“น้ำเต้าเล่า?”
“หนีไปแล้ว”
ทันทีที่พบหน้ากัน สิ่งแรกที่เยี่ยหลิงหลานถามถึงก็คือน้ำเต้าเจ็ดสี และแน่นอนว่าหนิงเทียนย่อมไม่บอกความจริงแก่นาง เพราะนั่นเป็อาวุธิญญาจื๋อซิวที่หาได้ยากยิ่ง
เยี่ยหลิงหลานแย้มยิ้มทรงเสน่ห์จนหนิงเทียนรู้สึกตื่นตระหนก
ปีศาจนางนี้จะหามันพบหรือไม่?
หนิงเทียนหันหลังกลับ เขาอยากจะวิ่งหนีแต่ไม่อาจขยับไปไหนได้
“หนีทำไม? คิดว่าเ้าอยู่ในขอบเขตจิตหยั่งลึกแล้วจะสามารถรอดพ้นเงื้อมมือของข้าได้หรือ? แล้วใครสั่งให้เ้าเข้าสู่ขอบเขตจิตหยั่งลึกกัน?”
เยี่ยหลิงหลานบีบคอหนิงเทียนแน่นจนเขาไม่อาจหนีไปไหนพ้น
“หืม? การปลูกถ่ายเส้นลมปราณแรกของเ้าน่าสนใจนัก อืม... ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน”
เยี่ยหลิงหลานปล่อยมือออก ทันใดนั้นน้ำเต้าเจ็ดสีในเส้นลมปราณของหนิงเทียนก็ลอยตามมา
“นั่นของข้านะ!” หนิงเทียนทักท้วงด้วยความหดหู่ใจอย่างยิ่ง ไม่ใช่เื่ง่ายเลยที่จะหลอกอาจารย์ผู้นี้
“น้ำเต้านี้ไม่เลวเลย เ้าอยากได้หรือ?”
เมื่อสบสายตาประกายยิ้มคู่งามของเยี่ยหลิงหลาน หนิงเทียนก็ตาพร่าไปชั่วขณะ นางผู้นี้คือมารที่นำหายนะมาสู่แว่นแคว้นและมวลชนอย่างแท้จริง
“ท่านยินดีจะให้ข้าหรือ?” หนิงเทียนรู้สึกหวาดระแวง การกระทำของนางน่าสงสัยยิ่งนัก
เยี่ยหลิงหลานยิ้มแล้วกล่าว “ตอนแรกเ้าบอกว่ารากบ่มเพาะของเ้ามาจากูเาเฮยเสวียน ยามนี้เ้าปลุกทักษะได้และรู้ที่มาของรากบ่มเพาะแล้ว เช่นนั้นเ้าจงบอกข้ามา”
หนิงเทียนลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเล่าเื่กล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตและสิ่งที่เกิดขึ้นบนยอดเขาิเฟิงให้นางฟัง แต่ก็ยังปกปิดความลับของทักษะยุทธศาสตร์ครอง์เอาไว้
“กล้วยไม้เซียนเก้าชีวิต? เหมือนจะเป็รากบ่มเพาะประเภทิญญาดอกไม้ เ้าลองไปตรวจสอบยอดเขาของูเาเฮยเสวียนอีกแปดลูกให้ละเอียด ใช้รากบ่มเพาะััถึงพวกมันดูว่าพบอะไรเป็พิเศษหรือไม่?”
เมื่อได้ยินดังนั้น หนิงเทียนก็อยากถามด้วยความสงสัย ทว่าเยี่ยหลิงหลานกลับจ้องเขาตาเขม็ง
...
