เฟิ่งเฉี่ยนยิ้มเย็น นางเดินเข้าไปกดดันทีละก้าวๆ “มือปรานหลิน เหตุใดเ้าจึงหวาดกลัวข้าเช่นนี้ ข้าเป็เพียงสตรีอ่อนแอไม่มีกระทั่งแรงจะจับไก่คนหนึ่ง มีอะไรน่ากลัวเล่า”
ริมฝีปากของหลินไห่เฟิงกระตุกเล็กน้อย นางเนี่ยนะ ยังบอกว่าเป็สตรีอ่อนแอไม่มีกระทั่งแรงจะจับไก่? ไปหลอกผีเถอะ!
เขาถอยไปชนกับกรอบหน้าต่างโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ได้ยินเพียงเสียงดั่ง กร๊อบบบ กรอบหน้าต่างหักเสียแล้ว!
ร่างของเขาร่วงลงไป หลินไห่เฟิงหน้าถอดสีทันที ท่ามกลางความวุ่นวาย เขาคว้ามือออกมาสะเปะสะปะ ประจวบเหมาะกับคว้าได้แขนเสื้อของเฟิ่งเฉี่ยน จึงลากนางลงไปด้วย
“อ๊า”
วินาทีที่ร่วงลงไปนั้น เฟิ่งเฉี่ยนไม่อาจไม่ยอมรับชะตากรรม!
เทพเ้าแห่งความโชคร้ายตามตัว ไม่อาจหลบหลีกได้จริงๆ!
ทว่ายังดีที่นางมีคนรองหลังให้!
ร่างที่อยู่ด้านล่างร้องขึ้นด้วยความเ็ป เฟิ่งเฉี่ยนค่อยลุกๆ ขึ้นจากร่างของหลินไห่เฟิง นางหันไปประสานมือเป็หมัดให้กับเขา “มือปราบหลิน ขอบคุณนะ! เ้าช่วยชีวิตข้าเอาไว้แท้ๆ!”
หลินไห่เฟิงนอนอยู่บนพื้น “พรื่ด” เขากระอักเืออกมาเพราะภายในบอบช้ำ
เฟิ่งเฉี่ยนโบกมือให้เขาแล้วเดินจากไป
หลานเยว่หรูวิ่งลงมาจากชั้นบนอย่างร้อนใจ “พี่ชาย ท่านไม่เป็ไรกระมัง”
หลินไห่เฟิงตะเกียกตะกายลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าแค้นเคือง เดิมทีคิดจะสั่งสอนเฟิ่งเฉี่ยน คิดไม่ถึงว่าขโมยไก่ไม่สำเร็จซ้ำยังต้องเสียข้าวสารอีกกำมือหนึ่ง ถูกนางเล่นงานไปได้
“เฟิงเฉี่ยนผู้นี้ ร้ายกาจเกินไปแล้ว!” หลินไห่เฟิงประคองเอวของตนเองพร้อมกับขบฟันแน่น
หลานเยว่หรูกุมหน้าอกของตน นางพูดลอดไรฟันอย่างแค้นใจ “บนตัวของนางต้องมีสิ่งของแปลกประหลาดแน่นอน! ครั้งก่อน ข้าััข้อมือของนางครู่เดียว จากนั้นข้าก็เหมือนมีเทพเ้าแห่งความโชคร้ายติดตามตัวอย่างไรอย่างนั้น โชคร้ายเหมือนนางเมื่อสักครู่ไม่มีผิด! บนตัวของนางจะต้องมีความลับที่ไม่อาจบอกใครได้ ช้าเร็วข้าจะเปิดโปงนาง!”
ห่างจากหอสุราไม่ไกลนัก เฟิ่งเทียนรุ่ยเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ทั้งหมด เขาตกตะลึงอยู่กับที่
นับั้แ่เมื่อวานที่พลัดหลงกับน้องหญิงสี่ ในใจของเขาเต็มไปด้วยความกังขา น้องหญิงสี่ดูเหมือนจงใจซ่อนตัวจากเขา แต่เพราะเหตุใดต้องหลบหน้าด้วยเล่า
เขาไม่เข้าใจ
ดังนั้น วันนี้เขาตัดสินใจสะกดรอยตามน้องหญิงสี่ และได้พบเห็นความลับของนางไม่น้อยทีเดียว
“เฟิงเฉี่ยนหรือ”
เหตุใดคนเหล่านี้จึงเรียกขานน้องหญิงสี่ว่า เฟิงเฉี่ยน
เขาสะกดรอยตามหลังต่อไปด้วยความสงสัย
ชุมนุมเดินหมากเทียนหยวนเต็มไปด้วยผู้คนจากทั่วสารทิศ
แฟนๆ ผู้คลั่งไคล้ในการเดินหมากมาถึงชุมนุมแต่เช้าตรู่เพื่อแย่งชิงที่นั่งในการชมการแข่งขันระหว่างผู้แข็งแกร่ง!
