“มิใช่มีคนบอกว่า นายท่านน้อยเป็กาลกิณี ผู้ใดเข้าใกล้ล้วนต้องตายหรอกหรือ”
“ผู้ใดว่ากัน หน้าไม่อายเสียจริงๆ! นายท่านน้อยเป็คนดีเพียงนั้น จะเป็กาลกิณีได้อย่างไร”
“หากมิได้นายท่านน้อยพาหมอเทวดามาตรวจรักษาท่านชายได้ทันการณ์ ครานี้ท่านชายคงย่ำแย่แน่แล้ว”
หลายวันมานี้ในเรือนหลังมีคนร่ำลือกันว่า เจียงชิงอวิ๋นเป็คนอัปมงคล ผู้ใดอยู่ใกล้เขาก็จะอับโชค ที่ครานี้โจวโม่เสวียนเจ็บหนักและเกือบถูกม้าเหยียบตาย ก็เพราะมักไปเยี่ยมเจียงชิงอวิ๋น จึงได้ความอัปมงคลมานั่นเอง
ผู้ใดจะรู้ว่าคนที่เจียงชิงอวิ๋นพามาจะช่วยชีวิตโจวโม่เสวียนเอาไว้ได้ คนเหล่านี้จึงประหนึ่งถูกตบหน้าจนรู้สึกเ็ปไปหมด
เวลาเที่ยง โจวตงยกถาดอาหารเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าไม่สบายใจ เห็นโจวโม่เสวียนกำลังนั่งทานผลไม้อยู่บนเก้าอี้ยาว จึงเดินเข้าไปคุกเข่า กล่าวว่า “ท่านชายพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่กระหม่อมเข้าไปในห้องครัวได้ยินคนบอกว่า…”
โจวซียืนอยู่ข้างๆ ก้มหน้าลงบอกว่า “กระหม่อมก็เคยได้ยินคนเอ่ยถึงนายท่านน้อยในทางที่ไม่ดีเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
พลันแววตาของโจวโม่เสวียนก็มีประกายความไม่พอใจขึ้นมา กล่าวเสียงเย็นว่า “คนเหล่านี้พูดจาให้ร้ายท่านอาน้อยไม่ใช่แค่คราเดียว พวกเขาช่างน่าชิงชังยิ่งนัก!”
โจวตงเอ่ยอย่างมีโทสะว่า “นายท่านน้อยเป็หลานฝ่ายพระมารดาขององค์ไท่เฟย พวกเขาทำเช่นนี้กับนายท่านน้อยก็เท่ากับไม่เคารพต่อองค์ไท่เฟยนะพ่ะย่ะค่ะ”
โจวโม่เสวียนรู้สึกว่าเื่นี้ไม่เป็ธรรมต่อเจียงชิงอวิ๋น และเขาก็อยากปกป้องพระเกียรติของฉินไท่เฟย แต่คนเหล่านี้ล้วนมีนายของตน ใช่ว่าเขาจะสามารถจัดการได้ หนำซ้ำพระมารดาของเขาก็กำลังตั้งครรภ์ หากเขาโจมตีนายของคนเ่าั้โดยตรง ไม่แน่ว่านายของคนเ่าั้อาจจะมาเอาคืนที่พระมารดาของเขาก็เป็ได้
ทว่าเื่ที่เขาทำไม่ได้กลับมีคนทำได้
ในวันเดียวกัน โจวโม่เสวียนอาศัย่ที่โจวปิงมาเยี่ยมเขา รำพึงสะอึกสะอื้นว่า “เสด็จพ่อ ลูกล้มเจ็บมาหลายวัน มีคำร้ายๆ มาถึงหูล้วนเป็การว่าร้ายต่อท่านอาน้อยทั้งสิ้น ท่านอาน้อยมีบุญคุณช่วยชีวิตลูก ลูกรู้สึกเสียใจนักพ่ะย่ะค่ะ”
“คำพูดอันใด”
โจวโม่เสวียนถ่ายทอดถ้อยคำเ่าั้ออกมาทั้งน้ำตา แต่ก็ฉลาดพอที่จะไม่เอ่ยถึงชื่อเสียงเรียงนาม แต่โจวปิงเป็ผู้ที่เคยประสบกับเื่ราวเหล่านี้มานับครั้งไม่ถ้วนกว่าจะได้ตำแหน่งอ๋องมา เพียงชั่วครู่ก็นึกได้ว่าคนเ่าั้เป็ผู้ใด