่ก่อนรุ่งอรุณ รอบด้านมีเพียงความสงบเงียบ
หนิงเทียนจ้องมองยอดเขาทั้งเก้าของูเาเฮยเสวียน พลันรู้สึกว่ายอดเขาิเฟิงแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้
คราแรกที่หนิงเทียนมาที่นี่ เขาขึ้นไปเสาะหารากบ่มเพาะบนยอดเขาลูกที่ห้า ซึ่งเป็เหตุให้เขาพบกับอสูรหยางเหยียนชื่อซาและล้มระหว่างการหลบหนี ทั้งยังกลืนกล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตเข้าไปโดยไม่ตั้งใจอีกด้วย ยามนี้เขาจึงรู้สึกผูกพันกับยอดเขาลูกที่ห้าอย่างอธิบายไม่ได้
ส่วนยอดเขาที่สอง สาม และสี่ก็ทำให้หนิงเทียนรู้สึกแปลกประหลาดราวกับมีบางอย่างซ่อนอยู่ แต่กล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตกลับไม่ได้สนใจพวกมันมากนัก
เช่นเดียวกับยอดเขาที่หก เจ็ด และแปด ที่ให้ความรู้สึกราวกับมีอันตรายไม่รู้จบกำลังรอเขาอยู่ ถึงกระนั้นก็ยังมีโชคลาภอยู่ด้วย
ยอดเขาที่กล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตให้ความสนใจจริงๆ คือยอดเขาลูกที่เก้า มีบางอย่างกำลังร้องเรียกมันอยู่
หนิงเทียนเล่าสิ่งที่ตนััได้ให้เยี่ยหลิงหลานฟัง จากนั้นก็ตั้งคำถาม “ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินคนเรียกท่านว่าเยี่ยซิงหาน เื่มันเป็มาอย่างไรหรือ?”
“คนนอกล้วนเรียกข้าว่าเยี่ยซิงหาน”
นางตอบอย่างผ่อนคลาย ก่อนจะมองยอดเขาลูกที่เก้าของูเาเฮยเสวียนแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ลองเข้าไปดูสิ หากเ้าสามารถหาสมบัติอื่นมาได้ ข้าจะมอบน้ำเต้าเจ็ดสีนี้ให้เ้า”
“เดิมทีมันก็เป็ของข้าอยู่แล้ว” หนิงเทียนไม่ค่อยพอใจนัก มีอาจารย์ท่านใดปล้นศิษย์ของตนเช่นนี้บ้าง?
ยอดเขาที่เก้าของูเาเฮยเสวียนไม่ได้อยู่ติดกับยอดเขาลูกแรก เนื่องจากมันเป็หนึ่งในสี่ยอดเขาวงใน
บนยอดเขาลูกที่เก้าไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต มันไม่มีแม้แต่หญ้าสักใบ ทุกพื้นที่มีก้อนหินขึ้นระเกะระกะ และวางสลับไปมาอย่างแปลกประหลาด
ทันทีที่หนิงเทียนเข้าใกล้บริเวณนี้ กล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตในร่างก็ปล่อยคลื่นผันผวนออกมาอย่างรุนแรง แผนที่จิติญญาในเส้นลมปราณแรกหมุนวน และเจตภูตแห่งบงกชสีมรกตปรากฏขึ้นเพื่อนำทางให้เขา
“โอ้! สามารถทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ? เยี่ยมไปเลย” หนิงเทียนเพิ่งเป็ผู้บำเพ็ญได้เพียงสองวันเท่านั้น เขาจึงยังไม่เข้าใจการพลิกแพลงพลังมากนัก ทั้งยังไม่ค่อยเชี่ยวชาญความรู้พื้นฐานบางอย่าง
