกูลของพวกตนก็ญาติที่ชื่นชอบการปักผ้า แต่ฝีมือการปักยังห่างชั้นจากมู่ถงอยู่หลายขุม
“นายท่านจินอย่าได้ถ่อมตนไปเลยเ้าค่ะ ท่านน้าของข้านางชื่นชอบการปักผ้าไม่น้อย แต่เมื่อนำมาเทียบกับผ้าปักของท่านแล้ว ยังต้องฝึกฝนในการปักอีกมากเ้าค่ะ” หลินเหมี่ยวพูดจากสิ่งที่นางเห็นด้วยตาตนเอง แม้นางจะไม่ถนัดเื่ปักผ้าแต่ยังมองเห็นความต่างได้ชัดเจน
ขณะที่นายจ้างกับลูกจ้างกำลังพูดคุยอย่างเป็กันเอง กลับมีเสียงดังจากด้านหน้าร้าน ซึ่งมีชื่อของมู่ถงที่คนด้านนอกะโเรียก และนั่นมิใช่เสียงใครที่ไหน แต่เป็เสียงของหลิวฉางฮุ่ยกับหลิวชางหรง ที่ความอิจฉาริษยายิ่งเพิ่มขึ้นเป็ทวีคูณ เมื่อเห็นขนาดของร้านผ้าไหมแห่งนี้
“มู่ถง! เ้าน้องอกตัญญูออกมาพบพวกข้าเดี๋ยวนี้ อย่าเป็เต่าหดหัวหลบอยู่แต่ในร้าน”
หลิวชางหรงก็ไม่ยอมน้อยหน้าะโแข่งกับพี่ชาย โดยไม่สนใจว่ายามนี้จะมีลูกค้าอยู่ในร้านหรือไม่ “เ้าลูกอกตัญญูมู่ถงออกมา!! หนอย..ได้ดิบได้ดีแล้วกลับไม่แยแสคนในตระกูลเลยรึ ยามนี้ท่านพ่อท่านแม่ล้มหมอนนอนเสื่อ เ้ากลับไม่โผล่หัวไปเยี่ยมพวกท่านสักครั้ง”
เมื่อมู่ถงกับหลงจู๊เหวยฉินเดินตามเสียงมา ถึงกับงุนงงว่าพี่ชายของตนทั้งสองคน มาร้องเรียกเขาประหนึ่งว่ายังเป็ครอบครัวเดียวกัน ทั้งที่ได้ตัดขาดกันไปหลายเดือนแล้ว
“พวกท่านสองคนเป็ใคร เหตุใดถึงได้มาส่งเสียงดังรบกวนลูกค้าของร้าน ไม่รู้จักคำว่ามารยาทบ้างเลยหรือ” หลงจู๊เหวยฉินเอ่ยถามพร้อมตำหนิสองพี่น้องตระกูลหลิว
หลิวฉางฮุ่ยที่มีหน้าตาดุดันอยู่แล้ว ยิ่งพูดจาเสียงดังจึงดูน่ากลัว “พวกข้าสองคนก็เป็พี่ชายของเฒ่าแก่ร้านนี้น่ะสิ”
มู่ถงหันไปพยักหน้าให้หลงจู๊เหวยฉิน แต่ประโยคที่เขาพูดออกมายิ่งเพิ่มความขุ่นเคืองให้ผู้มาเยือน “อืม พวกเขาเป็พี่ชายของข้าจริง เพียงแต่ว่านั่นเป็เื่ในอดีตซึ่งผ่านมาหลายเดือนแล้ว เพราะข้ากับตระกูลของพวกเขาได้ตัดขาดความสัมพันธ์ พร้อมลบชื่อออกจากผังตระกูลหนังสือตัดขาดก็ได้ลงชื่อพร้อมประทับตราเป็หลักฐานไว้แล้ว”