โจวโม่เสวียนเห็นว่าโจวปิงมีสีหน้าเคร่งขรึมดั่งเมฆที่กำลังจะมีหยาดฝนโปรยลงมา จึงเอ่ยขึ้นว่า “ก่อนนี้ คนเ่าั้ก็เคยเอ่ยคำทำนองเดียวกันมาแล้ว ซ้ำยังไปถึงหูของท่านอาน้อยด้วย เสด็จย่าก็ทรงทราบอยู่บ้าง เพียงแต่ท่านอาน้อยไม่อยากให้เสด็จย่าทรงกริ้ว จึงจำเป็ต้องบอกกับเสด็จย่าว่า ไม่มีเื่นี้เกิดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“มิน่าเล่า ท่านอาน้อยของเ้าจึงไม่อยู่ในจวนของเรา แต่จะต้องไปอยู่ที่อำเภอฉางผิงเสียให้ได้ และในหลายวันนั้นพอเสด็จย่าของเ้าเห็นหน้าพ่อ ก็มีท่าทีอึกๆ อักๆ ที่แท้เพราะมีเงื่อนงำดังนี้เอง” ในใจของโจวปิงก็เกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา เมื่อคิดว่าเจียงชิงอวิ๋นผู้ไร้ที่พึ่งพิงต้องถูกโจมตีและวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหนาดั่งถูกคมมีดกรีด และเมื่อนึกไปถึงพระมารดาที่ต้องประสบกับความลำบากนานาประการกว่าจะเลี้ยงดูตนจนเติบใหญ่ และหนุนให้ตนได้ครองตำแหน่งอ๋อง ก็ยิ่งรู้สึกผิดเกินจะหาสิ่งใดเปรียบ
โจวโม่เสวียนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเศร้าว่า “เมื่อครู่ท่านอาน้อยยังบอกกับข้าด้วยว่า จะไม่มาฉลองปีใหม่ในจวนของเราพ่ะย่ะค่ะ”
สิ่งแรกที่โจวปิงทำหลังจากก้าวออกจากเรือนของโจวโม่เสวียนก็คือ มีบัญชาให้ พ่อบ้านใหญ่ไปสืบเื่นี้ให้ถึงที่สุด
โจวปิงดำรงตำแหน่งเป็ถึงอ๋องแห่งแคว้น ทั้งยังเป็จอมทัพแห่งกองทัพเยี่ยน จึงจดจ่ออยู่กับบ้านเมืองและการทหาร น้อยนักจะมาดูแลเื่ในเรือนหลัง แต่ครานี้เขาบันดาลโทสะแล้วจริงๆ
พ่อบ้านใหญ่ทำการสืบสวนอย่างละเอียดในทันที ไม่ละเว้นแม้สักคน
พอไปสืบก็ได้ตัวมาถึงสามสิบเจ็ดคน
เมื่อเื่ราวเปิดเผยขึ้น คนเหล่านี้ก็้าการลดหย่อนโทษจึงทำตัวเป็ดังสุนัขกัดกันเอง ประจานกันไปมา จางซานขโมยของในจวนอ๋องออกไปข้างนอก หลี่ซื่อหลับนอนกับสาวใช้ขั้นสามในตำหนักของพระชายารองต่างๆ นานา พบเื่งามหน้าแสนโสมมตั้งมากมาย
ในสามสิบเจ็ดคนนี้มีสามคนที่เป็พ่อบ้าน พวกเขาเป็บ่าวติดตามหลังแต่งงานที่พระชายารองพาเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องด้วย ยังมีอีกสี่คนที่เป็สาวใช้ขั้นหนึ่ง ซึ่งพวกนางก็เป็บ่าวติดตามหลังแต่งงานของพระชายารองและเหล่าอนุด้วยเช่นกัน
โจวปิงอ่านคำสารภาพไปสีหน้าก็ยิ่งมืดมนลงเรื่อยๆ พออ่านจบก็บอกไปเพียงคำหนึ่งว่า “แขวนคอ”