ยอดเขาลูกนี้ประหลาดมาก แม้จะได้รับคำแนะนำจากกล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตและมีบงกชสีมรกตเป็ผู้นำทาง แต่รูปแบบการก่อตัวที่ไร้แนวทางก็ทำให้หนิงเทียนต้องฝ่าความมืดในยามราตรี ทั้งยังข้ามผ่านแสงตะวันยาวนานถึงเก้าวันเก้าคืน กว่าจะสามารถเข้าสู่ส่วนลึกของยอดเขาที่เก้าได้
ที่นั่นมีถ้ำโบราณลึกลับ ซึ่งปล่อยคลื่นพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมาอย่างต่อเนื่อง
หนิงเทียนรู้สึกตึงเครียดไปทั้งร่าง กระดูกและเส้นลมปราณสั่นเทาราวกับกำลังจะฉีกขาด
สถานที่แห่งนี้น่ากลัวอย่างยิ่ง หากกล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตไม่ปล่อยพลังออกมาต้านไว้ หนิงเทียนก็คงตายไปนานแล้ว
ลึกเข้าไปในถ้ำโบราณมีแท่นบูชาหินเก้าแท่น ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีมาั้แ่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ จิติญญาของมันกว้างใหญ่เกินบรรยาย มวลอากาศที่พัดเข้ามากลับค่อยๆ ห่างออกไป ความผันผวนเพียงเล็กน้อยก็สามารถบดขยี้ชั้นบรรยากาศให้แหลกละเอียดได้
หนิงเทียนเข้ามาในถ้ำด้วยการแนะนำของกล้วยไม้เซียนเก้าชีวิต แท่นบูชาทั้งเก้าล้วนอยู่ในความมืดมิดจึงมองเห็นได้ไม่ชัดนัก บริเวณใกล้เคียงมีนิมิตซึ่งแสดงถึงความท้อแท้ปรากฏขึ้นมา เป็ภาพแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ทอดยาว ทุกสรรพสิ่งล้วนมีขึ้นมีลง
ทันใดนั้นแท่นบูชาก็สว่างวาบและดึงดูดสายตาของหนิงเทียน เขารู้สึกว่าสิ่งนี้มีความเชื่อมโยงกับกล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตในร่างของตน และเขาต้องพึ่งพลังของกล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตจึงจะมองเห็นทัศนียภาพบนแท่นบูชาได้อย่างชัดเจน
แท่นบูชาหินแห่งนี้จัดวางราวกับถูกซ้อนแบบมั่วๆ บนแท่นบูชามีดอกบัวที่แกะสลักจากหยกขาวสูงประมาณเก้าชุ่น[1] รูปร่างคล้ายประทีปล้ำค่า
หนิงเทียนค่อยๆ เพ่งพินิจอย่างระมัดระวัง พลันดวงตาก็เกิดภาพหลอนเห็นเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีลุกโชนจากเกสรดอกบัว เมื่อภาพนิมิตการถือกำเนิดของฟ้าดินปรากฏขึ้น เขาจึงขยี้ตาแล้วมองอีกหน แต่เปลวเพลิงนั้นกลับหายไป เหลือไว้เพียงประทีปดอกบัวขาวเท่านั้น
“นี่มันอะไร?” หนิงเทียนพึมพำกับตนเอง เขารู้ว่ากล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตสามารถให้คำตอบได้ แต่มันกลับไม่ยอมเผยสิ่งใดเพิ่มเติม
เขาค่อยๆ เดินต่ออย่างระมัดระวังและรู้สึกราวกับทั้งร่างกำลังจะะเิ หยดเืเริ่มไหลซึมตามชั้นผิว แท่นบูชาแห่งนี้น่ากลัวยิ่งนัก แม้จะเป็เพียงมวลพลังขนาดเล็ก แต่ก็สามารถบดขยี้เขาได้
