“ พวกเ้าซื้อข้าวของมาเยอะขนาดนี้เลยรึ ไหนบอกจะสร้างบ้านกันกลับมาเสียสายเลย คนที่จะมาช่วยสร้างบ้านพากันไปตัดต้นไม้ชายป่าแล้ว” เสียงภรรยาพรานป่าดังขึ้น เมื่อเห็นทั้งหมดเดินหิ้วของพะรุงพะรังเข้ามาในบ้าน
“ ขนเข้ามาในบ้านนี้ก่อน รอสร้างบ้านเสร็จเมื่อไหร่ค่อยขนกลับไป”
“ ท่านป้าของพวกนี้ต้องฝากไว้ที่นี่เ้าค่ะ มีข้าวขาวแป้งธัญพืชและเครื่องปรุง ต้องรบกวนท่านป้าทำอาหารพวกเราทำไม่เป็เ้าค่ะ”
“ ซื้อมาเยอะขนาดนี้เลยรึ อย่างงั้นก็ช่วยกันขนเข้าไปไว้ในห้องครัวเลยเดี๋ยวป้าจะช่วยจัดเก็บให้”ทั้งหมดขนข้าวของไปเก็บที่ห้องครัว
“ เราจะอยู่ด้วยกันอีกนาน ข้าเป็พรานป่าพวกเ้าก็เรียกข้าว่าลุงซางส่วนภรรยาข้าป้าผิง พวกเ้าล่ะมีชื่อกระไร กันบ้างข้าจำแต่เ้าเด็กน้อยคนนี้ได้เพราะได้ยินพวกเ้าเรียกว่าซิงเยียน”
“ ท่านลุงซางป้าผิง ข้ามีนามว่ามู่เฉิน ส่วนคนนี้เฉิงกวง ิเจือและตัวเล็กในกลุ่มผู้ชายคือหวังเว่ย ขอรับ”
“ดีๆ รีบกินข้าวกินน้ำกันและไปตัดต้นไม้มาปลูกกระท่อมกัน ข้าทำกับข้าวไว้หมดแล้ว” ป้าผิงพูดและพาทุกคนไปยัง แคร่ไม้ไผ่ที่นั่งกินข้าวกลางแจ้งอยู่ข้างบ้าน
วันนั้นผู้ชายเข้าป่าไปช่วยลุงซางตัดต้นไม้ที่มีชายฉกรรจ์สี่คนตัดรอไว้อยู่แล้ว ส่วนซิงเยียนและป้าผิงช่วยกันไปเก็บเกี่ยวหญ้าที่จะต้องเอามาทำหลังคาบ้าน
พอถึง่เย็นกระท่อมหลังน้อยก็สร้างเสร็จ มีสองห้องนอนที่ใหญ่หนึ่งเล็กหนึ่งให้พวกเขาได้นอนกัน ต่างหลับใหล เหมือนสลบเพราะเหนื่อยทั้งวัน
“ พวกเ้าชายหนุ่มทั้งสี่คน ให้ไปกับข้าด้านหลังต้นไม้ ที่มีหุ่นฟางตั้งอยู่ให้ซ้อมฝึกดาบที่นั่น”ลุงซางมาเรียกทุกคนั้แ่ฟ้าสาง ซิงเยียนรีบลุกตามนางมีมีดเล็กต้องฝึกเหมือนกัน
“ เด็กน้อยธนูของเ้าไว้่สายค่อยไปฝึก ถ้าเ้าสนใจการใช้ดาบก็ไปฝึกรวมกับพวกเขาได้”ลุงซางพูดกับซิงเยียน
ลุงซางเห็นซิงเยียนมีความสนใจ จึงเอากระบี่ไม้ที่เคยให้ลูกชายฝึก ตอนนี้ไปมีครอบครัวอยู่ในเมืองแล้วมาให้ซิงเซียนถือฝึกเล่น