หลงจู๊เหวยฉินพอจะเข้าใจได้ลาง ๆ จึงพูดกระทบกระเทียบผู้มาเยือน “อ้อ ที่แท้ก็เป็ญาติพี่น้องขี้อิจฉาของนายท่านนี่เอง ไม่มีปัญญาสร้างงานทำเงินเองเป็แน่ ถึงได้วิ่งโร่มาหาเื่นายท่านถึงเมืองผู่เถียน”
หลิวฉางฮุ่ยยิ่งทวีความโกรธเมื่อได้ยินคำพูดของหลงจู๊เหวยฉิน “หุบปากของเ้าไปซะ! เป็แค่ลูกจ้างอย่าได้ยื่นปากเข้ามาสอดเื่ในครอบครัวของพวกข้า”
“นี่มู่ถงท่านพ่อฝากข้ามาบอกเ้าว่า หากเ้ายอมยกร้านผ้าไหมนี้ให้กับท่านพ่อ พวกเรายินดีให้เ้ากับครอบครัวกลับเข้าตระกูล” หลิวชางหรงไม่อยากเสียเวลาจึงพูดเข้าเื่ที่ตนตั้งใจมาในวันนี้ทันที
เพียงแต่คนที่ตอบคำถามของหลิวชางหรง มิใช่มู่ถงแต่อย่างใดเพราะเ้าของเสียงคือซูอัน นางกับพี่สาวรีบลงมาจากบนชั้นสอง หลังจากได้ยินเสียงะโเรียกชื่อบิดาของพวกนาง
“ท่านพ่อของข้าไม่มีวันยกร้านผ้าไหมนี้ให้ตระกูลหลิว!! พวกเ้าคิดว่าตนเองสูงส่งมาจากที่ใด ถึงได้กล้ามาข่มขู่เอาทรัพย์สินผู้อื่น”
ั้แ่สองพี่น้องตระกูลหลิวเข้าส่งเสียงดัง ้าหลังคาร้านผ้าไหม ก็ปรากฏร่างของอู๋ซูและหยุนไห่อย่างรวดเร็ว พวกเขาคอยเฝ้ามองอยุ่ไม่ใกล้ไม่ไกล เพื่อจะได้ปกป้องตระกูลจินทันทีหากมีเหตุการณ์ร้ายแรง
เมื่อซูอันพูดจบยิ่งสร้างความร้อนใจ จนยากจะควบคุมอารมณ์ความอยากได้สิ่งของผู้อื่น ให้เพิ่มมากขึ้นสำหรับสองพี่น้องตระกูลหลิว
“นางหลานตัวดีผู้ใหญ่กำลังคุยกัน เ้าอย่าเข้ามาวุ่นวายมันดูไร้มารยาท มารดาเ้าไม่เคยสั่งสอนเลยรึ” ยามนี้คำพูดใดที่ทำให้ครอบครัวของมู่ถงอับอาย หลิวฉางฮุ่ยนำมันมาใช้เสียทุกคำ
ใบหน้าของซูอันเริ่มแปลเปลี่ยนเป็เ็า ดวงตาทอประกายความโเี้ เมื่อคนตรงหน้าเอ่ยพาดพิงถึงมารดาของตน “หึ คนเช่นข้าย่อมรู้ว่าควรมีมารยาทกับผู้ใด และคนประเภทไหนไม่จำเป็ต้องมีมารยาท ที่สำคัญร้านผ้าไหมแห่งนี้เป็ชื่อของข้าจินซูอัน มิใช่ชื่อจินมู่ถงผู้เป็บิดา ดังนั้นต่อให้พวกเ้าคนตระกูลหลิวลงมือใช้กำลัง ก็ไม่มีทางได้ร้านผ้าไหมของข้า!”
“อะไรนะ!/ เ้าของตัวจริงเป็นางมิใช่มู่ถงงั้นรึ!”