โชคดีที่กล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตปล่อยพลังลึกลับออกมา และเส้นลมปราณแรกก็ตอบโต้อย่างดุเดือด สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เขายังไม่แตกสลาย
ทันทีที่หนิงเทียนเอื้อมมือคว้าประทีปดอกบัวขาว เขาก็เกือบจะคุกเข่าลงตรงนั้น พลังที่อธิบายไม่ได้กำลังกดทับเขาอย่างหนักจนแทบยกหัวไม่ขึ้น ทว่าในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ กล้วยไม้เซียนเก้าชีวิตกลับไม่มีปฏิกิริยาและไม่ช่วยเหลือเขาเลยแม้แต่น้อย
ถึงกระนั้นหนิงเทียนก็ไม่ได้ยอมสยบ เขาเบิกตากว้างอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง จิติญญาแห่งการต่อสู้พลุ่งพล่าน เขาคว้าประทีปดอกบัวขาวแล้วรีบฝืนกายออกจากถ้ำโบราณ
ทั้งร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาอ่อนแรงและเหนื่อยล้าอย่างยิ่ง จึงรีบหยิบหินิญญามาเติมเต็มความหิวโหยของตน
การเดินออกมานั้นเร็วกว่ายามที่เดินเข้าไป เพียงสามวันสามคืนเขาก็หลุดพ้นจากถ้ำโบราณได้ และทันทีที่ก้าวออกจากเขตยอดเขาลูกที่เก้า เขาก็หมดสติไปด้วยความอ่อนเพลีย
เยี่ยหลิงหลานอุ้มหนิงเทียนขึ้นมา พลันในใจของนางก็รู้สึกเจ็บแปลบอย่างอธิบายไม่ได้
“รากบ่มเพาะของเ้าเด็กนี่ชนะข้า”
ทันใดนั้น แววตาของเยี่ยหลิงหลานก็มีแสงประหลาดส่องประกาย นางจ้องมองไปยังประทีปดอกบัวขาว
“นะ...นี่คือ”
ขณะที่เยี่ยหลิงหลานกำลังดีใจจนเนื้อเต้น ดอกบัวดำก็ปรากฏขึ้น พลันให้แสงโดยรอบสลายไปอย่างรวดเร็ว
ประทีปดอกบัวขาวค่อยๆ โรยตัวลงบนบัวดำ ดอกหนึ่งดำดอกหนึ่งขาวเติมเต็มซึ่งกันและกัน จากนั้นเกสรบัวขาวก็เริ่มทอประกายแสง
ฟ้าดินสั่นะเืโดยพลัน ถิ่นทุรกันดารอันกว้างใหญ่กราดเกรี้ยว ภัยพิบัติจากฟากฟ้าพุ่งสูงเหนือเขาเฮยเสวียน เยี่ยหลิงหลานรีบเก็บดอกบัวดำด้วยความตื่นใ ทว่าความปีติยินดียังคงเด่นชัดบนใบหน้าของนาง
“สติปัญญาของข้าช่างเฉียบแหลมจึงรับศิษย์ที่ดีเช่นนี้ ของกำนัลนี้ข้าขอรับไว้ด้วยความยินดี” นางเก็บประทีปดอกบัวขาวอย่างไม่กระดากอาย จากนั้นก็คืนน้ำเต้าเจ็ดสีให้หนิงเทียน
หนิงเทียนลืมตาตื่นขึ้นมาหลังจากน้ำเต้ากลับเข้าสู่ร่าง เขาเห็นเพียงพืชพรรณสองข้างทางปลิวไสว และไม่นานก็พ้นเขตูเาเฮยเสวียน
“หือ? กลิ่นหอม... โอ๊ย!” ก่อนจะพูดจบ เขาก็ถูกเยี่ยหลิงหลานโยนลงมา
“ตื่นแล้วก็เดินเอง”
หนิงเทียนทั้งตะลึงและเสียใจ รู้เช่นนี้เขาน่าจะแกล้งหลับต่อไป
“ท่านอาจารย์ ประทีปดอกบัวขาวนั่น...”
“มันเป็ของข้า”
หนิงเทียนพูดไม่ออก ท่านอาจารย์ผู้งดงามช่างไร้ยางอายเหลือเกิน
“ข้าอยู่ในนั้นมานานเท่าใด?”