ถูกต้อง เป็การต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่ง! เป็การต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง!
ทั้งสองฝ่ายต่างเป็ผู้สยบยอดฝีมือระดับเก้าทั้งหกคนมาแล้วทั้งสิ้น คนหนึ่งคือ เซียนหมากล้อมผมเงินผู้ไม่เคยพ่ายแพ้และมีชื่อเสียงโด่งดังเลื่องลือไปไกล อีกคนหนึ่งเป็นักเดินหมากหน้าใหม่ เป็คนหน้าใหม่ที่มาสร้างความมหัศจรรย์จนผู้คนตกตะลึง ใครกันแน่ที่จะเป็ฝ่ายคว้าชัยชนะในครั้งนี้
ทุกคนล้วนมีตาชั่งของตนเองอยู่ในใจ!
ยามนี้ใกล้จะถึงเวลาแข่งขันแล้ว เฟิ่งเฉี่ยนยังมาไม่ถึงเสียที หานไท่ฟู่เดินไปเดินมาอยู่หน้าประตูชุมนุมหมากล้อมด้วยความร้อนใจดั่งไฟสุม
“เด็กคนนี้ ไม่ให้คนอื่นเป็ห่วงไม่ได้เลย! ต้องมาถึงนาทีสุดท้ายใช่หรือไม่”
หานหลินเยว่ “แม่นางเฟิงอาจจะมีเื่ยุ่งยากบางอย่างทำให้เสียเวลาก็ได้เ้าค่ะ”
ทันทีที่นางพูดจบ ฝูงคนที่อยู่ไม่ไกลนักพลันมีการเคลื่อนไหว หานไท่ฟู่หันหน้ากลับไปมอง จากนั้นสีหน้าท่าทางของเขาแข็งค้าง
“เป็อะไรไปเ้าคะท่านปู่” หานหลินเยว่เห็นสีหน้าแปลกประหลาดของเขาจึงหันหน้ามองตามไป ไม่มองไม่เท่าไหร่ ทันทีที่หันไปมองนางถึงกับโง่งม คนทั้งคนยืนแข็งทื่ออยู่ที่นั่น พูดติดอ่างทันที “เฟิง แม่นางเฟิงหรือ”
เห็นเพียงท่ามกลางผู้คนมีสตรีนางหนึ่งถือกระทะไว้เหนือศีรษะ เดินก้าวใหญ่ๆ เข้ามา อาภรณ์สีขาวบนร่างของนางมีผักสด เครื่องปรุง น้ำสกปรกเปรอะเปื้อนกระทั่งไม่อาจใช้คำพูดมาบรรยายได้ ราวกับเพิ่งจะผ่านภัยพิบัติครั้งใหญ่มาอย่างไรอย่างนั้น สภาพอเนจอนาถยิ่งนัก!
หานหลินเยว่ปิดปากของตนลงอย่างมิง่ายดาย “แม่นางเฟิง...นางประสบกับอะไรมากันแน่”
หานไท่ฟู่ติดอ่าง “นางคงไม่ได้ถูกผู้อื่นปล้นมากระมัง”
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ๆ เฟิ่งเฉี่ยนรีบวิ่งเหยาะๆ มาหลายก้าวพร้อมกับกระทะที่อยู่เหนือศีรษะ เมื่อมาถึงเบื้องหน้าคนทั้งสองนางจึงพรูลมหายใจโล่งอก “ขออภัยด้วย ระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุขึ้นเล็กน้อย ข้ามาสาย!”
หานหลินเยว่และหานไท่ฟู่สบตากัน ไม่รู้จะพูดอะไร
นี่เป็เพียงอุบัติเหตุหรือ น่าจะเป็ภัยพิบัติมากกว่า!
“องค์ชายสามยังมาไม่ถึง ข้าพาเ้าไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์สะอาดดีกว่า”
เฟิ่งเฉี่ยนพยักหน้า ดังนั้นนางจึงเดินเข้าไปในชุมนุมหมากล้อมพร้อมกับหานหลินเยว่
เฟิ่งเทียนรุ่ยเดินฝ่าฝูงชนออกมา มองป้ายที่เหนือประตู ความกังขาในใจยิ่งมีมากขึ้น
น้องหญิงสี่มาทำอะไรที่ชุมนุมหมากล้อม
ยังมีอีก เื่ที่เกิดขึ้นระหว่างทางเมื่อสักครู่ มันผิดปกติเกินไป เื่ร้ายๆ ล้วนเกิดขึ้นกับนางทั้งสิ้น ถึงขั้นเรียกได้ว่า “เหลือเชื่อ”!