ซิงเยียนที่เคยเห็นคนที่นางตามในโลกอนาคต ฝึกทักษะการเรียนกระบี่เพียงแต่นางจับต้องไม่ได้เท่านั้น ลุงฟางถึงกลับแปลกใจที่เด็กน้อยจับกระบี่ไม้ครั้งแรกก็มีทักษะในการใช้แล้ว
“ เ้าเก่งมากซิงเยียน ไม่น่าเชื่อว่านี่คือการจับกระบี่ครั้งแรกของเ้า ถ้ามีวิชาตัวเบาเสริมด้วยอีกสักหน่อยฝีมือเ้าก็จะดีเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า”
หันมาทางชายหนุ่มทั้งสี่ที่จับดาบเป็ครั้งแรกผ่านไปแค่หนึ่งชั่วยาม แขนพวกเขาแทบยกไม่ขึ้น เพราะดาบที่มีน้ำหนักและต้องยกขึ้นลง
“ พบเ้าต้องขยันฝึกซ้อมนะแรกๆก็เป็แบบนี้แหละ ไม่เกินเจ็ดวันพวกเ้าก็จะชินเองและสามารถใช้ดาบได้ดีขึ้น”
“ซิงเยียน เ้าเอาธนูมาฝึกยิงได้แล้วเป้าธนูอยู่ที่หลังบ้าน”ลงซางพูดแล้วก็เอามือไขว้หลังเดินไปยังหลังบ้าน
“ ทักษะในการยิงปืนช่วยอะไรไม่ได้กับการยิงธนูเลย ที่เหมือนกันก็คือแค่สมาธิเท่านั้น ไม่เหมือนกับการใช้กระบี่”ซิงเยียนพูดขณะยืนบีบนวดแขนตัวเอง
“ เด็กน้อยเ้าต้องขยันฝึก ธนูเป้าไม่แน่นอนเ้าต้องดูหลายอย่างประกอบไหนจะทิศทางลม ความหนักเบาของลูกธนูที่จะวิ่งไปยังเป้าหมาย ต้องฝึกให้เหมือนกับมันคือส่วนหนึ่งของจิติญญา”
“ ตอนเล็งเป้าเ้าต้องคิดไปด้วย ว่าลูกธนูที่เ้าส่งออกไป มันจะไปถึงเป้าที่เ้ายิงหรือว่าแฉลบออกไป ใกล้หรือไกล ที่ขาดไม่ได้ก็คือสมาธิและสายตาที่เฉียบคมยิ่งเป็เป้าที่เคลื่อนที่ได้ เ้าต้องคาดเดาด้วยว่าเป้าของเ้าจะขยับไปด้านไหน”
ลุงซางเดินไปดู กลุ่มชายหนุ่มฝึกดาบอยู่อีกด้านหนึ่ง ทิ้งให้ซิงเยียนซ้อมยิงธนู มือที่ยิงดึงสายธนูจนเริ่มปวดเมื่อย ขาที่ต้องเดินไปเก็บลูกธนูก็เหนื่อยจึงนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้และหลับไป
“ฮ่าฮาฮา! พวกเราดูเหนื่อยขนาดไหนเราก็คงไม่หนีหลับแบบเด็กคนนี้หรอกนะ” เสียงหัวเราะของเด็กหนุ่มทั้งสี่ ทำให้ซิงเยียนลืมตาขึ้นมา
“ โอ๊ะ! ข้าเผลอหลับไปหรือนี่ พวกท่านฝึกซ้อมกันเสร็จแล้วรึ ถึงได้มายืนหัวเราะอยู่ที่นี่”