“สิบสองวัน”
หนิงเทียนตะลึง เส้นทางสู่ยอดเขาลูกที่เก้ามักทำให้เขารู้สึกแปลกๆ อยู่เสมอ แต่เขาก็ไม่อาจบอกได้ว่ามันคือความรู้สึกใด
เขากวาดตามองโดยรอบ ก่อนจะหันมองูเาเฮยเสวียนที่อยู่ด้านหลังและรู้สึกหดหู่เล็กน้อย สถานที่แห่งนี้ทำให้เขาได้รับความรุ่งโรจน์ แต่ก็ทิ้งความเ็ปรวดร้าวขนาดใหญ่ไว้ด้วยเช่นกัน
“ท่านพ่อ ท่านรอดูได้เลย ข้าจะล้างแค้นให้ท่านเอง!” สีหน้าของหนิงเทียนแสดงให้เห็นความมุ่งมั่น ตอนนี้เขาอยู่ขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นแรกแล้ว ถึงเวลาเรียกร้องความยุติธรรมจากตระกูลซู!
เยี่ยหลิงหลานเดินตามอยู่ไกลๆ นางรู้ว่าหนิงเทียนคิดจะทำสิ่งใด แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
หนิงเทียนกลับเมืองเสวียนซานอย่างกระตือรือร้นและตรงไปยังจวนตระกูลซูทันที แต่ทุกอย่างกลับอยู่เหนือความคาดหมายของเขา
จวนตระกูลซูยังคงอยู่ ทว่าซูอู่และเ้าเยี่ยนเหมยกลับหายตัวไป
“พวกมันอยู่ที่ใด?” หนิงเทียนคำราม เขาไม่สามารถยอมรับผลเช่นนี้ได้
“สามวันหลังจากคุณหนูไปถึงสำนักหานเทียนก็พบกับปาฏิหาริย์และได้รับการยกย่องจากสำนักหานเทียน เมื่อสามวันก่อนทางสำนักจึงส่งคนมารับนายท่านและฮูหยินไปขอรับ”
หนิงเทียนคลุ้มคลั่ง นางหญิงต่ำช้านั่นพาครอบครัวหนีไปเร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว!
“ซูอวิ๋น ข้าไม่มีวันอภัยให้เ้า!”
ความโกรธของเขาพุ่งสูงจนลมพายุส่งเสียงโหยหวน บ่าวรับใช้ของตระกูลซูต่างหวาดกลัวจนตัวสั่น
“แล้วซูิเยวี่ยเล่า?”
ขณะหนิงเทียนกำลังสับสนร่างหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจ นางคือผู้ใช้เรือนร่างบริสุทธิ์กำจัดพิษไฟให้เขา ทั้งยังช่วยเขาปลุกพลังของกล้วยไม้เซียนเก้าชีวิต
“คุณหนูใหญ่หายตัวไปั้แ่สิบวันก่อน นายท่านพยายามตามหาทั่วเมืองเสวียนซานแล้ว ทว่าไม่มีผู้ใดพบนางเลยขอรับ”
“หายตัวไป?”
หนิงเทียนค่อนข้างสับสนทั้งยังกังวลเล็กน้อย แต่เขาก็ปฏิเสธที่จะยอมรับมัน
“หวังว่านางจะยังมีชีวิตอยู่”
หนิงเทียนหันหลังกลับและมุ่งหน้าไปเรือนบรรพบุรุษตระกูลหนิง ทันใดนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่ามีหลุมศพไร้ป้ายชื่อตั้งอยู่
เ้าของหลุมนั้นคือหนิงหยางผู้เป็บิดาของตน ใต้ดินไร้โลงศพ ร่างกายเน่าเปื่อยสลายไป
นางเป็ผู้ทำสิ่งนี้หรือ?
อารมณ์ซับซ้อนพุ่งเข้ามาในหัวใจ หนิงเทียนยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเป็เวลานาน
“หากเ้าอยากแก้แค้นจริงๆ ข้าทำแทนเ้าได้นะ” เสียงของเยี่ยหลิงหลานดังเข้ามาในหู จิตใจของเขาสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง
ทว่าความแค้นที่เขามีต่อตระกูลซูนั้นฝังลึกถึงขั้นไม่อยากอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน เื่เช่นนี้จะปล่อยให้ผู้อื่นจัดการได้อย่างไร?