ไม่ว่าผู้ใดจะวิงวอนร้องขอก็ไม่เป็ผล ทั้งสามสิบเจ็ดคนถูกกองทหารแห่งจวนอ๋องคุมตัวไปยังห้องมืดที่ลับตาผู้คน ปิดปากแล้วจับแขวนคอตายทั้งหมด
ส่วนนายของพวกเขา ซึ่งก็คือพระชายารองทั้งสี่และอนุในเรือนหลังก็ถูกโจวปิงลงโทษด้วยการกักบริเวณหนึ่งร้อยวัน และให้คัดพระไตรปิฎกสามร้อยจบ
ปีนี้พระชายารองทั้งสี่และเหล่าอนุไม่ได้อยู่ดี โอรสธิดาของพวกนางก็ต้องพลอยโชคร้ายไปด้วย และต้องมีชีวิตอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
เื่เหล่านี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องอันใดกับหลี่หรูอี้ คนที่เกี่ยวข้องกับนางคือ เจียงชิงอวิ๋น ในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่เขากลับจากจวนเยี่ยนอ๋องและมาถึงตัวอำเภอฉางผิง ก็มาที่บ้านหลี่เพื่อมอบของกำนัลชิ้นงามจากจวนเจียงและจวนเยี่ยนอ๋อง เพื่อขอบคุณที่นางช่วยชีวิตโจวโม่เสวียนเอาไว้
เจียงชิงอวิ๋นไปพักอยู่ที่จวนเยี่ยนอ๋องห้าวันเต็มๆ จนไม่มีพยาธิในของเสียที่โจวโม่เสวียนถ่ายออกมาแล้วจึงค่อยจากมา
“อาการเจ็บป่วยของหลานชายข้าหายดีแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” เด็กหนุ่มที่ดีเพียงนั้น หากต้องมาตายเพราะถูกพยาธิเจาะท้องเป็รูก็ทั้งน่าเสียดายและน่าสงสารยิ่งนัก
“วิชาแพทย์ของเ้าเก่งกาจกว่าที่ข้าคิดไว้มาก สมกับฉายาท่านหมอเทวดาน้อยที่ร่ำลือจริงๆ” ในน้ำเสียงของเจียงชิง อวิ๋นเปี่ยมด้วยความนับถือและซาบซึ้งใจ
ก่อนนี้เจียงชิงอวิ๋นเคยเข้าใจสกุลหลี่ผิดไป ด้วยนึกว่าชื่อเสียงของหลี่หรูอี้เป็เื่ที่สกุลหลี่กุขึ้น เพราะ้าแสวงหาความร่ำรวย หารู้ไม่ว่าเขาคิดผิดเสียแล้ว
ยามที่เด็กหญิงตัวน้อยตรงหน้าเขาอยู่ที่จวนเยี่ยนอ๋องที่มั่งคั่งล้นฟ้า ก็หาได้ประสงค์จะยกฐานะตนไม่ แต่กลับรีบลงมือรักษาให้เสร็จสิ้นแล้วรีบจากไป วิชาแพทย์ล้ำเลิศ คุณธรรมสูงส่ง
หลี่หรูอี้เอ่ยอย่างถ่อมตนว่า “บังเอิญว่าข้ารักษาโรคที่คนเจ็บเป็ได้เท่านั้นเอง”
ในโลกก่อน ผู้คนมากมายคิดว่าแพทย์แผนจีนไม่ดีเท่าแพทย์แผนตะวันตก ซึ่งความจริงแล้วหาได้เป็เช่นนั้นไม่
ในความคิดของหลี่หรูอี้นั้นทั้งแพทย์แผนจีนและแพทย์แผนตะวันตกต่างก็มีข้อดีของตน
ตามความเข้าใจของนาง แพทย์ในสมัยโบราณล้วนเริ่มเรียนวิชาแพทย์ั้แ่ยังเป็เด็กเล็กๆ เรียนรู้เื่สมุนไพร การปรุงยา การจับชีพจร และจุดชีพจร ซึ่งต้องร่ำเรียนอย่างน้อยสิบปีจึงจะเรียนจบ จากนั้นก็อาศัยการลงมือปฏิบัติจริง ค่อยๆ สั่งสมประสบการณ์ทางวิชาแพทย์ จึงจะสามารถมารักษาคนได้