มีคนสองคนเดินผ่านร่างของเขาในเวลานี้ ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา
“วันนี้เป็วันประลองระหว่างแม่นางเฟิงและซือคงเซิ่งเจี๋ย เ้าทายว่าใครชนะ”
“ข้าชมการประลองเมื่อวานแล้ว ทักษะการเดินหมากของซือคงเซิ่งเจี๋ยนั้นแทบจะเรียกได้ว่ายอดเยี่ยม แม่นางเฟิง้าเอาชนะเขา...” คนผู้นั้นส่ายหน้า “ยาก! ยาก! ยาก!”
เฟิ่งเทียนรุ่ยขวางคนทั้งสองเอาไว้แล้วถามอย่างประหลาดใจ “ทั้งสองท่าน แม่นางเฟิงที่พวกท่านกล่าวถึงเมื่อสักครู่เป็ใครกัน”
หนึ่งในนั้นตอบว่า “ได้ยินว่าเป็นางกำนัลคนหนึ่ง”
หัวใจของเฟิ่งเทียนรุ่ยสะดุดกึก เขาถามต่อ “นางมีนามว่าอะไร”
อีกคนหนึ่งแย่งตอบ “เฟิงเฉี่ยน”
เฟิ่งเทียนรุ่ยมีสีหน้าตกตะลึง ในแววตาเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อ
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น เฟิ่งเฉี่ยนผลัดเปลี่ยนอาภรณ์สะอาดชุดหนึ่งปรากฏอยู่ในห้องพิเศษ ตี้[1]
เพราะการแข่งขันเดินหมากในครั้งนี้เป็นัดสำคัญ ดังนั้นทางชุมนุมเดินหมากจึงได้เปิดห้องพิเศษสองฟากคือ เทียน[2]และตี้ ั้แ่เมื่อวาน เพื่อเป็การตอกย้ำว่าการแข่งขันในวันนี้เป็นัดสำคัญและอลังการ และเป็การให้เกียรติเซียนหมากล้อมผมเงิน ซือคงเซิ่งเจี๋ย
เฟิ่งเฉี่ยนก้าวเข้ามาในห้องพิเศษ ตี้ เป็ครั้งแรก นางพบว่าห้องนี้กว้างขวางกว่าห้องพิเศษ หวง มากมายนัก และที่สำคัญที่สุดคือการตกแต่งห้องเปี่ยมไปด้วยความงดงาม ใช้ไข่มุกโปร่งแสงมาร้อยเป็สายแล้วแขวนไว้บนประตูเป็ม่าน ส่งผลให้ภายในและภายนอกห้องพิเศษเพิ่มความรู้สึกลึกลับน่าค้นหา แสงแดดที่ส่องลอดผ่านเพดานลงมากระทบกับไข่มุกส่องสว่างไปทั่ว งดงามอย่างที่สุด!
สิ่งที่ดึงดูดสายตาคนที่สุด คือบ่อน้ำเล็กๆ ข้างๆ ทางเข้า เป็รูปปั้นแกะสลักัคู่เล่นไข่มุก ได้ใช้กลไกอันพิสดารทำให้น้ำไหลลงมาจาก้าไม่หยุด เสียงน้ำไหล ติ๋งๆ ราวกับเสียงดนตรีอันไพเราะเสนาะหู
เดินหมากในห้องพิเศษที่งดงามเช่นนี้ เป็เื่ที่มีความสุขปานใด ทว่าเฟิ่งเฉี่ยนในยามนี้กลับยากจะสงบใจไม่ว่านั่งหรือยืน
เพราะนางมีลางสังหรณ์ไม่ดีชนิดหนึ่ง เื่โชคร้ายกำลังจะบังเกิดขึ้นกับนาง
แต่จะเป็เื่อะไร
นางไม่รู้
และเป็เพราะความไม่รู้ ทำให้นางว้าวุ่นใจ
ทว่า ตอนนี้เื่ที่สำคัญที่สุดก็คือ การเดินหมาก!
นางต้องชนะเท่านั้น แพ้ไม่ได้!
ยามนี้มีเสียงเคลื่อนไหวจากด้านล่างดังขึ้น มีคนร้องเสียงดัง “องค์ชายสามเสด็จ--”
เฟิ่งเฉี่ยนลุกขึ้นเดินมาหยุดข้างหน้าต่าง นางผลักหน้าต่างเปิดออกแล้วก้มลงมองบริเวณทางเข้าของชั้นล่าง ชายหนุ่มในชุดขาวเส้นผมสีเงินกลายเป็ทัศนียภาพอย่างหนึ่ง เขาเดินแหวกผู้คนมุ่งหน้าขึ้นมาชั้นบน คนอื่นๆ ที่อยู่ข้างหลังเขากลายเป็ภาพพื้นหลังที่หม่นแสงลง
แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่พบกัน นางก็ยังรู้สึกตื่นตะลึง
[1] ตี้ หมายถึง ดิน
[2] เทียน หมายถึง ฟ้า