“ เ้าไม่ดูเวลาเสียเลย นี่มันใกล้จะมืดแล้วเ้าแม้กระทั่งอาหารมื้อเที่ยงก็ไม่กิน ลุงซางไปช่วยชาวบ้านใกล้ๆกันนี้จับหมูป่าที่มากินพืชผัก ข้าคิดว่าเ้าฝึกจนไม่หิวแล้วไปกินทีหลัง เพิ่งรู้จากป้าผิงว่าเ้าไม่ได้กลับไปกินข้าว เลยพากันมาดู”มู่เฉิน พูดพร้อมกับเดินดูเป้าที่ซิงเยี่ยมยิงลูกธนูปักอยู่ยังไม่ได้เก็บ
“ เป้ายังห่าง เ้าต้องขยันฝึกกว่านี้แล้วซิงเยี่ยม ถ้าเอาแต่แอบหลับเมื่อไหร่จะเป็พวกเรามีเวลาไม่มากนะ”
“ ข้าขยันอยู่แล้วน่า นี้แค่วันแรกเองวันต่อไป ข้าต้องเก่งกว่านี้อย่างแน่นอน ว่าแต่พวกท่านเถอะดูหน้าตาไม่ต่างจากข้าเท่าไหร่ คงจะเหนื่อยไม่แพ้กัน”
“ ท่านลุงซางไปช่วยข้างบ้านจับหมูป่ายังงั้นหรือ แสดงว่าแถวนี้ต้องมีหมูป่าอาศัยอยู่เยอะเป็แน่ ข้าจะรีบฝึกยิงธนูให้แม่นแล้วออกไปล่าหมูป่ากับลุงซาง มาไว้เป็เสบียงของพวกเราเวลาเดินทาง”
“ กลับบ้านกันเถอะอาบน้ำกินข้าวพักผ่อน พรุ่งนี้ค่อยออกมาฝึกกันแต่เช้า”มู่เฉินเก็บลูกธนูมายื่นคืนให้ซิงเยียน
ซิงเยียนนอนพลิกไปมานางนอนกลางวันไปแล้ว ทำให้นอนไม่หลับ“ไหนๆก็นอนไม่หลับจุดเทียนอ่านหนังสมุนไพรดีกว่า”
“ อ่านดีๆ ทำไมชื่อสมุนไพรมีแต่แปลกๆ ทั้งนั้นเลยล่ะตอนซื้อ อ่านหลายเล่มแต่เล่มนี้มีภาพประกอบ และมีชื่อสมุนไพรอยู่เยอะ”
“ ทั้งเล่มรู้จักแค่โสมที่รูปร่างคล้ายกับมนุษย์เท่านั้น คงซื้อมาผิดเล่มแล้วพรุ่งนี้ต้องเอาไปถามลุงซางดู”เมื่อไม่รู้ซิงเยียนดับเทียนนอน
“ลุงซางว่าสมุนไพร ที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้แปลกไหมเ้าค่ะ ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนกันล่ะ”
“สมุนไพรในหนังสือเล่มนี้ เป็สมุนไพรที่หายากมากและมีราคาแพง เ้าไม่รู้จักก็ไม่แปลกหรอกเพราะบางตัวข้าที่มีอายุปูนนี้แล้วก็ยังไม่รู้จักเหมือนกัน”
“ อย่างงั้นเลยเ้าคะ ข้านึกว่าซื้อมาผิดเล่มเสียแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะศึกษาทั้งสมุนไพรและฝึกธนูและกระบี่เ้าค่ะ”
“ พี่ชายทั้งสี่หากใครสนใจเื่สมุนไพรก็มาสับเปลี่ยนกันอ่านและศึกษาได้นะเ้าคะ”