หลิวชางหรงรีบหันไปมองพี่ชายด้วยสายตากังวลใจ เพราะคิดมาตลอดทางว่าเพียงข่มขู่มู่ถง ทุกอย่างย่อมได้มาอยู่ในมืออย่างง่ายดาย “พี่ใหญ่จะทำยังไงดีนางตัวดีนี่ไม่มีทางยอมพวกเราแน่ขอรับ อีกอย่างเ้ามู่ถงก็ดูแข็งข้อไม่ยอมลงให้พวกเราเช่นแต่ก่อนอีก”
แต่ผู้ใดจะคาดเดาความคิดของหลิวฉางฮุ่ยได้ ว่าเขาจะมีความกล้าสั่งบ่าวคนสนิทของตนกับของน้องชาย ให้ลงมือทำร้ายมู่ถงต่อหน้าซูอันและเยี่ยนหลิง โดยไม่รู้ว่าบุรุษที่ยืนล้อมรอบสามพ่อลูกอยู่นั้น คือหน่วยคุ้มกันของตระกูลจิน
“ชุนเตี๋ย! ซานเหมียว! สั่งสอนน้องชายของข้าให้รู้สำนึกเดี๋ยวนี้ หากข้าไม่มีคำสั่งให้หยุดพวกเ้าสองคนอย่าหยุดมือเด็ดขาด”
“ขอรับคุณชายใหญ่/ ขอรับคุณชายใหญ่”
เมื่อบ่าวคนสนิทของหลิวฉางฮุ่ยกับน้องชาย ขยับตัวเดินเข้าไปหามู่ถงได้ไม่ถึงสามก้าว กลับเป็บ่าวสองคนนี้ที่ต้องกระเด็นกลับไปที่เดิม
ตึง ตึง พรึ่บ! ผัวะ! อึก ผัวะ! อ้าก พรึ่บ! ปึก อ่ะ! ผัวะ! อั่ก ตุบ ตุบ
และคนที่เข้ามาขวางเอาไว้ก็มิใช่ใคร เป็เว่ยโฉวกับเป่าโยวผู้ลงมือได้รวดเร็ว โดยไม่ต้องรอให้ซูอันออกคำสั่ง ซึ่งพวกเขาใช้เพียงหมัดเท่านั้นในการสั่งสอนครั้งนี้
เยี่ยนหลิงที่ขยับเข้าไปอยู่ข้างกายมู่ถง แม้จะใแต่นางยังมีสติดูเหตุการณ์ตรงหน้า และไม่พอใจกับการกระทำเช่นนี้มาก “พวกเ้าสองคนพี่น้องพอแย่งชิงไม่สำเร็จ ก็คิดใช้กำลังบังคับข่มขู่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ตระกูลหลิวจากเมืองถู่หลานช่างมีอำนาจคับฟ้าเสียจริง ไม่มีกฎหมายบ้านเมืองอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย”
“แล้วอย่างไรนี่เป็เื่ในครอบครัว ถึงต้องไปที่ว่าการพวกข้าก็ไม่ถูกลงโทษอยู่ดี ฮ่า ๆ ๆ” หลิวชางหรงคิดว่าเ้าเมืองผู่เถียน ย่อมทำตัวสบาย ๆ เช่นเ้าเมืองถู่หลานอยู่วันยังค่ำ
พอซูอันได้ฟังคำพูดนี้ของหลิวชางหรง นางถึงกับเลิกคิ้วพร้อมกับยิ้มมุมปาก เมื่อมีคนมาชี้ช่องโหวให้กับนางพอดี “โอ๋ว ได้ฟังคำยืนยันจากคุณชายรองหลิวแล้ว ในเมื่อเป็เื่ในครอบครัว เช่นนั้นข้ายินดีทำเหมือนที่พวกท่านทำก็แล้วกัน เว่ยโฉว! บังเอิญข้าลืมของบางอย่างไว้ใต้โต๊ะคิดเงิน เ้ากลับเข้าไปหยิบออกมาให้ข้าทีสิ”