แพทย์แผนจีนในปัจจุบัน ล้วนอายุสิบแปดปีและเข้ามหาวิทยาลัยแล้วจึงมาเริ่มเรียนวิชาแพทย์ เพียงเรียนได้สี่ห้าปีก็เริ่มมารักษาคนแล้ว ดังนั้นเมื่อพื้นฐานไม่แน่น วิชาแพทย์ย่อมใช้ไม่ได้
หากแพทย์ในยุคโบราณได้มาอยู่ในยุคปัจจุบัน ทุกคนก็สามารถเป็แพทย์เลื่องชื่อกันได้ทั้งนั้น หาได้ด้อยไปกว่าแพทย์แผนตะวันตกแต่อย่างใด
เจียงชิงอวิ๋นเอ่ยในทำนองเยาะตนว่า “คราก่อนเป็นิ่วในถุงน้ำดี ครานี้เป็พยาธิเจาะถุงน้ำดี เหตุใดถุงน้ำดีของคนที่ข้ารู้จักจึงเป็โรคกันหมด”
หลี่หรูอี้ยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “จริงด้วย ท่านไม่พูดข้าก็ไม่ได้นึกถึง โรคของคนเจ็บทั้งสองท่านล้วนเกี่ยวข้องกับถุงน้ำดีทั้งสิ้น”
“เคราะห์ดีที่พวกเขาได้มาพบเ้า”
แต่หลี่หรูอี้กลับบอกว่า “ไม่เ้าค่ะ เคราะห์ดีที่พวกเขาได้พบท่านเ้าค่ะ”
เจียงชิงอวิ๋นอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ ชี้นิ้วมาที่จมูกโด่งของตน “เ้าว่ามาแบบนี้ คนไม่รู้จะทึกทักว่าข้าเป็หมอ เทวดาเอาน่ะสิ”
หลี่ซานกำลังสาละวนอยู่ในโรงทำเต้าหู้ที่เรือนด้านหลัง แต่เมื่อได้ยินว่า เจียงชิงอวิ๋นมาก็รีบออกมาทักทายและยังยกบัวลอยถ้วยหนึ่งจากในครัวมาวางไว้บนโต๊ะข้างๆ เจียงชิงอวิ๋นด้วย พลางกล่าวว่า “นายท่านเจียงขอรับ รับประทานบัวลอยข้าวหมาก[1] ให้อบอุ่นร่างกายก่อนขอรับ”
เจียงชิงอวิ๋นลุกขึ้น กล่าวว่า “ท่านอา วันหน้าเรียกชื่อข้าเป็พอ อย่าเรียกว่านายท่านอีกเลย”
หลี่ซานซาบซึ้งใจยิ่งนักที่ได้รับความสนิทสนมเช่นนี้ “เอ่อ…”
หลี่หรูอี้ขยิบตาให้หลี่ซานบอกว่า “เคารพมิสู้เชื่อฟัง ท่านพ่อเ้าคะ ทั้งท่านและท่านแม่ก็เรียกเขาว่า ชิงอวิ๋นเถิดเ้าค่ะ”
“ตกลง ชิงอวิ๋น” หลี่ซานเรียกไปคำหนึ่ง และรู้สึกว่าชื่อนี้ไพเราะเหลือเกิน เมฆาแจ่มสูงส่ง ทรงพลังจริงๆ
จากนั้นเจียงชิงอวิ๋นก็เอ่ยกับเด็กชายบ้านหลี่ทั้งสี่ที่กำลังหน้าชื่นตาบานว่า “วันหน้าพวกเ้าก็อย่าเรียกข้าว่าอาจารย์ ให้เรียกข้าว่าพี่เหมือนที่หมอเทวดาน้อยเรียกพวกเ้า”
บ่าวชราและหลานชายของเขาล้วนได้หลี่หรูอี้ช่วยชีวิตเอาไว้ และพี่ชายของหลี่หรูอี้ก็ยังนับเป็ดั่งศิษย์ของเขาด้วย
เขารู้สึกว่าตนมีวาสนากับสกุลหลี่จริงๆ
หลี่ฝูคังถามขึ้นด้วยสีหน้าเหลือเชื่อว่า “จะใช้ได้ได้อย่างไร
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] บัวลอยข้าวหมาก เป็ของหวานประเภทน้ำชนิดหนึ่ง บัวลอยจีนลูกใหญ่มีไส้อยู่ข้างใน ต้มกับข้าวหมากที่มีรสหวาน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้