“ พวกเราแต่แรกก็เป็แค่ชาวบ้านธรรมดา ตำราพออ่านออกเขียนได้ เจอคำยากในหนังสือ ที่ลองเปิดดูแล้วข้า เอาไว้ดูต้นจริงตอนที่เ้าหาได้ก็แล้วกันภาพประกอบก็มองผ่านๆเอา”
“ แล้วแต่พวกท่านเถอะเ้าค่ะ แต่ข้าอยากให้ทุกคนช่วยกันเปิดดูรูปและช่วยจำถ้าไม่อยากอ่านสรรพคุณ”
ทั้งห้าคนตื่นเช้ามาฝึกฝนทุกวันจนเข้าที่เจ็ด ร่างกายเริ่มชินกับการฝึกซ้อมทุกวันทำให้ฝีมือพวกเขาก้าวหน้าขึ้น
“ หากพวกเ้าฝึกครบสิบห้าวันแล้ว ข้าจะพาพวกเ้าไปล่าหมู่ป่าในป่าที่อยู่ติดหมู่กับหมู่บ้านข้างๆนี้ ตอนนี้พวกเ้าต้องฝึกวิ่งด้วย จะได้มีแรงหลบหลีกเวลาเจอหมูป่าวิ่งไล่”
“จริงหรือเ้าคะข้าจะตั้งใจฝึกยิงธนูฝึกวิ่งและซ้อมกระบี่เ้าค่ะ พี่ชายทั้งสี่ว่าอย่างไง หากพวกเราจะลุกมาวิ่งั้แ่เช้ามืด”
“พวกเราต้องตื่นมาวิ่งอยู่แล้ว ว่าแต่เ้าเถอะอย่านอนตื่นสายล่ะ”เฉิงกวงพูดขึ้น
“ที่ข้าบอกพวกท่าน ก็เพราะ้าให้ปลุกข้ามาวิ่งนี่แหละถึงได้บอกพี่ชายอย่างไรละ ข้าเป็เด็กต้องกินต้องนอนให้เต็มที่”
“ได้ข้าจะเป็คน ลากเ้าออกจากที่นอนเอง”มู่เฉินพูดพร้อมกับดึงแขนเสื้อขึ้น
ทุกเช้ามืดทั้งห้าคนต้องลุกมาวิ่งจากบ้านลุงซาง มาถึงตีนเขาสี่ลี้(2 กิโลเมตร) วิ่งไปกลับวันละห้ารอบ เรียนฟันดาบและซิงเยียนซ้อมยิงธนู
สิบห้าวันต่อมา ลุงซางพาที่ห้าคนพร้อมอาวุธ เดินทางไปยังหมู่บ้านข้างๆตามรอยเท้าหมู่ป่า ที่เข้ามากัดกินพืชผักของชาวบ้าน เข้าไปในป่าที่ลึก
ภาพหมูป่านอนอยู่ใต้ต้นไม้ที่เป็หลุมตื้น สิบกว่าตัวแม้จะมองจากที่ไกลๆทั้งห้าคนก็ขาสั่น ขนาดสามตัวยังวิ่งหนีแทบไม่ทัน
“พวกเ้าตั้งสติให้ดี นี้ขนาดเราเป็ผู้ล่าพวกเ้ายังกลัวขนาดนี้ ถ้าเป็ฝ่ายถูกล่าล่ะ แล้วยังดุร้ายอย่างเช่น หมี เสือ สุนัขหมาป่าพวกเ้าจะทำอย่างไรกัน”ลุงซางพูดด้วยเสียงอันเบา ก่อนจะค่อยๆย่องไปยังหมูป่าที่นอนอยู่
ซิงเยียนเอาคันธนูออกมาเตรียมพร้อม เมื่อเห็นลุงซางเอาธนูออกมา“พอข้ายิงหมูพวกมันจะ แตกตื่นใพวกเ้า เตรียมตัว”
“ฉึก!!อี๊ดดด!!!”