เว่ยโฉวไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ซูอันบอกมานั้นคือสิ่งใด แต่เขาก็ทำตามคำสั่งตามปกติ จนได้เห็นว่าใต้โต๊ะเก็บเงินที่ซูอันพูดถึง มีไม้กระบอกยาวมากกว่าหนึ่งศอกวางอยู่ จึงรีบหยิบออกมามอบให้ซูอันอย่างรวดเร็ว
“คุณหนูรองสิ่งที่ท่านอยากได้มาแล้วขอรับ”
ซูอันแค่เหลือบตามองเพียงเล็กน้อย ก่อนจะรับมันมาอยู่ในมือและออกคำสั่งอีกครั้ง “พวกเ้าสองคนดูแลท่านพ่อกับพี่หญิงให้ดี ข้าจะสั่งสอนสุนัขนิสัยเสียที่เอาแต่เห่าเสียหน่อย”
“ขอรับคุณหนูรอง/ ขอรับคุณหนูรอง”
พอได้เห็นสิ่งของในมือของซูอัน ทั้งหลิวฉางฮุ่ยกับหลิวชาหรงเริ่มนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จนเสียงที่เอ่ยถามออกมาถึงกับติดขัด “จะ จะ เ้าเอาไม้นั่นมาทำไม คิดจะลงไม้ลงมือกับพวกข้าได้ลงคอรึ”
ซูอันมิได้ตอบในทันทีนางเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น พอได้ระยะที่เอื้อมถึงก็ออกแรงฟาดท่อนไม้ ไปที่ร่างของสองพี่น้องตระกูลหลิวทันที
ผัวะ! โอ้ย “กล้าข่มขู่พ่อของข้ารึ”
ผัวะ! อ้าก “อยากได้สมบัติของข้าจนไข่สั่นระริกระรี้งั้นหรือ”
“นางบ้าหยุดตีพวกข้าเดี๋ยวนี้นะ!”
ผัวะ! อ๊า “หึ ตระกูลหิวเงินเห็นแก่ตัวของพวกเ้า คงหาเงินได้ไม่พอใช้จ่ายแล้วสินะ ถึงคิดจะมาปล้นเอาสมบัติของข้าอย่างหน้าด้าน ๆ”
“แต่ความจริงที่ว่าบิดาของเ้ามีเืของท่านพ่ออยู่ในตัว ก็ไม่อาจปฏิเสธมิใช่รึ” หลิวฉาฮุ่ยยังคงไม่ยอมแพ้
ฉาด! ฉาด! โอ้ยยย “แล้วอย่างไรก็แค่น้ำอย่างหนึ่งในร่างกาย หากให้กำเนิดบุตรชายแล้วเลี้ยงดูให้เป็คนดีไม่ได้ ก็ไม่สมควรเป็พ่อคนกระมัง”
จู่ ๆ มู่ถงได้ดึงมีดสั้นของเว่ยโฉวที่ข้างเอว จากนั้นกรีดบนฝ่ามือของตนอย่างเด็ดเดี่ยว และประกาศด้วยน้ำเสียงที่ดังพอสมควร
ฉับ! “ในเมื่อเืเนื้อนี้หลิวเฟยเป็ผู้ให้มา เช่นนั้นวันนี้ต่อหน้าชาวบ้านทั้งหลาย ข้าขอคืนเืชั่ว ๆ นี้กลับคืนให้ตระกูลหลิวก็แล้วกัน ส่วนเื่ร้านผ้าไหมหรือกิจการในอนาคต ตระกูลหลิวของพวกเ้าไม่มีทางได้ครอบครอบมันแม้แต่อย่างเดียว”
“ท่านพ่อ!!/ นายท่าน!!” เยี่ยนหลิงรีบเข้าไปใช้ผ้าเช็ดหน้าของตน กดลงบนแผลของบิดาทันทีเมื่อเืสีแดงฉานหลั่งไหลออกมา
ตุบ ตุบ อึก แค่ก ๆ ๆ “พวกเ้าพ่อลูกทำเกินไปแล้วจริง ๆ”
