เสวียนหนิงไม่ได้แสดงสีหน้าขุ่นเคืองออกมาแม้แต่น้อย นางรู้ดีว่า หากยังคิดจะใช้ชีวิตอย่างสงบในหมู่บ้านแห่งนี้ การตั้งตนเป็ศัตรูกับใครย่อมไม่ใช่เื่ฉลาด นางจึงเลือกตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ข้ามีชายที่ข้ารักอยู่แล้วเ้าค่ะ”
อันเหนียงมองนางก่อนจะยิ้มบางๆ รอยยิ้มนั้นอ่อนโยนราวกับกำลังมองเด็กน้อยไร้เดียงสา แต่แววตากลับลึกและเ้าเล่ห์เกินกว่าจะเรียกว่าความเมตตา
“เด็กโง่เอ๋ย…” นางหัวเราะเบาๆ “เมื่อครั้งข้ายังสาว ข้าก็เคยเป็สตรีที่มั่นคงในความรักไม่ต่างจากเ้า แต่เมื่อข้าแก่ตัวลง ข้าจึงรู้ในภายหลังว่า ความรักนั้นกินไม่ได้” นางโน้มตัวเข้าใกล้เล็กน้อย ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานดุจรินน้ำผึ้ง
“มีเพียงทรัพย์สินเงินทองเท่านั้น ที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขอย่างแท้จริง”
ถ้อยคำเหล่านี้คือคำพูดที่อันเหนียงเคยใช้ล่อลวงเด็กสาวมาแล้วนับไม่ถ้วนอ่อนโยน…แต่เต็มไปด้วยพิษร้ายเสวียนหนิงกำลังจะเอ่ยปฏิเสธอย่างสุภาพทว่าในวินาทีนั้นเอง อันเหนียงกลับเอื้อมมือมาจับมือของนางไว้แน่นอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว
“เย็นนี้…” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็คำชวน แต่กลับแฝงน้ำหนักของคำสั่ง “เ้ามากินข้าวที่บ้านข้านะ”
เป็การยัดเยียดที่ไม่เปิดโอกาสให้นางปฏิเสธได้เลยเสวียนหนิงชะงักเล็กน้อยก่อนจะตอบรับด้วยน้ำเสียงเรียบสงบ
“อืม…เข้าใจแล้วเ้าค่ะ” ภายนอกนางดูว่าง่ายแต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความระแวดระวัง
หวังเป็อย่างยิ่งว่า การพบปะกันในเย็นนี้…สตรีสูงวัยผู้นี้จะไม่ยัดเยียดสิ่งใดให้ข้าอีก
เสวียนหนิงไม่เคยคิดจะไปไหนมาไหนโดยไม่บอกกล่าวสามีให้รับรู้ เมื่อกลับมาถึงบ้าน นางจึงเล่าเื่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับอันเหนียงให้ม่อหรานฟังโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย ขณะเดียวกันก็ลงมือจัดการเตรียมอาหารมื้อเย็นเอาไว้ล่วงหน้า เผื่อว่าในยามที่นางไม่อยู่ เขาจะหิวม่อหรานนั่งฟังเงียบๆ สายตานิ่งลึก ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน“ดูเหมือนท่านป้าจะเอ็นดูเ้าอยู่ไม่น้อย”
เพียงได้ยินคำพูดนั้น เสวียนหนิงก็หันกลับมามองเขาด้วยสีหน้าขุ่นเคืองเล็กน้อย“ท่านพี่ อย่าได้พูดจายัดเยียดน้องเช่นนี้สิเ้าคะ หากน้องไม่ไปร่วมโต๊ะกับนาง นางก็คงไม่เลิกตามตอแย”
ม่อหรานอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นในหัวใจลึกๆ นางยังคงปักใจมั่นอยู่ข้างเขา แม้ในยามนี้เขาจะเป็เพียงชายที่ไร้พลัง ไร้ศักดิ์ศรี และไร้ประโยชน์ในสายตาใครต่อใครเขาเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแ่เบา เต็มไปด้วยความจริงใจ“หากพี่ไม่มีเ้า…พี่ก็ไม่รู้ว่าชีวิตของพี่จะอยู่ไปเพื่อสิ่งใดอีกแล้ว”
คำพูดนั้นไม่ใช่คำหวานแต่เป็ความจริงจากส่วนลึกที่สุดของหัวใจเสวียนหนิง…มีค่ามากกว่าครอบครัวในสายเืของเขาเสียอีกเสวียนหนิงชะงักไปเพียงครู่ ก่อนจะกุมมือของเขาแน่นสายตานิ่งมั่น ไม่สั่นไหว