เสียงกรีดร้องเล็กแหลมดังลั่นป่า หมูป่าที่นี่เป็พันธุ์ที่ดุร้ายมาก พวกมันไม่กลัวขนาดหมูป่าด้วยกันล้มเือาบอยู่ใกล้ๆ ตัวที่เหลือวิ่งเข้าไล่คนทั้งหก ที่กระจายกันซ่อนตัวอยู่
ซิงเยียนทีแรกยืนแอบอยู่ต้นข้างต้นไม้ มองดูขาที่สั้นป้อมของตัวเองแล้วก็ปีนขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ นางไม่จำเป็ต้องปะทะ ในมือไม่กระบี่มีแต่ธนูจึงได้แต่ ให้ชายหนุ่มทั้งสี่และลุงซางต่อสู้กับหมูป่า
ซิงเยียนยิงหมูเป็ครั้งแรก นางเล็งไปที่คอหมูแต่ลูกธนูไปโดนที่ขาหลังหมู“ โอ๊ะ!โดนแล้ว ถึงแม้จะจากเป้าไปเยอะแต่ยังโดน ต้องคำนวณความเร็วของมันและทิศทางลมด้วยสิน่ะ”
“ช่วยข้าด้วย!!หมูบ้าพวกนี้ วิ่งมาทางนี้หลายตัวข้าสู้ไม่ไหว”เสียงิเจือดังขึ้นเมื่อตกอยู่วงล้อมของหมู
ซิงเยียนที่อยู่บนต้นไม้ ไม่กล้ายิงกลัวพลาดเป้าไปโดนิเจือ จะลงไปช่วยหมูแต่ละตัวสูงถึงคอนางแล้ว แต่ถ้าเป็แบบนี้ิเจือก็ตกอยู่ในอันตราย”มีนางอยู่ใกล้ที่สุดคนอื่นก็ต่อสู้กับหมูป่า
“พี่ชายิเจือ ท่านวิ่งให้ห่างจากหมูหน่อยข้าจะยิงมันเอง เร็วเข้า”
ิเจือที่กลัวจนทำอะไรไม่ถูก ได้ยินเสียงซิงเยียนก็ออกวิ่งทันที โดยวิ่งอ้อมต้นไปมาตามต้นไม้ มีหมูสี่ตัววิ่งตามหลังเขาอยู่
“ฉึก!”ลูกธนูยิงโดนกลางหลังของหมู แค่ทำให้มันาเ็เท่านั้นด้วยแรงที่ส่งออกไปยังไม่มากพอ แต่ถึงกระนั้นนางก็ยิงหมูทั้งสี่ตัวาเ็ มันจึงไม่สามารถวิ่งเร็วเหมือนตอนแรกได้
ลุงซางที่จัดการหมูที่ต่อสู้ได้แล้ว ก็วิ่งเข้าช่วยจัดการกับหมูทั้งสี่ตัวที่ได้รับาเ็ ลูกธนูยังปักอยู่บนตัวของพวกมัน ลุงซางรีบจัดกับหมูทั้งสี่ตัวเสียงร้องของหมูดังก้องไปทั่วบริเวณ มีชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นวิ่งเข้ามาดู
“ พวกเ้าเข้ามาก็ดีแล้ว เข้ามาช่วยกันห้ามหมูออกไปนอกป่าก่อน” กลุ่มชาวบ้านที่ว่าก็คือชายฉกรรจ์สี่คนที่ช่วยตัดไม้ปลูกกระท่อมนั่นเอง
ชายฉกรรจ์ทั้งสี่คนช่วยกันหาไม้มาทำคานหามมัดหมูติดกับคาน หามสองคนต่อสองตัว เพราะหมูทั้งหมดที่จัดการได้วันนี้มีมากถึงเก้าตัวด้วยกัน
ลุงซางช่วยมัดให้เด็กหนุ่มสี่คนสี่ตัวเหมือนกัน และให้รีบเดินออกจากป่าส่วนลุงซางแบกไปหนึ่งตัว ซิงเยียนถือแต่ดาบเดินตามไป
ลุงซางให้หมูที่แบกไปแก่ชาวบ้านที่โดนหมูป่าทำลายพืชผัก ไปชำแหละแบ่งกันหมูอีกสี่ตัวที่ชายฉกรรจ์แบกอยู่ ก็ให้ขนขึ้นเกวียนไปขายในเมือง และให้ซื้อพวกข้าวขาวแป้งเครื่องปรุงกลับมาส่วนอีกสี่ตัวที่เหลือแล่เพื่อทำเนื้อตากแห้งไว้ให้พวกเด็กๆ เก็บไว้เป็เสบียงตอนเดินทาง