ปึก! เฮือกก! “หึ ๆ ๆ คนตระกูลหลิวของเ้าช่างความจำไม่ดีกันเหลือเกิน ก่อนครอบครัวของข้าจะออกจากจวน คำพูดของข้าที่ทิ้งท้ายเอาไว้มันคงลอยไปตามลมกระมัง ไม่เป็ไรถึงพวกเ้าจะลืมแต่ข้ากลับจำมันได้ดีเชียวล่ะ”
“จะ จะ เ้าจะทำอันใดกันแน่นางหลานบ้า!” หลิวฉางฮุ่ยมองดวงตาที่เรียบนิ่งแต่แฝงความอำมหิตไว้ เขาทั้งถามและถอยหลังหนีไปพร้อมกัน
“หืม ทำอันใดน่ะหรือ อืมม คงเรียกว่าการตอบแทนบุญคุณกระมัง เว่ยโฉว/ เป่าโยว จับพวกมันสี่คนเอาไว้และมัดให้แ่า จากนั้นเตรียมรถม้าให้พร้อมข้าจะไปเยือนตระกูลหลิวอีกครั้ง!!” นางมิได้เป็ฝ่ายเริ่มก่อนนี่นา จะให้ก้มหน้ายอม ๆ ประหนึ่งไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อย่างไร
“รับทราบขอรับคุณหนูรอง/ รับทราบขอรับคุณหนูรอง”
หลิวฉางฮุ่ยรีบร้องะโห้ามปรามซูอัน เนื่องจากเริ่มกลัวเมื่อเห็นสายตาอำมหิตของนางอีกครั้ง “ไม่นะ เ้าจะทำเช่นนี้กับพวกข้าไม่ได้นะนางซูอัน พวกข้าสองคนเป็ลุงของเ้านะ!”
“รีบเอาตัวออกไปได้แล้วข้าหนวกหู”
ซูอันไม่สนใจว่าคนที่เรียกตนเองว่าลุง จะพูดอันใดออกมาอีกบ้าง สิ่งที่นางทำคือเดินเข้าไปถามไถ่อาการของบิดา “ท่านพ่อเจ็บมากหรือไม่เ้าคะ”
“พ่อไม่เป็อะไรมากหรอกอันเอ๋อร์เ้าอย่าห่วงเลย”
“ได้อย่างไรเ้าคะท่านพ่อเืท่านไหลมากถึงเพียงนี้ จะบอกว่าไม่เจ็บข้าไม่เชื่อเด็ดขาดเ้าค่ะ หลงจู๊ท่านช่วยไปตามท่านหมอมาให้ข้าที” เยี่ยนหลิงไม่เชื่อคำโกหกของบิดา
“ขอรับคุณหนูใหญ่”
“พี่หญิงท่านอยู่ที่นี่เป็เพื่อนท่านพ่อท่านแม่ ส่วนข้าจะเอาคนไปส่งให้ถึงที่เอง เื่ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้เป็ข้าที่ลงมือด้วยตนเอง พวกท่านไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ ทั้งสิ้น ข้าจะรีบไปรีบกลับพวกท่านไม่ต้องห่วงนะเ้าคะ” ซูอันต้องบอกกับคนในครอบครัวตามตรง เนื่องจากไม่อยากให้พวกเขารับรู้จากปากของผู้อื่น
“อืม ฝากเ้าด้วยนะอันเอ๋อร์”
ซูอันรับคำด้วยการพยักหน้าเบา ๆ จากนั้นจึงได้ช่วยพี่สาวประคองบิดาเข้าไปรอท่านหมอด้านในร้าน ด้านเว่ยโฉวกับเป่าโยวนำตัวสองพี่น้องหลิว พร้อมบ่าวคนสนิทมัดมือมัดเท้าขังไว้ในรถม้าของพวกเขา โดยเป่าโยวอาสาเฝ้าคนกลุ่มนี้ ส่วนเว่ยโฉวไปนำรถม้ามาอีกคัน ทางด้านสองคนบนหลังคากำลังจะหันหลังกลับ ก็ต้องใกับเสียงเรียกเสียก่อน