“ข้าอยากแก้แค้นด้วยตัวเอง ข้าจะต้องตัดหัวหญิงผู้นั้นด้วยมือของข้าเอง!” หนิงเทียนสาบานต่อหน้าหลุมศพบิดาว่าเขาจะสังหารศัตรูทั้งหมดด้วยตนเอง
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ” เยี่ยหลิงหลานหันหลังกลับ ร่างของนางเปรียบเหมือนิญญาใต้แสงอาทิตย์ ทุกบริเวณที่นางผ่านล้วนก่อเกิดมวลอากาศบิดเบี้ยว
“ไปไหนหรือ?”
“ไปฝึกสิ หากไม่ฝึกฝนทักษะให้ดี เ้าจะไปแก้แค้นได้อย่างไร? การบุกสำนักหานเทียนด้วยความแข็งแกร่งแค่นี้ ไม่เพียงพอที่จะอุดฟันคนด้วยซ้ำ”
หนิงเทียนเหลือบมองเรือนหลังเก่าอย่างลังเลเล็กน้อยก่อนจะตามเยี่ยหลิงหลานไป
“เราจะไปสำนักวั่นจื๋อหรือ?”
“เ้าฝันหวานเกินไปแล้ว ประตูสำนักวั่นจื๋อจะเปิดรับเฉพาะผู้ที่เข้าสู่ขอบเขตเปลี่ยนผ่านแล้วเท่านั้น เ้าต้องเข้าสำนักร้อยบุปผาเพื่อทำความคุ้นเคยเสียก่อน แล้วรอจนกว่าเ้าจะเข้าสู่ขอบเขตที่สูงพอ”
“ท่านอาจารย์ ท่านมีศิษย์คนอื่นอีกหรือไม่? ท่านเพลิดเพลินกับความสุขภายในสำนักวั่นจื๋อ ทว่ากลับโยนข้าไปทรมานในสำนักร้อยบุปผา นี่มันไม่ถูกต้อง”
“แม้์จะประทานความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงให้ผู้คน ทว่าเ้าก็ต้องพยายามอย่างหนักด้วยกายและใจของตนเสียก่อน ทั้งยังต้องเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูกให้แข็งแรง ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อตัวเ้าเอง หากไม่ประสบลมฝนเ้าจะเห็นสายรุ้งได้อย่างไร?” เยี่ยหลิงหลานไร้ซึ่งความประหม่า นางตอบพลางยึดกำไลหยกหยวนมาจากหนิงเทียนด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน
“รากบ่มเพาะกับหินิญญาของข้า! โปรดคืนข้ามา!”
“เมื่อไปถึงสำนักร้อยบุปผาเ้าจะไม่สามารถใช้รากบ่มเพาะเหล่านี้ได้ ในฐานะอาจารย์ ข้าจะเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ให้เ้าเอง”
“เหตุใดถึงใช้ไม่ได้? พวกมันล้วนนำไปแลกเป็หินิญญาได้”
“ด้วยความสามารถของเ้า เ้ายังขาดหินิญญาอีกหรือ?”
เยี่ยหลิงหลานยึดรากบ่มเพาะทั้งหมดไปแล้วโยนกำไลคืนให้หนิงเทียน
“เ้าอยากให้ข้าหาเองหรือ? สำหรับข้านี่คือธรรมเนียมอันทรงเกียรติของศิษย์กับอาจารย์นะ”
หนิงเทียนทำหน้ามุ่ย นางมารผู้นี้ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก
“ไปกันเถอะ ข้าจะพาเ้าไปเมืองไป่หลิง”
---------------------------------------
[1] ชุ่น (寸) เป็คำบอกระยะทางของจีน โดย 1 ชุ่น เท่ากับ 1 นิ้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้