“จำไว้นะเ้าคะ…” นางกล่าวเสียงหนักแน่น “น้องจะไม่จากท่านพี่ไปไหนทั้งนั้น” นางยิ้มบางๆ ให้เขา ก่อนเอ่ยต่อ“น้องจะรีบไป…และรีบกลับเ้าค่ะ” ม่อหรานพยักหน้าช้าๆแม้ภายนอกจะดูสงบแต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความห่วงใยอย่างลึกซึ้งและในขณะที่เสวียนหนิงก้าวออกจากบ้านไปทั้งสองต่างก็รู้ดีค่ำคืนนี้…จะไม่ใช่เพียง มื้ออาหารธรรมดา
แม้จะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านชิงเหอที่แร้นแค้นและทุรกันดารแต่บ้านของอันเหนียงกลับดู ต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัดกำแพงไม้ยังคงแข็งแรงหลังคาไม่รั่วซึมลานหน้าบ้านสะอาดกว่าบ้านเรือนอื่นและที่เด่นชัดที่สุด…คือ กลิ่นหอมของอาหาร ที่ลอยมาแต่ไกลหอมหวาน อบอุ่น ราวกับตั้งใจเชื้อเชิญผู้มาเยือนให้ก้าวเข้าไปโดยไม่รู้ตัวเมื่อเสวียนหนิงเดินมาถึงนางก็พบว่า อันเหนียงและบุตรชายของนางยืนรออยู่ก่อนแล้ว ราวกับรู้แน่ชัดว่านางจะต้องมาอันเหนียงยิ้มออกมาด้วยสีหน้าอบอุ่น“ข้านึกว่าเ้าจะไม่มาเสียแล้ว”
น้ำเสียงนั้นฟังดูอ่อนโยนคล้ายสตรีผู้เฝ้ารอแขกคนสำคัญแต่ในดวงตาคู่นั้นกลับซ่อนประกายเย็นเยียบที่ไม่อาจปิดบังได้
ถัดมา…อันฉือก็ก้าวออกมาจากด้านหลังมารดาร่างอ้วนใหญ่โยกเยกดวงตาเป็ประกายวาววับผิดปกติ
“เสวียนหนิง…มาแล้วเหรอ…” เขาหัวเราะ “ฮิๆ” เสียงน้ำลายดังแฉะ “ฉือ…อยากเจอเ้า…ฉือรอเ้า…ฮิๆๆ”
น้ำเสียงนั้นไร้เดียงสาแต่แฝงความอยากอย่างไม่ปิดบังเสวียนหนิงยืนนิ่งอยู่หน้าประตูดวงตานางสงบนิ่งรอยยิ้มบางๆ ประดับบนริมฝีปากแต่ภายใน…พลังปราณกลับไหลเวียนเงียบๆ อย่างระวังภัย
ภายในบ้านของอันเหนียงสว่างไสวด้วยแสงตะเกียง อาหารคาวหวานถูกจัดวางเต็มโต๊ะจนแน่นไปหมด กลิ่นหอมฉุยอบอวลไปทั่วห้อง ราวกับงานเลี้ยงใหญ่โตที่ไม่สมควรเกิดขึ้นในหมู่บ้านยากจนเช่นนี้เสวียนหนิงนั่งอยู่ที่ปลายโต๊ะข้างกายนางคือ อันฉือชายปัญญาอ่อนร่างอ้วนใหญ่เขานั่งเบียดเข้ามาใกล้ดวงตาหยาดเยิ้ม จ้องมองนางไม่วางตาน้ำลายไหลย้อยลงมาตามมุมปากอย่างไร้ซึ่งการยับยั้งชั่งใจ
นางหันไปมองโต๊ะ ก่อนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“ท่านป้าอันเหนียง ข้าเพียงมาร่วมรับประทานอาหารเพียงหนึ่งมื้อเท่านั้น ไฉนต้องสิ้นเปลืองถึงเพียงนี้”
อันเหนียงยกยิ้มช้าๆรอยยิ้มนั้นเย็นเยียบจนดูไม่เหมือนความเอ็นดู “อาหารมื้อนี้…ข้าจัดเตรียมไว้เพื่อเ้าโดยเฉพาะ”
คำพูดนั้นฟังดูเหมือนความเมตตาแต่กลับทำให้เสวียนหนิงรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาที่ต้นคอเสวียนหนิงรับรู้ได้ทันทีจากกลิ่นจางๆ ที่คนธรรมดาไม่มีทางแยกออกแต่แทนที่จะเผยพิรุธนางกลับยกตะเกียบขึ้น“กินให้เยอะๆ สิ…”อันเหนียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน คล้ายสตรีผู้เอ็นดูหลานสาว “อาหารมื้อนี้…ข้าลงมือทำเพื่อเ้าโดยเฉพาะ”
แต่ถ้อยคำที่นาง ไม่ได้พูดออกมากลับซ่อนอยู่ภายใต้รอยยิ้มนั้นอย่างชัดเจน เมื่อกินเข้าไปแล้ว…ก็จงเป็ของลูกชายข้าซะเถิด
ในขณะที่ด้านข้าง อันฉือยังคงจ้องนางตาเป็มันดวงตาเล็กๆ เต็มไปด้วยความอยากได้อยากอย่างไม่ปิดบังน้ำลายหยดย้อยลงตามมุมปาก เขากลอกตาไปมาระหว่าง อาหารตรงหน้ากับสตรีตรงหน้าในสมองอันแสนซื่อบื้อของเขากำลังชั่งใจอย่างจริงจังว่า… ระหว่างของกิน…กับของที่อยากได้อะไรน่ากินกว่ากัน
